หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 51.1 เบาะแสในปีนั้น เข้าวัง (1)

บทที่ 51 เบาะแสในปีนั้น เข้าวัง (1)
โดย
Ink Stone_Romance

 

ในวันที่สิบเจ็ดเดือนสาม ท้องฟ้าสดใส สถานที่ก่อสร้างของสกุลอวี๋ได้เริ่มต้นขึ้น เสียงตึกๆ ต่อกๆ ผสมกับเสียงตะโกนของบุรุษ ทำลายความเงียบสงบของหมู่บ้านเล็กๆ
เถี่ยตั้นน้อยพลิกตัว ร่วงลงกับพื้นดังโครม ทำให้ตื่นขึ้นในทันที
อวี๋หวั่นตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในสถานที่ก่อสร้างเป็นคนในหมู่บ้าน และบางคนมาจากหมู่บ้านอื่น พวกเขาทั้งหมดได้รับคัดเลือกจากอวี๋เฟิง เขากลายเป็นผู้รับเหมารายย่อม โรงฝึกงานไม่ได้รับการดูแล เช้าวันนี้อวี๋หวั่นจึงไปช่วยที่โรงฝึกงาน
เถี่ยตั้นน้อยถูก้นน้อยที่กระแทกพื้นและหมายจะปีนกลับขึ้นเตียงไปนอนต่อ ทว่าเมื่อเขาหันไปก็เห็นกล่องที่อยู่ใต้เตียงโดยบังเอิญ
เอ๋?
มีกล่องอยู่ใต้เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่?
เมื่อวานยังหลบอยู่ใต้เตียงแอบกินขนมกับน้องเจินเจิน ทว่าหามีกล่องสักใบไม่!
หรือว่าท่านพี่จะแอบของอร่อยๆ เอาไว้นะ?
“ซู้ด~” เถี่ยตั้นน้อยดูดน้ำลายและคลานเข้าไปใต้เตียงเพื่อเอื้อมหยิบกล่องออกมา
อวี๋หวั่นไปที่สวนหลังบ้าน เพื่อล้างทำความสะอาดกวาดเล้าไก่ เก็บไข่ จากนั้นจึงวางแผนที่จะกลับไปที่บ้าน เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปข้างนอก ทว่าเธอเห็นเถี่ยตั้นน้อยนั่งอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้างุนงง ในมือกำลังถือกล่องใบใหญ่ไว้ด้านหน้า เขาดึงชุดแต่งงานสีแดงขนาดใหญ่ออกมาครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยังอยู่ในกล่อง
“ท่านพี่ นี่มันคืออะไร? ท่านซื้อชุดมาใหม่หรือ? สวยจังเลย…” เถี่ยตั้นน้อยมองอวี๋หวั่นที่อยู่หน้าประตู ราวกับเป็นเด็กน้อยขี้สงสัย พลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ
บังเอิญที่อวี๋เซ่าชิงทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว จึงมาเรียกอวี๋หวั่นให้ไปกินอาหาร
อวี๋หวั่นรีบยัดชุดแต่งงานกลับเข้าไปในกล่อง ทันทีที่อวี๋เซ่าชิงก้าวข้ามธรณีประตู ฝากล่องก็ถูกปิด!
ด้วยท่าทีและความรวดเร็วประดุจลมพายุ เถี่ยตั้นน้อยถึงกับตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
อวี๋เซ่าชิงมองเห็นความกังวลใจของบุตรสาวได้อย่างชัดเจน พลางมองกล่องที่บุตรสาวพยายามปกปิดไว้อย่างมีนัยลึกซึ้งบางอย่าง จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไร พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “อาหวั่นอาหารพร้อมแล้ว ไปกินข้าวกันเถิด เถี่ยตั้นยังจะนอนต่อรึไม่ หากไม่นอนแล้วออกมากิน”
จากนั้นเขาก็หันตัวเดินไปยังห้องครัว
อวี๋หวั่นมองไปที่เถี่ยตั้นน้อย พร้อมกับเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ต่อไปไม่อนุญาตให้เจ้ารื้นค้นของของพี่”
เถี่ยตั้นน้อย “อื้อ”
“เจ้าไปล้างหน้าล้างตาเถิด” อวี๋หวั่นชำเลืองมองไปนอกประตู
เถี่ยตั้นน้อยออกไปอย่างเชื่อฟัง อวี๋หวั่นเปิดกล่องและมองไปที่ชุดแต่งงานหรูหราสง่าสาม สีแดงสดสะท้อนเข้ามาในดวงตา ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัว
เมื่อมีการเคลื่อนไหวดังขึ้นอีกครั้งจากห้องโถง อวี๋หวั่นจึงรีบเอาชุดแต่งงานใส่กลับลงไปพร้อมกับปิดกล่อง และคราวนี้เธอก็ไม่ลืมที่จะลงกลอนมัน
“ท่านพ่อ รู้หรือไม่ว่ามีอะไรอยู่ในกล่องของท่านพี่?” หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เถี่ยตั้นน้อยก็วิ่งตามอวี๋เซ่าชิงเข้ามาในห้องครัว
เมื่ออวี๋เซ่าชิงได้ยินคำว่าท่านพ่อของบุตรชายก็พลันรู้สึกจิตใจเบิกบาน ทว่าสิ่งที่เขามีความสุขที่สุดหาใช่เรื่องนี้ เขายิ้มอย่างมีเลศนัย พลางเอ่ยกับบุตรชายว่า “แน่นอน พ่อรู้”
เถี่ยตั้นน้อย “หือ?”
อวี๋เซ่าชิงเอ่ยอย่างยากจะซ่อนความดีใจ “นั่นคือสิ่งที่พี่สาวของเจ้าทำให้พ่อด้วยตัวเอง อย่าบอกคนอื่นนะ”
ชุดกระโปรงสีแดงสดนั่น…คือ คือ คือ…คือชุดที่ท่านพี่ทำให้ท่านพ่อหรือ?
ดูท่าทีของท่านพ่อแล้ว เหมือนจะพอใจมาก ชอบมากและอยากใส่?!
สมองของเถี่ยตั้นน้อยนึกภาพของท่านพ่อที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อกำลังสวมชุดกระโปรงสีแดงตัวเล็ก ช่างเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา!
เถี่ยตั้นน้อยแทบจะร้องไห้ “ท่านบอกว่าท่านเป็นชายชาตรี เหตุใดท่านจึงมีนิสัยเช่นนี้เล่า?”
อวี๋เซ่าชิง “…”

หลังจากมื้อเช้า อวี๋หวั่นไปยังบ้านหลังเก่าของสกุลอวี๋ รถม้าของหอจุ้ยเซียนที่จะมารับสินค้าของวันนี้มาถึงแล้ว เมื่ออวี๋หวั่นนับของเสร็จแล้ว ก็เอ่ยกับคนที่มารับของว่า “เจ้านับอีกรอบสิ”
“ไม่ต้องละ ไม่ต้องละ!” เขายิ้ม “สินค้าของรองผู้ดูแลไม่เคยผิดพลาดมาก่อน!”
“นับอีกหน่อยเถิด” อวี๋หวั่นยืนยัน
“เอ๊ะ!” ชายผู้นั้นหยิบเต้าหู้เหม็นมานับทีละแปดร้อยจินหนึ่งรอบ “ถูกต้อง”
เมื่อวานนี้ได้เต้าเจี้ยวมาในปริมาณเท่ากับสามวัน จึงไม่จำเป็นต้องจัดหาในช่วงสองวันนี้
ส่วนหน่อไม้ดองชุดแรกคงจะจัดส่งได้ภายในสิ้นเดือนนี้
กลางเดือนหน้าจะได้ค่าสินค้าของเดือนนี้ ส่วนเงินปันผลของร้านอาหารต้องรอสิ้นปี
เมื่อบุรุษผู้นั้นขับรถม้าออกไปแล้ว อวี๋หวั่นจึงกลับไปยังห้องโถง ลุงใหญ่ ป้าใหญ่และอวี๋เซ่าชิง นั่งอยู่ด้วยกันโดยมีลูกคิดวางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนพวกเขากำลังคำนวณอะไรบางอย่างอย่างรอบคอบ สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
อวี๋หวั่นเดินมา และเอ่ยถามเบาๆ “มีเรื่องอันใดหรือ? เงินที่ใช้สร้างบ้านไม่พอหรือ?”
การลงทุนครั้งแรกของโรงฝึกงานนั้นมากเกินไป และไม่อาจคืนทุนได้ภายในสองสามเดือน เงินที่ได้มาก่อนหน้านี้ก็ถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว วันนี้พวกเขายังคงมีหนี้ค่าหิน ค่าอิฐและค่าจ้างคนงาน พวกเขาต้องรอเงินค่าสินค้าก้อนแรกในเดือนหน้า และชำระไปเป็นเงินจำนวนน้อยก่อน
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ป้าใหญ่เอ่ย “สถานที่ก่อสร้างนั้น พ่อเจ้าได้รับเงินเดือนทหารแล้ว และได้ขอยืมป้าไป๋มาอีกเล็กน้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินในยามนี้”
อวี๋เซ่าชิงใช้เวลาหกปีในค่ายทหาร ในวันธรรมดาเขาก็ไม่ได้ออกไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เขาประหยัดอดออมเงินเดือนในแต่ละเดือน ยกเว้นเงินที่ใช้สำหรับซื้อของขวัญนิดหน่อย ส่วนที่เหลือก็มอบให้กับนางเจียง
และนางเจียงได้มอบมันให้กับป้าใหญ่ เพื่อขอให้นางใช้สร้างบ้าน
ไม่เช่นนั้นเหตุใดป้าใหญ่จึงรักและเอ็นดูนางเจียง น้องสะใภ้เช่นนี้ แม้จุดโคมไฟหาก็ยากจะหาเจอ
“หากไม่ใช่เรื่องของเงิน แล้วท่านกังวลเรื่องใด?” อวี๋หวั่นถาม
ลุงใหญ่เอ่ยปาก “เรื่องการเข้าโรงเรียนของเถี่ยตั้น เถี่ยตั้นไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว พี่ใหญ่และพี่รองของเจ้า ก็ไปโรงเรียนเมื่ออายุเท่านี้”
แม้ทั้งสองคนจะไม่ได้เกเรมาก ทว่าก็มิได้ตั้งใจเล่าเรียน เรียนไปเพียงไม่กี่วันก็ไม่ไปอีกเลย
หมู่บ้านเหลียนฮวามีขนาดเล็ก ไม่มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ก่อนเกิดสงคราม หมู่บ้านส่วนใหญ่ยังมีโรงเรียนอยู่ ทว่าหลังสงคราม ชาวบ้านต่างลำบาก โรงเรียนในหมู่บ้านจึงทยอยปิดตัวลงและเหลือเพียงในหมู่บ้านซิ่งฮวา
นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านซิ่งฮวากับหมู่บ้านเหลียนฮวา ลุงใหญ่กับป้าใหญ่มีหรือจะกล้าส่งเถี่ยตั้นน้อยไปที่นั่น? มิใช่เป็นการผลักเด็กเข้ากองไฟหรอกหรือ?
“ที่แท้ก็เรื่องนี้หรือ?” อวี๋หวั่นเข้าใจในทันที เธอไม่เข้าใจระบบการศึกษาสมัยโบราณและเกือบจะทำให้น้องชายเข้าเรียนช้า น้องชายของเธอก็อายุหกขวบเต็มแล้ว เขาควรไปโรงเรียน “มิใช่ว่าในตำบลก็มีโรงเรียนหรือ?”
หากเธอจำไม่ผิด จ้าวเหิงน่าจะเคยเรียนในตำบล?
ค่าเรียนของโรงเรียนในตำบลแพงกว่าโรงเรียนในหมู่บ้านมาก แต่ละเดือนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหนึ่งตำลึง ทว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตอนนี้พวกเขามีธุรกิจ เดือนละหนึ่งตำลึงก็พอจะจ่ายได้ ทว่าความยากก็คือ โรงเรียนต้องสอบเข้า และจะรับเข้าเรียนหลังจากผ่านการสอบแล้วเท่านั้น
“โรงเรียนก็ต้องสอบด้วยหรือ?” อวี๋หวั่นประหลาดใจ
“ใช่” ลุงใหญ่ถามหลี่เจิ้งมาแล้ว “ส่วนใหญ่จะเข้าเรียนโรงเรียนประจำหมู่บ้านก่อนหนึ่งปีหรือสองปี แล้วจึงย้ายไปเรียนที่โรงเรียนในตำบล”
จ้าวเหิงก็สอบเข้าในปีนั้นและยังได้คะแนนอันดับหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังเป็นที่หนึ่งของทุกปี เจ้าเด็กนั่นเลวระยำก็จริง ทว่าเรื่องเรียนยอดเยี่ยมไม่เป็นรองใคร
ลุงใหญ่ถอนหายใจ “ความหมายของหลี่เจิ้งก็คือ ให้เถี่ยตั้นน้อยไปเรียนที่หมู่บ้านซิ่งฮวาก่อนสักพัก ยามนี้พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว มีพ่อเจ้าอยู่ คนในหมู่บ้านซิ่งฮวาจะไม่กำเริบเสิบสานเหมือนเมื่อก่อน”
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หรือไม่ข้าก็จะไปสอบถามในตำบล ว่าในปีก่อนๆ เขาสอบอะไรกัน”
ในฐานะผู้มีความสามารถพิเศษในการสอบเข้าวิทยาลัยในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด การเตรียมตัวสอบนับเป็นจุดแข็งของเธอ ตราบใดที่เธอรู้ขอบเขตของคำถาม ไม่ต้องส่งไปที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านซิ่งฮวา เธอก็สามารถทำให้เถี่ยตั้นน้อยกลายเป็นหนอนหนังสือตั้นน้อยได้

อวี๋หวั่นเดินทางเข้าไปยังตำบล
ซวนจื่อจะขับรถลากวัวไปส่งเธอ ทว่าเธอปฏิเสธ รถลากวัวยังไม่เร็วกับเท่าเดินด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือไม่ เธอมักจะรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองอยู่ตลอดทาง แต่เมื่อหันไปมอง ก็กลับไม่พบเงาของผู้ใด
“โอ้ ลมอันใดหอบรองผู้ดูแลมาที่นี่?” ผู้จัดการชุยที่กำลังดีดลูกคิดเงยหน้ามอง เห็นอวี๋หวั่นเดินเข้ามาในหอหยกขาว เขาจึงรีบวางลูกคิดลงและกล่าวทักทาย
เขาทราบเรื่องที่อวี๋หวั่นทำธุรกิจร่วมกันกับหอจุ้ยเซียนแล้ว และด้วยความโชคดีของอวี๋หวั่น เขาจึงมีความสัมพันธ์กับรองหัวหน้าสมาพันธ์ธุรกิจเจียงจั่ว แต่ด้วยสถานะของเขาในปัจจุบัน ยังไม่อาจจะติดต่อกับนายท่านฉินได้ ทั้งหมดคือการได้เห็นหน้าของอวี๋หวั่นเท่านั้น
อวี๋หวั่นกล่าวทักทายอย่างสุภาพก่อน จากนั้นจึงแสดงเจตนาที่ชัดเจน
“คิดว่าข้าเป็นใครเล่า!” ผู้จัดการชุยทำเสียงจิ๊ “ไม่ใช่แค่ข้อสอบของโรงเรียนในตำบลหรอกหรือ? ข้ากับนักปราชญ์เจิ้งเป็นเพื่อนเก่ากัน เย็นนี้ข้าจะไปที่บ้านเขาเพื่อเอาข้อสอบมาให้เจ้า!”
อวี๋หวั่นไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องราวจะง่ายดายเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ “ขอบคุณผู้จัดการชุยมาก”
ผู้จัดการชุยถอนหายใจ “คนกันเอง เอ่ยเช่นนี้ราวกับคนนอก!”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มมุมปาก “คุณหนูไป๋สบายดีหรือไม่?”
………………………………………………………………..

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset