หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 339 นางถานเข้าวัง อวิ๋นเฟยผู้ยิ่งใหญ่

อวี๋หวั่นพาเด็กๆ ไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนเห้อเหลียนและถูกฮูหยินผู้เฒ่าให้อยู่ค้างคืน รุ่งขึ้นยามฟ้าสางรีบออกเดินทางไปยังถนนซื่อสุ่ย รถม้าเคลื่อนมาจอดหน้าที่พักบนถนนซื่อสุ่ย ผ้าม่านถูกเปิดออก ไข่ดำอ้วนดุ๊กดิ๊กทั้งสามก็กระโดดลงมา
ภายในมือของทุกคนถือตะกร้าผลส้ม เดินเตาะแตะเข้าไปด้านใน
“อ๊ะ!” จื่อซูเพิ่งเก็บจานกลับเข้าห้องครัวเกือบจะชนกับทั้งสาม แม้ว่าทั้งสามจะอ้วนแต่ปฏิกิริยากลับไม่เชื่องช้า สามารถหลบได้ในพริบตาเดียว “สวัสดีพี่จื่อซู” เอ้อร์เป่าทักทายเสียงหวาน
สองพ่อลูกกำลังแข่งหมากล้อมกันในห้องหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงเอ้อร์เป่า พลันวางหมากในมือลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เยี่ยนอ๋องไม่เพียงแต่เป็นหนอนหนังสือ ยังเป็นหนอนหมากล้อมด้วย หลายครั้งที่การเล่นหมากล้อมกระดานหนึ่งทำให้เขาไม่สนใจจะกินข้าวดื่มชาอยู่หลายวัน ทว่าต่อให้นำของที่โปรดปรานของเขามารวมกัน ก็ไม่สู้เด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเหล่านี้
หมากล้อมเยี่ยนอ๋องไม่เล่นแล้ว บุตรชายก็ไม่เอาแล้ว รีบแวบกายออกไป เร็วเสียยิ่งกว่าองครักษ์เงา!
“ท่านปู่ท่านปู่! ข้าคิดถึงท่านจะตายแล้ว!” เสี่ยวเป่าเป็นคนแรกที่มองเห็นเขา และรีบวิ่งเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขา
“พวกเราไม่อยู่สองสามวันนี้ ท่านปู่ได้ทานอาหารอย่างดีหรือไม่? นอนหลับสบายหรือไม่?” เอ้อร์เป่าถามอย่างนุ่มนวลน่ารักและเอาใจใส่ ทำให้เสี่ยวเป่าที่หยาบคายตกอันดับไป
เสี่ยวเป่าจ้องมองเขาด้วยสายตาคับแค้น มือน้อยๆ กอดเยี่ยนอ๋อง ยึดครองอ้อมแขนของเยี่ยนอ๋อง ไม่ให้เอ้อร์เป่าได้กอด
เอ้อร์เป่าไม่ได้โกรธ เขาหันกลับไปมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่กำลังเดินมาด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู แล้วพูดอย่างปากหวาน “ท่านพ่อ พวกเรากลับมาแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืมตอบรับ ลูบหัวน้อยๆ ของเขากับต้าเป่า ดูตะกร้าใบเล็กที่พวกเขาถือเข้ามา “ใส่สิ่งใดมา?”
“ส้ม” เสี่ยวเป่าแย่งตอบ
เอ้อร์เป่าทำหน้าตาน่ารัก “ส้มเขียวหวานที่ท่านยายทวดให้มา ท่านยายทวดเก็บมาเองกับมือ”
พูดก่อนแล้วอย่างไร? แต่ก็ไม่ได้พูดงดงามเช่นเอ้อร์เป่า
เสี่ยวเป่ามองสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความชื่นชมของบิดา พลันคว่ำปากบึ้งด้วยความน้อยใจ
สองพ่อลูกรออวี๋หวั่นที่ประตูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเธอมาถึงจึงได้อุ้มเด็กๆ เข้าห้อง
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยวเจิ้นถิงที่ได้ยินเสียงของเด็กๆ ก็รีบมุ่งหน้ามาด้วยท่าทีขึงขังราวกับเสือ เยี่ยนอ๋องกลอกตาใส่เขาสองสามครั้ง เขาถือเสียว่ามองไม่เห็น
“มาให้ตาเซียวมองเจ้าสักหน่อย ต้าเป่า” เซียวเจิ้นถิงยกต้าเป่าขึ้นมา
ต้าเป่ากะพริบตามองเขาด้วยดวงตากลมโต
เรื่องที่ต้าเป่าตกน้ำ สองสามีภรรยาไม่เคยเอ่ยออกจากปาก แต่เซียวเจิ้นถิงเป็นใครละ วรยุทธ์ของเขาสูงส่งการได้ยินเสียงดี อิ่งสือซันเดินทางไปมาหลายครั้งทำให้เขาพอจะคาดการณ์ได้ ดูจากหน้าตาเฉยเมยของต้าเป่าแล้ว น่าจะไม่เป็นไรมาก
สมกับเป็นบุตรของฉงเอ๋อร์ กล้าหาญเช่นนี้ไม่มีใครอีกแล้ว
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ โยนต้าเป่าลอยขึ้นสูง
“อูว้า~” ต้าเป่าส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น
“ข้าอยากเล่นด้วย ข้าอยากเล่นด้วย!”
“เอ้อร์เป่าก็อยากเล่นด้วย!”
เด็กทั้งสองกอดต้นขาเซียวเจิ้นถิง อยากถูกอุ้มตัวชูขึ้นสูงๆ
เด็กๆ เล่นกันอย่างบ้าคลั่งพักหนึ่ง เสียงหัวเราะหมูดังขึ้นติดต่อกัน
หลังจากสนุกสนานแล้ว พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันส้มเขียวหวานที่นำมาจากวังให้กับครอบครัวของพวกเขา
“นี่คุณยายทวดเก็บมาเองกับมือ พวกท่านต้องค่อยๆ กินละ” เอ้อร์เป่าพูด
หลังจากให้ทางนี้แล้ว เด็กๆ ก็ถือตะกร้าใบเล็กไปยังห้องของซั่งกวนเยี่ยน ทว่าซั่งกวนเยี่ยนไม่เพียงแต่ได้รับส้มเขียวหวาน ยังได้ดอกไม้เล็กๆ ที่เก็บมาจากวังหลวงอีกสองสามดอก
ดอกไม้นั้นมอบให้กับน้องสาวที่อยู่ในท้องของซั่งกวนเยี่ยน
“เป็นท่านอา” ซั่งกวนเยี่ยนกล่าวแก้ไข
“น้องสาว” เสี่ยวเป่าพูด
เด็กกว่าพวกเราก็ต้องไปน้องสาวสิ!
จุดจุดจุดในครรภ์ได้ดูเสี่ยวดีดี[1] ของตัวเอง ทันใดนั้นก็เริ่มสงสัยในการเกิดของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย
ในครอบครัวหนึ่งจะมีเด็กๆ หรือไม่มีนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ที่พักของเยี่ยนอ๋องกับเซียวเจิ้นถิงวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง ไข่ดำทั้งสามกลับมาเที่ยวเล่น ลานกว้างเต็มไปด้วยเสียงเล็กๆ ของพวกเขา
ดวงตาที่โศกเศร้าเป็นเวลาหลายวันของเยี่ยนอ๋องค่อยๆ กลับมามีประกายแห่งรอยยิ้มอีกครั้ง
ช่วงสองสามวันนี้ที่เด็กๆ ไม่อยู่ ความอยากอาหารของเขาก็ลดน้อยลงมาก บัดนี้เห็นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข จื่อซูส่งสายตาให้ฝูหลิง ทั้งสองเข้าครัวทำบะหมี่เนื้อแพะสองสามชามยกออกมา
ทันทีที่เด็กน้อยได้กลิ่นเนื้อ ท้องเล็กๆ ก็ส่งเสียงร้อง
“เยี่ยนอ๋อง ทานเป็นเพื่อนคุณชายน้อยสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” จื่อซูกล่าว
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า นั่งลงข้างโต๊ะหินกลางแจ้ง เด็กทั้งสามปีนขึ้นบนเก้าอี้หิน มือน้อยๆ ถือตะเกียบ มองเยี่ยนอ๋องตาไม่กะพริบ
เยี่ยนอ๋องใช้ตะเกียบคีบกินคำแรก พวกเขาจึงเริ่มกิน
เด็กสามผู้ใหญ่หนึ่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
อวี๋หวั่นยืนอยู่ที่หน้าต่าง ถอนสายตาที่มองพวกเขาทั้งสี่ หันกลับมาด้วยรอยยิ้ม เยี่ยนจิ่วเฉากำลังต่อสู้กับยาของตัวเอง ไม่นานมานี้เขาเริ่มกลายเป็นคนที่ดื่มยายาก อวี๋หวั่นคิดหาวิธี นำน้ำแกงมาต้มเป็นยา ใช้น้ำช่วยให้กลืนลงคอ
เช้าเย็นอย่างละครั้ง ครั้งหนึ่งยี่สิบเม็ด แต่เม็ดหนึ่งขนาดพอๆ กับเมล็ดข้าว คนธรรมดาสามารถกลืนลงไปได้ภายในครั้งเดียว แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับค่อยๆ กลืนทีละเม็ด
อวี๋หวั่นมองท่าทีที่จริงจังและเงอะงะของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะกุมหน้าผากของตัวเอง
ท่านเป็นเด็กหรืออย่างไร?
เด็กยังกินยาง่ายกว่าท่านเสียอีก
อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของอวี๋หวั่นก็กลับกลายเป็นจริงจัง “พวกเราออกมาแบบนี้ ท่านยายคงไม่เกิดเรื่องกระมัง? ฮองเฮาจะทำให้นางลำบากหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาถอดชุดท่อนบนออก “นางยังเอาตัวไม่รอด ไม่มีเวลาไปทำให้ท่านยายลำบากหรอก”
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างงวยงง “ท่าน…ทำอะไร เหตุใดถึงบอกว่าฮองเฮาจะเอาตัวไม่รอด?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย “องค์ประมุขสืบถึงตัวนางถานแล้ว บัญชีเก่าในยามนั้นจะถูกพลิก เปิดทีละเรื่อง”
ยามพลบค่ำตะวันใกล้ลับ เส้นขอบฟ้าสีแดงดั่งเลือด นางถานใช้ไม้หาบยกน้ำสองถัง เดินกลับอารามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เพียงเข้าประตูอารามไป แม่ชีน้อยก็เริ่มตำหนิ “ไยไปนานเช่นนี้? ไม่ใช่บอกให้เจ้าไปตักน้ำมารึ? คงไม่ได้หนีไปอู้อีกกระมัง? ข้ารอน้ำของเจ้ามาหุงข้าวอยู่นะ!”
นางถานไม่ได้โต้เถียงอะไร นำถังมาเทน้ำใส่โอ่งเงียบๆ มือข้างหนึ่งจับถัง อีกข้างหนึ่งจับก้นถัง เทน้ำที่ตักมาใส่เข้าไป
แม่ชีน้อยฮึดฮัด “ข้าไม่สน ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า ข้ารอเจ้านานขนาดนี้ยังไม่มีน้ำหุงข้าว ยามนี้ข้าต้องไปทำวัตรเย็น เจ้าก็มาก่อไฟหุงข้าว!”
“ข้าไม่หุง” นางถานกล่าว “แบกน้ำเป็นข้า หุงข้าวเป็นเจ้า”
“เจ้า!” แม่ชีน้อยสำลัก
นางถานพูดอย่างเฉยเมย “เจ้าอยากจะทำหรือไม่ทำ หากไม่ทำก็ทนหิวไป”
“เจ้า…เจ้าแอบกินอะไรมาระหว่างทางใช่หรือไม่?” แม่ชีน้อยดึงแขนนางถาน
นางถานพูด “ข้าเปล่า ข้าแค่อายุมากแล้ว ทนหิวได้มากกว่าเจ้า”
สิ้นเสียง นางถานก็ดึงแขนกลับ ไม่สนใจนาง หันไปหยิบน้ำถังที่สอง
แม่ชีน้อยกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าต้องกินมาแล้วแน่ๆ! เจ้าแอบนำของออกไปกินด้านนอก! แล้วยังจงใจไม่ตักน้ำมาให้ข้าหุงข้าว! อีกประเดี๋ยวหากท่านอาจารย์กลับมา ข้าจะบอกนาง!”
“ตามใจเจ้า” นางถานพูด
นางถานเทน้ำถังที่สองใส่โอ่ง
น้ำสองถังไม่พอใช้ ตอนกลางคืนยังต้องล้างหน้า ตอนเช้าก็ยังต้องทำอาหาร นางถานยังต้องแบกน้ำอีกสองสามรอบ
นางถานนำถังไม้ใส่บนไม้หาบ กำลังจะเดินออกไปด้านนอก คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เปิดประตูไม้ของอารามออก ก็เห็นองครักษ์ร่างสูงใหญ่หลายคน และบุรุษที่แต่งตัวเป็นขันทีอีกคนหนึ่ง
องครักษ์เหล่านี้สวมชุดเกราะของกองกำลังรักษาพระองค์ และขันทีผู้นั้น…
ตอนที่นางถานยังอยู่จวนเห้อเหลียน เคยติดตามเห้อเหลียนเป่ยหมิงเข้าวังหลวงอยู่หลายครั้ง จึงเคยพบคนดังที่อยู่ต่อหน้าองค์ประมุขท่านนี้มาก่อน
“ขันทีหวัง” นางทักทายด้วยความประหลาดใจ
“ฮูหยินเห้อเหลียน” ขันทีหวังตวัดไม้ขนจามรีค้อมกาย
นางถานวางไม้หาบลง ยกมือข้างหนึ่งอามิตตาพุทธ “ที่นี่ไม่มีฮูหยินเห้อเหลียน มีเพียงแม่ชี ขันทีสามารถเรียกแม่ชีว่าหลิงฮุ่ยได้”
ขันทีหวังกวาดตามองนางหัวจรดเท้า ได้ยินว่านางโกนผมบวชชี มักอยู่อย่างสันโดษ แต่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองก็ยังทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
ฮูหยินขั้นหนึ่งผู้โดดเด่นสุกสกาวราวหมู่ดาวประกายล้อมจันทราในอดีต สวมใส่เสื้อผ้าของแม่ชีและรองเท้าแตะฟางสาน ใช้ไหล่บางๆ แบกหามไม้หาบ ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเกินกว่าจะจินตนาการ
จิตใจของขันทีหวังมีบางอย่างที่ไม่สบายใจ เขาทอดถอนใจ “ฮูหยิน เหตุใดท่านต้องลำบากเช่นนี้?”
นางถานไม่ตอบรับคำพูดของเขา “ขันทีหวังมาเพื่อจุดธูปหรือ?”
“มีคนมาจุดธูปหรือ?” แม่ชีน้อยเดินมาด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว เห็นองครักษ์ที่เคร่งขรึมน่าเกรงขามหลายคน ก็อดตกใจไม่ได้เล็กน้อย
ขันทีหวังที่ยืนอยู่นอกประตูได้ยินเสียงที่แม่ชีตัวน้อยตะโกนใส่นาง เขาไม่แม้แต่จะมองอีกฝ่ายตรงๆ ส่งเสียงฮึดฮัดหันหน้าหนีด้วยความรังเกียจ หันไปมองนางถานและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม “บ่าวมาตามรับสั่งให้พาตัวฮูหยินไปเข้าวัง”
เป็นรับสั่งของผู้ใด ไม่ต้องบอกก็รู้
แววตาของนางถานขยับวูบไหว ลอบมองแม่ชีน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ และกล่าวกับขันทีหวัง “แม่ชี ออกจากเรื่องทางโลกนานแล้ว เชิญขันทีหวังกลับไปเถิด”
ระหว่างทางที่ขันทีหวังเดินทางมาได้รวบรวมคำพูดขององค์ประมุขและพอจะเดาบางอย่างได้ นางถานผู้นี้โกนผมบวชชีอยู่ที่นี่ เกรงก็แต่มีเงื่อนงำบางอย่าง ยามนี้ได้พบหน้านางถาน เขายิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง
ขันทีหวังยิ้มจางๆ “บ่าวไม่ได้มาเพื่อขอความเห็นฮูหยิน ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นำตัวท่านเข้าวัง ท่านจะเป็นฮูหยินเห้อเหลียนก็ดี หรือปรมาจารย์หลิงฮุ่ยก็ตาม โปรดติดตามบ่าวไปเข้าวังเถิด”
ขันทีหวังก็เป็นขันทีระดับสูง แต่ฮูหยินของจวนเห้อเหลียนมีสถานะสูงส่ง ต่อให้บวชเป็นชีแล้ว เขาก็ไม่อาจมองนางเป็นเพียงภรรยาที่ต่ำต้อยคนหนึ่งได้
ทว่าต่อให้นางถานมีสถานะอย่างไรอีก ก็ไม่สามารถขัดรับสั่งได้
นางถานหลับตา หยุดนิ่งและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ขันทีโปรดรอ แม่ชีจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“อ้าว เจ้าจะไปไหนน่ะ? เจ้ายังไม่ได้ตักน้ำเลยนะ!” แม่ชีน้อยคว้าตัวนางไว้
“สามหาว!” ขันทีหวังตะคอก แม่ชีน้อยตกใจตัวสั่นปล่อยมือจากนางถาน
นางถานเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสะอาดสะอ้าน ถอดรองเท้าแตะฟาง แล้วสวมรองเท้าผ้าธรรมดา
ความสูงส่งของนางอยู่ในกระดูก แม้สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาสามัญก็ยังให้ความรู้สึกสงบนิ่งสง่างาม
นางเดินไปที่ประตูอารามอย่างไม่รีบร้อน “ขันทีหวัง ไปกันเถอะ”
ขันทีหวังค้อมกาย ยื่นมือผายออกเป็นการเชื้อเชิญ “ฮูหยิน เชิญ”
“เจ้า…เจ้าจะไปไม่…อ้า~”
ก่อนที่แม่ชีน้อยจะกล่าวจบ ก็ถูกขันทีหวังใช้ไม้ขนจามรีปัดออกไป
แม่ชีชราไปซื้อข้าวสารและธัญพืชในเมือง ยามกลับมาถึงอาราม ภายในเรือนกลับเหลือเพียงแม่ชีน้อยคนเดียว นางขมวดคิ้วเปล่า “หลิงฮุ่ยเล่า?”
แม่ชีน้อยปิดกุมหน้าที่ปูดบวมกล่าว “ในวังส่งขันทีแซ่หวังมา รับตัวนางไปแล้ว!”
“อะไรนะ” แม่ชีชราสีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน “เจ้าแน่ใจรึว่าแซ่หวัง?”
แม่ชีน้อยพยักหน้าอย่างเจ็บปวดใจ
ทำให้นางเจ็บเช่นนี้ มีหรือนางจะจำแซ่เขาไม่ได้?
แม่ชีน้อยกล่าว “ข้าได้ยินมากับหู หลิงฮุ่ยเรียกเขาว่าขันทีหวัง! ดูเหมือนหลิงฮุ่ยจะรู้จักเขา ท่านอาจารย์ชี เขาเป็นใครหรือ?”
ขันทีแซ่หวัง จะเป็นใครได้อีก? ก็ขันทีข้างกายองค์ประมุขอย่างไรละ!
แม่ชีชราจิตใจหนักอึ้ง “แย่แล้ว! จบสิ้นกันแล้ว!”
“อะไรแย่ อะไรจบสิ้นกัน??” แม่ชีน้อยถามด้วยความสงสัย
นางรู้แค่ว่าหลิงฮุ่ยเป็นฮูหยินของสกุลเห้อเหลียน เพราะทำผิดจึงถูกส่งมาขังไว้ที่นี่ แต่นางไม่รู้ว่าคนที่กักขังนางถานไม่ใช่คนของสกุลเห้อเหลียน นางยังเข้าใจว่านางกับท่านอาจารย์ชีต้องทำตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเห้อเหลียน เฝ้าดูนางถานทั้งวันทั้งคืน กระทั่งหาผลไม้ ‘ดีๆ’ ให้นางถานกิน
แม่ชีชราไม่มีเวลาสนใจนาง กลับไปหยิบเงินที่ห้อง นั่งรถม้าที่ใช้มาส่งข้าวที่อารามลงเขาไปทันที ทั้งยังจ่ายเงินให้อีกฝ่ายเพิ่มอีกสักหน่อย ให้เขาขับรถม้าไปยังสำนักราชครู
“ใครน่ะ?”
แม่ชีชราบุ่มบ่ามวิ่งเข้าไป ถูกองค์ครักษ์เฝ้าประตูขวางไว้
แม่ชีชรารีบหยิบตราสัญลักษณ์ที่เอวขึ้นมาส่งให้องครักษ์ “ข้าต้องการพบราชครู!”
องครักษ์รู้จักตราสัญลักษณ์นี้ เป็นตราสัญลักษณ์ระดับสูงสุดของสำนักราชครู นอกจากหวั่นเฟิงแล้ว เขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีสิ่งนี้บนตัวมาก่อน คนที่มีสิ่งนี้ ต้องเป็นบุคคลที่ราชครูไว้วางใจที่สุด
แต่น่าเสียดาย ราชครูกำลังภาวนาปฏิบัติ
องครักษ์มองนางแล้วพูดว่า “ราชครูกำลังภาวนาปฏิบัติ วันหน้าเจ้าค่อยมาใหม่เถิด หรือไม่เจ้าอยู่ที่นี่ก็ได้ ข้าจะไปเตรียมห้องให้เจ้า”
จะได้อย่างไร? เรื่องแสนจะคับขันเช่นนี้ หากช้าไปก้าวเดียวฟ้าอาจถล่มลงมา!
แม่ชีชรากล่าวอย่างร้อนรน “ฝากไปบอกเขาสักคำได้หรือไม่? ข้ามีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ เจ้าดูตราสัญลักษณ์นี้ วันนั้นที่ราชครูมอบให้ข้า เขาบอกว่า ไม่ว่าเมื่อใดขอเพียงข้านำตราสัญลักษณ์นี้มาหาเขา ก็สามารถพบเขาได้ทุกเมื่อ!”
“เอ่อ…” นี่มิใช่เรื่องเท็จ ตราสัญลักษณ์นี้สามารถเข้าพบราชครู ทว่า…ก่อนที่ราชครูจะภาวนาปฏิบัติ ได้กำชับกับพวกเขาว่าอย่าได้รบกวน
แม่ชีชราสีหน้าหนักอึ้ง “นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของสำนักราชครู! หากเกิดเรื่องใดขึ้นมา ราชครูลงโทษ พวกเจ้าชดใช้ได้หรือ?”
องครักษ์เกาหัวอย่างลำบากใจ “เอาละ ข้าจะช่วยไปบอกให้เจ้า แต่ราชครูจะพบเจ้าหรือไม่ ข้าไม่อาจรับปาก”
แม่ชีชราเร่งเร้า “เจ้ารีบไปเถอะ! ราชครูต้องพบข้าแน่!”
องครักษ์ถือตราสัญลักษณ์ไปยังพื้นที่หวงห้ามที่ราชครูภาวนาปฏิบัติ และอธิบายสถานการณ์ต่อหน่วยกล้าตายที่เฝ้าพื้นที่หวงห้าม
“ราชครูบอกว่าอย่าได้ไปรบกวนเขา” หน่วยกล้าตายกล่าว
องครักษ์อธิบาย “ข้าเข้าใจ แต่อาจารย์ชีผู้นั้นบอกว่ามีเรื่องสำคัญจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร ท่านนำตราสัญลักษณ์นี้ไปให้ราชครูดูก่อนเถิด”
หน่วยกล้าตายนำตราสัญลักษณ์เข้าไปในห้องลับ ภายในห้องลับมีสองชั้น ชั้นนอกมีหวั่นเฟิงคอยเฝ้า ด้านในสุดจึงเป็นราชครู
หน่วยกล้าตายนำตราสัญลักษณ์ส่งให้หวั่นเฟิง “แม่ชีชราคนหนึ่งขอเข้าพบราชครู”
“แม่ชีชรา?” หวั่นเฟิงลูบคางแววตาส่องประกาย แสร้งทำเป็นพูดว่า “ตราสัญลักษณ์นี้ข้าจะเก็บไว้ให้ บอกให้นางรอก่อน! ท่านอาจารย์ของข้าบำเพ็ญภาวนาถึงช่วงสำคัญ หากไปรบกวนอาจทำให้เกิดวิปลาสได้!”
แม่ชีชราพบอุปสรรค หมดหนทาง จำต้องรีบเดินทางเข้าวังหลวง
ตราสัญลักษณ์ของวังหลวงนางก็มีเช่นกัน นางเข้าไปพบฮองเฮา
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? ฝ่าบาทนำตัวนางถานเข้าวัง? เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่รีบมาแจ้งข่าวต่อข้า? ไปทำอันใดที่สำนักราชครู!!!” ฮองเฮากริ้วแทบระเบิด
สิ่งที่แม่ชีชราคิด คือราชครูออกหน้าจะสามารถหยุดยั้งคนไว้ได้ตั้งแต่ระหว่างทาง เดิมทีความคิดนี้ราบรื่นไร้รอยต่อ แต่ใครจะคาดคิดว่าราชครู ปิดประตูภาวนาปฏิบัติแล้ว ช่วงเวลาที่นางเดินทางไปถึงสำนักราชครู นางถานก็ถูกขันทีหวังนำตัวเข้าวังแล้ว
นางถานไม่กล้าทรยศพวกเขา เพราะฮองเฮาเป็นที่โปรดปราน ราชครูก็เป็นบุคคลที่องค์ประมุขให้ความสำคัญ สกุลเห้อเหลียนไม่อาจสู้พวกเขาได้ แต่หากคนที่ทำให้นางถานหักหลังคือองค์ประมุขละ? องค์ประมุขจะเอาชนะฮองเฮาและสำนักราชครูได้อยู่หรือไม่?
“เร็วเข้า! เตรียมรถไปห้องทรงอักษร!”
ฮองเฮานั่งราชรถ ใช้เส้นทางไปยังห้องทรงอักษรที่รวดเร็วที่สุด
เมื่อนางลงจากเกี้ยว นางถานก็กำลังถูกขันทีหวังเดินนำมาจากอีกทางหนึ่ง
แค่เพียงบอกนางถานว่าเห้อเหลียนเซิงอยู่ในเงื้อมมือของนาง นางถานก็จะไม่มีทางพูดจาเลอะเทอะ
เห้อเหลียนเซิงอยู่ในเงื้อมมือของนางจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะยามนี้ตัวนางถานอยู่ในวัง ไม่มีทางไปตรวจสอบได้ นางสามารถเดิมพัน เดิมพันว่าตนนั้นไม่ได้จับเห้อเหลียนเซิงไว้ แต่ฮองเฮามั่นใจ ว่านางถานไม่มีทางเดิมพันด้วยชีวิตบุตรชายของนาง
มันคือสิ่งที่มารดาทุกคนบนโลกใบนี้ไม่สามารถทำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางถานที่เป็นมารดาผู้ยิ่งใหญ่กว่าสตรีธรรมดาทั่วไป
ฮองเฮารู้สึกมั่นใจ ไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ขอเพียงเก็บนางถานไว้ได้ เรื่องหลังจากนี้ นางมีหนทางของตนเอง!
ฮองเฮาสูดหายใจ มองนางถานกับขันทีหวังที่เดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา
อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก อวิ๋นเฟยที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ด้านหลังฮองเฮาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยกท่อนไม้ในมือขึ้น
“ย้ะ!”
อวิ๋นเฟยกระโดดขึ้น หวดไม้ใส่ฮองเฮาจนสลบ!
…………………………………………

[1] เสี่ยวดีดี เป็นซีรี่ส์ทีวีสำหรับเด็กในยุค 80 ของประเทศสิงคโปร์

Related

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset