หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 35.1 ครอบครัวห้าคน (1)

บทที่ 35 ครอบครัวห้าคน (1)
โดย
Ink Stone_Romance

ขนมเป็นสิ่งที่พอประทังความหิวได้บ้าง และยังต้องทานอาหารมื้อหลัก โชคดีที่มีแผงขายทังหยวน[1]อยู่ใกล้ๆ อันที่จริงอวี๋หวั่นหาใช่คนที่คลั่งไคล้ในของหวาน ทว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้นางรู้สึกอยากกินอย่างบอกไม่ถูก
“เยี่ยนจิ่วเฉา เราไปกินทังหยวนกันไหม?” นางหันมองเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยด้วยความรังเกียจ “สกปรกจะตาย! ไม่กิน!”
ทว่าอวี๋หวั่นกับเด็กจ้ำม่ำทั้งสามกลับกระโดดลงมาจากรถม้าเสียแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉา “…”
นางนิสัยเสียยิ่งนัก แม้แต่นายน้อยผู้นี้ก็ยังกล้าเมิน!
นายน้อยผู้หนึ่งที่ถูกเมินเฉย ลุกขึ้นก้าวลงจากรถม้าด้วยใบหน้าสีดำ
ถนนสายนี้เชื่อมกับถนนฉางอันที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง ทว่าร้านค้ามีน้อยนัก จึงมีผู้คนมาเดินไม่มาก แผงขายทังหยวนตั้งอยู่ทางเข้าตรอกเล็กๆ ด้านขวาของถนน มีโต๊ะเล็กๆ สองตัวตั้งอยู่ริมถนน และอีกหนึ่งตัวตั้งอยู่ด้านในตรอก
โต๊ะริมถนนมีผู้คนนั่งอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาแล้วว่านายน้อยผู้สูงศักดิ์คงไม่เต็มใจจะนั่งร่วมโต๊ะกับผู้อื่น อวี๋หวั่นจึงพาเด็กจ้ำม่ำทั้งสามเดินไปยังโต๊ะเล็กๆ ในตรอก
โต๊ะเล็กแล้ว ม้านั่งยิ่งเล็กกว่า นางกับเด็กจ้ำม่ำทั้งสามนั่งได้พอดี ทว่ามิใช่กับเยี่ยนจิ่วเฉาชายผู้มีรูปร่างสูงใหญ่
ท่าทางงอตัวของเขาช่างน่าตลกขบขันยิ่ง กระทั่งอวี๋หวั่นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าช่วงเวลาเช่นนี้ช่างแสนวิเศษและงดงาม
“คุณชาย ฮูหยิน พวกท่านต้องการทังหยวนหรือเกี๊ยวเจ้าคะ?” ภรรยาเถ้าแก่ร้านแผงลอยเดินมาถาม นางมิเคยเจอครอบครัวที่ดูสูงส่งเช่นนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะมองพวกเขาอย่างไม่วางตา และลอบถอนหายใจ ช่างเป็นคู่ที่ดูเหมาะสมยิ่งนัก มิน่าเด็กๆ ที่ออกมาช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
อวี๋หวั่นกำลังจะบอกว่า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับรีบออกปากเบาๆ ว่า “ทังหยวน”
“คุณชายเลือกได้ถูกจริงๆ ทังหยวนของร้านเราอร่อยที่สุดแล้ว มีทั้งไส้งา ไส้ถั่วลิสง ไส้ถั่วแดง ไส้ลูกบัว และไส้โหงวยิ้ง[2] ท่านต้องการแบบใดเจ้าคะ?”
“อย่างละถ้วย”
“ถ้วยใหญ่หรือถ้วยเล็กเจ้าคะ?”
“ถ้วยใหญ่”
“เด็กๆ ถ้วยเล็กก็พอแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นก็ได้”
“ท่านต้องการใส่เหล้าข้าวหรือไม่เจ้าคะ? หรือเอาซุปเปล่าๆ?”
“เหล้าข้าว”
สองคนเดินไปมา อวี๋หวั่นมิอาจเอ่ยอันใด กลิ่นหอมของแพนเค้กต้นหอมโชยมาจากฝั่งตรงข้ามในตรอกที่เยื้องไป อวี๋หวั่นจึงลุกขึ้นเพื่อไปซื้อแพนเค้กต้นหอม
แต่ก่อนมีอิ่งลิ่วกับอิ่งสือซันคอยทำให้ ทว่าวันนี้พวกเขาไม่อยู่
อวี๋หวั่นเดินมาถึงด้านหน้าแผงขายแพนเค้กต้นหอมเล็กๆ กิจการของร้านค่อนข้างดี พวกเขาใช้น้ำมันพืช จึงทำให้มีราคาสูงกว่าแพนเค้กต้นหอมจากร้านอื่นๆ ตกชิ้นละหกเหวิน ทว่าในเมืองราคาเพียงสองเหวินเท่านั้น
แพนเค้กต้นหอมมีขนาดใหญ่เพียงพอ อวี๋หวั่นกะปริมาณการรับประทานอาหารของคนห้าแล้วตัดสินใจซื้อมาสามชิ้น
อวี๋หวั่นหยิบแพนเค้กต้นหอมที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลแล้วเดินกลับไป ทว่าก้าวไปไม่ถึงสองก้าว ก็พบกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน
“คุณชายสวี่?” อวี๋หวั่นมองชายตรงหน้านางด้วยความตกตะลึง
เยี่ยนหวายจิ่งมองเห็นนางจากปลายอีกด้านหนึ่งของตรอก ในขณะที่รถม้ากำลังแล่นผ่าน เขาจึงรีบหยุดรถและเดินมายังฝั่งนี้ ทว่าอวี๋หวั่นหาได้รู้อันใดไม่ และยังคงคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อซื้อแพนเค้กต้นหอมเช่นกัน
“ข้าซื้อชิ้นสุดท้ายของหม้อใบนี้มาแล้ว เกรงว่าคุณชายสวี่คงต้องรอสักประเดี๋ยวแล้ว” อวี๋หวั่นกล่าว
เยี่ยนหวายจิ่งจ้องมองนางด้วยสายตาอันลึกซึ้ง แม้จะเคยสงสัยว่านางเป็นผู้ที่ส่งเขาไปที่วัดในปีนั้น ทว่าหลังจากที่แน่ใจแล้ว ก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงจนเอ่ยอันใดไม่ออก
“คุณชายสวี่? ท่านเป็นอันใดหรือ? ท่าน…มาที่นี่เพื่อตามหาข้าใช่หรือไม่?” อวี๋หวั่นรู้สึกว่าท่าทีของเขาดูผิดแผกไปเล็กน้อย
เยี่ยนหวายจิ่งคิดจะรั้งมิให้นางกลับไปและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “เจ้าจำสิ่งใดมิได้เลย ใช่ไหม?”
“คุณชายสวี่หมายถึงสิ่งใดที่ข้าจำไม่ได้?” แท้จริงแล้วนางมิได้มีความทรงจำในอดีตมากนัก ทว่าเรื่องนี้มีเพียงครอบครัวของนางเท่านั้นที่รับรู้
เยี่ยนหวายจิ่งคิดคะนึงมาตลอดทาง และยังไม่แน่ใจว่าจะบอกความจริงกับนางดีหรือไม่ ดูเหมือนว่านางจะมิได้ลืมเพียงแค่เขาเท่านั้น ทว่ายังรวมถึงอดีตในสวี่โจวด้วย เขาควรสืบเสาะหาข้อมูลให้ชัดเจนเสียก่อนแล้วจึงบอกนาง หรือควรจะบอกนาง แล้วให้นางสืบหาข้อมูลกับตน?
“คุณชายสวี่?” วันนี้คนๆ นี้ดูแปลกประหลาดไปมาก
เยี่ยนหวายจิ่งหายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจบอกนาง “ข้า…”
ทว่ายังมิทันจะเอ่ยออกมา พ่อค้าเร่คนหนึ่งก็ดันรถเข็นมาอย่างเร่งรีบและวิ่งมาจากด้านหลังด้วยความเร็ว
“หลีก หลีก หลีก หลีก!”
พ่อค้าเร่ดันรถเข็นมาเร็วมาก จนเขาก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้
เมื่อเห็นว่ารถเข็นกำลังจะชนอวี๋หวั่น เยี่ยนหวายจิ่งก็ยื่นมือออกไป ตั้งใจจะดึงอวี๋หวั่นหลบมาข้างกาย ทว่าจู่ๆ ก็มีแขนเรียวมาคว้าและโอบไหล่ของอวี๋หวั่นไว้ได้เร็วกว่า อวี๋หวั่นล้มลงบนแผงอกขนาดใหญ่อันแข็งแกร่ง กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยลอยมาจากเสื้อผ้าของเขา
อวี๋หวั่นมิได้ขัดขืนและซบอยู่ในอ้อมแขนของเขาแต่โดยดี จนกระทั่งรถเข็นของพ่อค้าเร่ผ่านไป
รูม่านตาของเยี่ยนหวายจิ่งหดเล็กลง
อวี๋หวั่นยืดตัวขึ้นและมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาที่ถูกรถเข็นเฉี่ยวหลัง แล้วถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร” เยี่ยนจิ่วเฉาคลายตัวนาง และหันไปมองเยี่ยนหวายจิ่งที่อยู่ด้านข้าง พลางเอ่ยเบาๆ “องค์ชายสอง มิได้พบกันนานเลยนะ”
องค์ชาย?
ดวงตาของอวี๋หวั่นมีประกายวาบผ่าน
เยี่ยนหวายจิ่งไม่คิดว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยโดยเยี่ยนจิ่วเฉา แต่เดิมเขาตัดสินใจจะบอกนางด้วยตัวเองอยู่แล้ว…
“ที่แท้วันนั้นที่หอเทียนเซียง คนที่ช่วยข้าออกมาจากอุโมงค์น้ำแข็งก็คือท่าน” อวี๋หวั่นผละตัวออกห่างจากเยี่ยนหวายจิ่ง”ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักตัวตนของฝ่าบาท ข้าล่วงเกินท่านแล้ว โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
นี่นาง…ได้ขีดเส้นกั้นกับตนแล้วหรือ?
มือของเยี่ยนหวายจิ่งกำแน่น และมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาอันเยือกเย็น
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วและดึงข้อมือของอวี๋หวั่น “หากไม่มีสิ่งใดพวกกระหม่อมขอตัวก่อน ไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว”
สายตาของเยี่ยนหวายจิ่งตกกระทบลงบนข้อมือของอวี๋หวั่น เมื่อเห็นว่านางมิได้สลัดมือของเยี่ยนจิ่วเฉาออก เปลวไฟก็พลันลุกโหมท่วมหัวใจ “เยี่ยนจิ่วเฉา เจ้ามิได้รับการลงโทษจากเสด็จพ่อของเจ้า ให้ปลีกตัวอยู่ลำพังเพื่อสำนึกผิดหรอกรึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น “โอ้ ท่านจะไปฟ้องเรื่องข้าต่อฝ่าบาทก็ได้นะ หากท่านมีความสามารถ”
ด้วยลักษณะนิสัยของเยี่ยนจิ่วเฉา แม้นคนโง่ก็ยังคาดเดาได้ว่าเขาไม่มีทางเก็บตัวสำนึกผิดอย่างเชื่อฟัง ตราบใดที่มิได้ก่อเรื่องวุ่นวายมากเกินไป ฮ่องเต้ก็ทำเพียงหลับตาข้างหนึ่งเสมอ ผู้ใดกล้านำเรื่องของเยี่ยนจิ่วเฉาไปยั่วแหย่ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ มิใช่เป็นการหาเรื่องเยี่ยนจิ่วเฉา แต่หาเรื่องใส่ตนเสียมากกว่า
“ไปกันเถอะ” อวี๋หวั่นดึงแขนเสื้อของเขา ส่งสัญญาณมิให้ตอบโต้กับองค์ชายสอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม องค์ชายสองก็เคยช่วยนางไว้ถึงสองครั้ง แม้ว่าเขาจะปกปิดตัวตน ทว่านางก็มิได้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถประณามความผิดของเขาได้
ทั้งสองกลับไปยังตรอกที่ขายทังหยวน
จวินฉางอันเดินมา “ฝ่าบาท”
“นางไม่โกรธแม้แต่น้อย…” เยี่ยนหวายจิ่งบ่นพึมพำ
“ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วมิใช่หรือ?” จวินฉางอันกล่าว
“เจ้าไม่เข้าใจ”
เพราะนางมิได้สนใจ จึงหาได้รู้สึกอันใดไม่
เยี่ยนหวายจิ่งมองทั้งสองที่นั่งอยู่ในตรอกอีกครั้ง พร้อมกับเด็กสามคนที่ดูท่าทางกำยำน่าเอ็นดูที่อยู่ข้างๆ
เขาคิดมาหลายคราว่าหากลูกของนางเกิดมาแล้ว ก็คงจะโตพอๆ กับสายเลือดของเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นแบ่งแพนเค้กต้นหอมหนึ่งชิ้นให้กับเด็กจ้ำม่ำทั้งสาม อีกชิ้นหนึ่งให้ชายจ้ำม่ำและอีกชิ้นสำหรับตัวนางเอง
………………………………………………….
[1] ทังหยวน(汤圆)คือขนมดั้งเดิมของชาวจีนชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้ และต้มกับน้ำจนสุกเป็นเนื้อเนียน เป็นขนมที่จะรับประทานกันในวันเทศกาลหยวนเซียว
[2] โหงวยิ้ง ประกอบด้วยถั่วลิสง วอลนัท เมล็ดแตงโม อัลมอนด์ และเมล็ดสน

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset