บทที่ 47 จัดงานเลี้ยง พี่จิ่วแสดงความรัก
โดย
Ink Stone_Romance
วันรุ่งขึ้น อวี๋เซ่าชิงไปที่ห้องของบุตรสาวและพบว่ารองเท้าไม่ได้อยู่ในตะกร้าแล้ว
สาวน้อยเจ้าเอารองเท้าไปซ่อนแล้วหรือ?
อวี๋เซ่าชิงผู้ยึดมั่นในความเที่ยงธรรมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย จึงแอบค้นห้องของบุตรสาว ในที่สุด ก็พบถุงผ้าที่มีขนาดกำลังดีวางอยู่ในตู้เสื้อผ้า
เขาเปิดถุงผ้าออกและพบว่ามันคือกล่องไม้แดงสวยงาม ด้านในนั้นเป็นรองเท้าที่บุตรสาวทำมาครึ่งคืน ห่อด้วยผ้าไหมสีอ่อน เพียงแค่มองก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเอาใจใส่ของบุตรสาว
ห่อไว้อย่างแน่นหนาและประณีต เหมือนเป็นของขวัญของ…
ความคิดสว่างวาบขึ้นในหัวอวี๋เซ่าชิง ใช่แล้ว เขาเกือบจะลืมไปแล้ว ครึ่งหลังของเดือนก็คือวันเกิดของเขา นี่ต้องเป็นของขวัญวันเกิดที่บุตรสาวเตรียมไว้ให้อย่างดี
เขาไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับบุตรสาว ทว่านางก็ยังไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้มา
อวี๋เซ่าชิงรู้สึกซาบซึ้งใจที่บุตรสาวกตัญญูจนแทบหลั่งน้ำตา
เนื่องจากบุตรสาวตั้งใจจะทำให้ตนประหลาดใจ เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้
อวี๋เซ่าชิงใส่รองเท้ากลับไปที่เดิมด้วยความซาบซึ้งและตื่นเต้น อดทนรอให้ถึงวันเกิดของตน
ทว่า เขาไม่ต้องรอถึงวันเกิดของเขาในช่วงครึ่งเดือนหลัง แต่รอถึงมื้อค่ำในช่วงกลางเดือน
วันที่สิบหกเดือนสามเป็นวันมงคล โรงฝึกงานและหอพักแห่งใหม่ของสกุลอวี๋ มีกำหนดเริ่มก่อสร้างในวันนั้น
อวี๋หวั่นรู้มาว่าการสร้างบ้านในชุมชนต้องมีการดื่มเหล้าชั้นดี หนึ่งเพื่อเป็นการขอบคุณญาติพี่น้อง และสองเพื่อตอบแทนคนงาน หมู่บ้านเหลียนฮวาไม่นิยมดื่มเหล้าชั้นดี เพียงแค่จัดหลิวสุ่ยสี[1]ในวันเริ่มก่อสร้าง ญาติพี่น้องและทุกคนในหมู่บ้านต่างได้รับเชิญให้มาสนุกสนานด้วยกัน
หมู่บ้านเหลียนฮวายากจน ไม่มีผู้ใดสร้างบ้านในหมู่บ้านมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือการซ่อมแซมคอกวัวของบ้านซวนจื่อ ทว่าก็มิได้จัดงานเลี้ยงใดๆ
ครอบครัวอวี๋นั่งลงและประชุมครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องการเชิญผู้ใดมางานเลี้ยงบ้าง
เจินเจินน้อยนั่งไม่สงบ จึงพาพี่เถี่ยตั้นออกไป
นางเจียงง่วงนอนจึงกลับห้องไปพักผ่อน
อวี๋ซงก็อยากจะแอบออกไปด้วย ทำให้ป้าใหญ่ตวาดลั่น
“เป็นธรรมดาที่คนในหมู่บ้านต่างก็อยากมา…” ลุงใหญ่เอ่ย “คนในหมู่บ้านข้างเคียงที่คุ้นเคยกันก็ต้องเชิญมาด้วย”
น้ำเสียงของลุงใหญ่ราวกับกำลังลังเลในบางสิ่งบางอย่าง อวี๋เซ่าชิงจึงเอ่ย “พี่ใหญ่ หากท่านมีสิ่งใดจะเอ่ยก็เอ่ยออกมาเถิด”
ลุงใหญ่ตอบ “เป็น…ญาติของพี่สะใภ้เจ้า”
“สกุลกัวกับสกุลหลัวหรือ?” อวี๋เซ่าชิงถาม
เรื่องที่สกุลกัวมาที่บ้าน เขาได้ยินมาบ้างจากครอบครัว รู้ว่ากัวเซี่ยนเฉี่ยวรังแกเถี่ยตั้นน้อย และอวี๋หวั่นก็เอาชนะกัวเซี่ยนเฉี่ยวมาได้ กล่าวก็คือเด็กๆ มิได้รู้เรื่องใดๆ ทว่าหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องระหว่างหวางหมาจื่อกับกัวเซี่ยนเยว่ขึ้นอีก
ครานั้นรู้สึกว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หลังจากนั้นครอบครัวอวี๋ก็คิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ขณะที่กัวเซี่ยนเยว่ตกลงไปในน้ำ นางสวมอาภรณ์ของอวี๋หวั่นอยู่ ยามตู้จินฮวาเรียกร้องขอความช่วยเหลือ นางมิได้วิ่งไปทางบ้านเก่าของสกุลกัว กลับไปทางบ้านคุณชายวั่นที่อยู่ข้างบ้านสกุลอวี๋แทน
เหตุการณ์นี้สือโถวและเด็กๆ อีกสองสามคนเห็น ทว่าพวกเขาอยู่ห่างออกไป จึงไม่ได้ยินตู้จินฮวาร้องขอความช่วยเหลือ โดยร้องว่า ‘อาหวั่นตกลงไปในน้ำ’ ทว่าสิ่งนี้ก็มิได้ส่งผลต่อการตัดสินของสกุลอวี๋
หลังจากรวบรวมท่าทีของตู้จินฮวาที่ริมแม่น้ำแล้ว คนสกุลอวี๋ก็เดาว่า ที่กัวเซี่ยนเยว่ตกลงไปในน้ำ เกรงว่าคงมิใช่เรื่องธรรมดา บางทีอาจจะเป็นการให้คุณชายวั่นเข้าใจผิด คิดว่าเป็นอวี๋หวั่นและลงไปช่วยในฐานะวีรบุรุษช่วยสาวงาม ทว่าคุณชายวั่นก็มิได้ถูกหลอก กลับเป็นหวางหมาจื่อใจเพชร ที่ช่วยขึ้นมาด้วยความผิดพลาด
เรื่องนี้เป็นความคิดของตู้จินฮวาหรือกัวเซี่ยนเยว่ไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือพวกเขาใช้ชื่อของอาหวั่นจริงๆ…มีบางเรื่องที่คนสกุลอวี๋มิได้เอื้อนเอ่ย แต่เก็บไว้ในใจ คุณชายวั่นช่วยอาหวั่นยามที่ผืนดินเคลื่อนตัว อาจเพราะเขาสนใจอาหวั่น และยังเป็นคนเรียนหนังสือที่เก่งกว่าจ้าวเหิง หากอาหวั่นแต่งงานกับเขา ก็นับว่าเป็นบุพเพสันนิวาสที่ดี
สองแม่ลูกสกุลกัวต้องทราบในเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาจึงสวมรอยเป็นอาหวั่นเพื่อจับคุณชายวั่น หากพูดตรงๆ ก็คือพวกเขาจะปล้นการแต่งงานของอาหวั่น! ช่างไม่รู้จักผิดชอบดีชั่วเสียยิ่งกว่าหมูหมา!
ดังนั้นงานเลี้ยงในครั้งนี้ คนสกุลอวี๋จึงไม่ค่อยอยากเชิญคนสกุลกัว
“แล้วคุณชายวั่นผู้นั้นเล่า?” จุดสนใจของอวี๋เซ่าชิงแตกต่างจากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของเขา
ลุงใหญ่ตกตะลึง และรู้สึกว่าจุดสนใจของน้องชายดูเอนเอียงเล็กน้อย ทว่าก็ตอบอย่างจริงจัง “ข้าได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นที่บ้านและเขาก็กลับบ้านไป”
ไม่รู้เหตุใด อวี๋เซ่าชิงจึงไม่อาจชอบคนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นคนดีและช่วยบุตรสาวของตนได้ลง ความรู้สึกนี้ เหมือนกันกับที่มีต่อคุณชายเยี่ยนที่ดูแลเขาที่วัดต้าหลี่ไม่มีผิด
“ข้าคิดว่า…” อวี๋ซงเอ่ย
“ผู้ใหญ่คุยกัน เจ้าจะขัดอันใด?” ป้าใหญ่ถลึงตาใส่เขา
อวี๋ซงหุบปากลงด้วยความหดหู่ ในเมื่อไม่ใช่ผู้ใหญ่ แล้วให้เขาอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใด?
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปละ” อวี๋ซงลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย
ป้าใหญ่เอ่ยอีกครา “คิดว่าตัวเองเป็นเด็กสามขวบหรือ? ออกไปเที่ยวทั้งวัน!”
อวี๋ซงรู้สึกขมขื่น ผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ เด็กก็ไม่ใช่ แล้วเขาเป็นอะไร!!!
ในที่สุดสกุลอวี๋ก็ตัดสินใจฝากข้อความไปบอกสกุลกัว
“ถึงแม้จะยกโทษให้พวกเขา ก็ไม่มีหน้ามาที่นี่หรอก!” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยฮึดฮัด
ใช่แล้ว เกิดเรื่องหวางหมาจื่อขึ้น แล้วยังวิ่งมาที่หมู่บ้านเหลียนฮวา ยังขายหน้าไม่พอหรือ? หวางหมาจื่อที่กลัวว่ากัวเซี่ยนเยว่จะจับเขา จึงได้รีบแต่งงานกับแม่หม้ายหลิวแล้ว!
ฝากไปบอกข่าวคราวถึงสกุลกัวแล้ว สกุลหลัวก็คงละเว้นไปไม่ได้ แม้ว่าสกุลนี้จะไม่ได้แปลกเท่าสกุลกัว แต่ก็ดูถูกสกุลอวี๋ ไม่ว่าจะมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา สกุลอวี๋ไม่บังคับ
เดิมที ควรจะเชิญพี่น้องร่วมรบของอวี๋เซ่าชิงมา ทว่าพวกเขาต่างก็ตามอู๋ซัน ออกจากเมืองหลวงไปตามหาโจวไหวกันหมด
ในวันที่สิบหก คนสกุลอวี๋ตื่นขึ้นมาในช่วงยามสี่ เริ่มเตรียมงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง แม้สกุลอวี๋มีฐานะยากจน ทว่าพวกเขาไปมาหาสู่กับผู้คนในหมู่บ้านอื่นๆ จึงมีคนมากมายที่ได้รับเชิญ เกรงว่าอาหารจะไม่เพียงพอ คนสกุลอวี๋จึงซื้อหมูสามร้อยจินมาสองตัว นายพรานก็มาช่วยฆ่าหมู ซวนจื่อกับอวี๋เฟิงก็เป็นผู้ช่วยนายพราน
ชายร่างใหญ่ทั้งสามใช้พลังมหาศาลกดหมูตัวอ้วนลงบนม้านั่ง นายพรานก็ใช้มีดสับลงไปจนเลือดหมูไหลนอง ทั้งสามเหนื่อยจนหมดแรง
อวี๋หวั่นก็มาด้วย เธอจับหมูอีกตัวแล้วเหวี่ยงมันลงบนม้านั่ง!
อวี๋เซ่าชิงมองชายร่างใหญ่สามคนที่เหนื่อยแทบตายที่อยู่ข้างๆ เขา แล้วก็มองไปที่บุตรสาวที่ยกหมูได้อย่างง่ายดาย ‘ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ’
เมื่อถึงยามห้า ชุ่ยฮวาจากครอบครัวนายพราน ป้าหลัวจากบ้านข้างๆ ป้าจางและป้าไป๋จากหน้าหมู่บ้านก็มาช่วยด้วย ในที่สุดป้าไป๋ก็ออกจากความโศกเศร้าของการสูญเสียบุตรชาย นางคิดได้แล้ว นางไม่มีเสาหลักแล้ว แต่นางยังมีเหมาตั้นกับเอ้อร์ยา ถือว่าทำเพื่อเด็กสองคนนี้ นางต้องกลับมามีกำลังใจอีกครั้ง
เที่ยงตรงงานเลี้ยงถึงจะเริ่ม สำหรับมื้อเช้าเป็นอาหารจากการฆ่าหมูกับอัวอัวโถว
อวี๋เฟิงกับซวนจื่อไปซื้อผักสดที่ตลาดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง โดยซื้อถั่วลิสงกับน้ำตาลก้อนมาด้วย น้ำตาลก้อนที่ขายในร้านไม่ดีเท่าลุงใหญ่ทำ ทว่าลุงใหญ่ยุ่งเกินไป จึงทำได้เพียงใช้สิ่งที่มีไปก่อน
นอกจากนี้อวี๋เฟิงยังเชิญซิ่วไฉอาวุโสจากหมู่บ้านข้างๆ มาช่วยเป็นนักบัญชีให้หนึ่งวัน
เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยาม แขกก็ทยอยกันมา เริ่มจากคนในหมู่บ้านเหลียนฮวา ตามมาด้วยหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างหมู่บ้านหลีและหมู่บ้านอู๋เจีย
ป้าสะใภ้ใหญ่รอรับแขกอยู่ด้านหน้า อวี๋เซ่าชิงไม่ได้กลับบ้านมาหกเจ็ดปี หลายคนไม่คุ้นเคย ป้าสะใภ้ใหญ่จึงพาเขาไปแนะนำทีละคน “นายท่านอู๋ นี่คือเจ้าสาม ยามที่เขาแต่งงาน ท่านก็เคยมาดื่มเหล้ายินดี ลืมไปแล้วหรือ?”
“เจ้าสามหรือ? เจ้าสามกลับมาแล้วรึ?” นายท่านอู๋หูตาฝ้าฟาง เสียงพูดของเขาดังกว่าป้าไป๋เสียอีก
“นี่คือเจ้าสาม!” ป้าใหญ่ตะโกนใส่หูของเขา
อวี๋เซ่าชิงเป็นพ่อของลูกสองคนแล้ว ทว่าพี่สะใภ้ใหญ่พาเขาไปราวกับเป็นลูกของนางเอง
ที่ห้องครัวก็ยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ ลุงใหญ่เป็นพ่อครัวทำอาหาร อวี๋เฟิงผัดกับข้าว อวี๋หวั่นฆ่าปลาและหั่นผัก ป้าไป๋กับป้าจางเป็นแม่บ้าน ห้องครัวสกุลอวี๋ไม่เพียงพอ บ้านของป้าหลัวก็ถูกใช้ด้วย
โต๊ะอาหารถูกยืมมาจากบ้านหลายหลัง ถูกวางไว้ที่หน้าประตู แม้จะมีขนาดแตกต่างกัน ทั้งเก่าและใหม่ ทว่าโดดเด่นด้วยจำนวนที่มาก เมื่อมองแวบแรกก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจ
อาหารที่ปรุงตอนเที่ยงมีผักกาดขาวผัดหนังหมู หมูสามชั้นตุ๋น ไส้หมูผัดต้นหอม หน่อไม้ต้มปลาจี้อวี๋ แกงเครื่องในหมู ในชนบท งานเลี้ยงเช่นนี้นับว่าอุดมสมบูรณ์มาก ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อสัตว์ยังมีมากกว่าผักและเต็มไปด้วยโหยวสุ่ย[2] หลังจากกินแกงร้อนๆ ไปคำหนึ่งก็ถึงกับหรี่ตาลงด้วยความพึงพอใจ
เหล้าผลิตในหมู่บ้านหลี เป็นเหล้าชั้นดี มีความใสและหอมกลมกล่อม ขมทว่าไม่ฝาดคอ มีรสหวานเมื่อแรกเข้าปาก กินคู่กับถั่วลิสงผัดและโรยด้วยเกลือหิมะ อร่อยล้ำจนเหล่านายท่านใหญ่กลุ่มนั้นวางแก้วไม่ลง
สกุลอวี๋ทำธุรกิจเต้าหู้เหม็น เป็นธรรมดาที่บนโต๊ะอาหารจะพลาดอาหารจานนี้ไปไม่ได้ คนในหมู่บ้านคุ้นเคยกับกลิ่นของมันมานานแล้ว เมื่อนำออกมาก็ไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ทว่าเดือดร้อนแขกที่มาจากหมู่บ้านใกล้เคียง
“นั่นมันอันใดกัน?” นายท่านอู๋บ่นพึมพำ “เหม็นแล้วยังเอาออกมาเลี้ยงคน! ไม่มีสิ่งใดจะกินแล้วรึ!”
ป้าสะใภ้ใหญ่หัวเราะ “นายท่านอู๋ลองชิมก่อน หากไม่อร่อย ข้าจะห่อหมูตุ๋นให้ท่านเอากลับเลย!”
ชีวิตของนายท่านอู๋ก็ไม่สู้ดีนัก เพราะเห็นแก่หมูตุ๋น นายท่านอู๋ก็จำใจยัดเต้าหู้เหม็นเข้าปาก จากนั้น…นายท่านอู๋ก็ไม่ต้องการหมูตุ๋นอีกเลย…
หลังจากนั้นไม่นานผู้จัดการชุยก็มาที่ประตู เขามาโดยรถม้า ส่วนใหญ่ในชนบทล้วนรถลากวัว บางครอบครัวก็เป็นรถลากลา หรือรถลากล่อ มีเพียงคนในเมืองเท่านั้นที่สามารถนั่งรถม้าได้ ดังนั้นยามรถม้าของผู้จัดการชุยมาหยุดที่บ้านของสกุลอวี๋ แขกที่มาจากหมู่บ้านหลีและหมู่บ้านอู๋เจียต่างก็ตกตะลึง
พวกเขาดูไม่ผิดใช่หรือไม่? นั่นมันรถม้าจริงๆ!
มีแขกที่นั่งรถม้าด้วย คงมาจากเมืองหลวงกระมัง!
ผู้คนในหมู่บ้านเหลียนฮวามีสีหน้าราบเรียบ นับประสาใดกับรถม้าหนึ่งตัว? รถม้าสองตัวพวกเขาก็เห็นมาแล้ว!
“พี่สะใภ้ใหญ่!” ผู้จัดการชุยลงจากรถม้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“โอ้ ผู้จัดการชุยนี่เอง” ป้าใหญ่ไม่คาดคิดว่าเขาจะมา นางตื่นเต้นดีใจ รีบไปที่ห้องครัวเพื่อเรียกอวี๋หวั่น
“ผู้จัดการชุย” อวี๋หวั่นกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม เมื่อวานนี้เธอไปที่จวนคุณชายในเมืองหลวง ยามเธอเดินผ่านหอหยกขาว เธอได้พูดคุยกับผู้จัดการชุยเกี่ยวกับการสร้างบ้าน ทว่าหลังจากกลับมาบ้าน เธอก็ลืมบอกคนในครอบครัว
ผู้จัดการชุยยกมือขึ้นคำนับด้วยรอยยิ้ม “อยู่ในเมืองข้าก็ได้กลิ่นเต้าหู้เหม็นของเจ้าแล้ว ยังมีเหลืออยู่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “ตราบใดที่ผู้จัดการชุยไม่รังเกียจ วันนี้จะทำให้ท่านอิ่มหนำ”
ผู้จัดการชุยเลิกคิ้วพลางยิ้ม “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว! เอ๊ะ? ผู้นั้นคือ… “
ผู้จัดการชุยสังเกตเห็นอวี๋เซ่าชิงซึ่งกำลังคุยกับแขกที่มาจากหมู่บ้านหลี อวี๋เซ่าชิงรูปร่างสูงใหญ่ มีความสามารถที่โดดเด่น ยืนอยู่ที่นั่นดุจดั่งหงส์ในหมู่กา ยากจะไม่ให้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขา
“ท่านพ่อของข้าเอง” อวี๋หวั่นก้าวไปด้านหน้าเพื่อเรียกอวี๋เซ่าชิงและพาเขามาแนะนำ “ท่านพ่อ นี่คือผู้จัดการชุยของหอหยกขาว ธุรกิจของเราได้คุณหนูไป๋และผู้จัดการชุยช่วยดูแลไม่น้อย”
ยามกล่าวถึงคุณหนูไป๋ อวี๋เซ่าชิงยังมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจอีก? ครอบครัวภรรยาของหลานชายคนโต ต้องทักทายอย่างดีเสียหน่อย
ไม่นานนัก นายท่านฉินก็มาถึง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหอจุ้ยเซียน และรองหัวหน้าสมาพันธ์ธุรกิจเจียงจั่ว นั่งอยู่ในรถม้าที่ดูโดดเด่นยิ่งกว่าผู้จัดการชุย
เมื่อม้าตะวันตกเฉียงใต้ที่ดูสง่าผ่าเผยสองตัวเดินอาดๆ เข้ามาปรากฏตัวที่บ้านสกุลอวี๋ ผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงก็ดูโง่เขลา
สกุลอวี๋มีโชคดีเพียงใด รู้จักกับตระกูลที่สูงศักดิ์ร่ำรวยถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
นายท่านฉินลงจากรถม้าแผ่กลิ่นอายทรงอำนาจ ทว่าหาใช่นายท่านฉินที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ กลับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามที่กระโดดออกจากรถม้าตามนายท่านฉินลงมา ดูแล้วอายุน่าจะเพียงสิบห้าหรือสิบหกปีที่มีรูปงามราวกับหยก
พวกเขาได้เห็นบุรุษรูปงามเช่นนี้มาหลายครา ผู้คนหันไปมองฉินจื่อซวี่ทีละคน กระทั่งลืมอาหารที่อยู่ตรงหน้า
………………
“คุณชาย…คุณชายเล่า?” ลุงวั่นรีบเข้าไปในลานของจวนคุณชาย
ฟางมามาเอ่ยว่า “คุณชายออกไปแล้ว ผู้จัดการวั่นเป็นกังวลถึงเพียงนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
ลุงวั่นตบศีรษะตัวเอง “ข้านี่ชราจนสับสนเสียแล้ว วันนี้ที่บ้านแม่นางอวี๋จัดงานเลี้ยง ข้าลืมบอกกับคุณชาย! คุณชาย…คุณชายได้บอกหรือไม่ว่าจะไปที่ใด?”
ฟางมามาครุ่นคิดสักพัก พลันเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะไปที่จินหลวนเตี้ยน”
เยี่ยนจิ่วเฉาไปที่จินหลวนเตี้ยนอีกแล้ว!
ทุกคนไม่อาจทราบว่าเหตุใดเขาต้องมา!
มาครั้งแรก ก็ตีกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนสำคัญ มาครั้งที่สอง ก็ก่อกวนการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์กับซยงหนู ครั้งที่สาม…ผีเท่านั้นที่จะรู้ว่าเขามีแผนจะทำอันใดอีก!
ทุกคนรวมทั้งฮ่องเต้ต่างมองเขาอย่างปวดศีรษะ
น่าเสียดาย ผู้ที่ถูกเขาขัดจังหวะ ก็ยังเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการที่กำลังรายงานเรื่องงานอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ รองเสนาบดีกรมพิธีการจิตใจขมขื่น เหตุใดต้องเป็นข้าที่โชคร้ายเสมอ?
ไม่รู้ว่าทุกคนคิดไปเองหรือไม่ พวกเขาต่างรู้สึกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาสูงขึ้นกว่าวันก่อน หรือว่าอายุของเขาในยามนี้ ยังสามารถสูงขึ้นได้อีก?
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเบาๆ “หลี่ซั่งซู เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่จ้องรองเท้าของคุณชายผู้นี้?”
รองเสนาบดีกรมพิธีการปากอ้าตาค้าง ข้าไม่ได้จ้อง!
เยี่ยนจิ่วเฉา “ยังมองอีก”
รองเสนาบดีกรมพิธีการ “???”
เยี่ยนจิ่วเฉา “ต่อให้มองอีกก็ไม่ได้เป็นของเจ้า”
รองเสนาบดีกรมพิธีการ “!!!”
………………………………………………………..
[1] หลิวสุ่ยสี (流水席) เป็นงานเลี้ยงประเภทหนึ่ง ที่อาหารทุกจานต้องมีซุป และเสิร์ฟไม่ให้ขาดสายดุจน้ำไหล
[2] โหยวสุ่ย (油水) คือน้ำมันที่อยู่ในจานอาหาร