บทที่ 59 ความอบอุ่นของแม่ลูก (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ราชันร้อยสัตว์พิษได้ถูกบ่มเพาะนิสัยที่ดุร้ายตั้งแต่ตอนที่อยู่รวมกับสัตว์อื่น มันกินทุกอย่างที่กินได้ ทั้งสัตว์พิษหรือเลือดเนื้อ
นั่นเป็นเหตุผลที่อาเว่ยต้องสวมถุงมือไหมโลหะเพื่อให้สามารถหยิบหนอนพิษได้
บนร่างกายของอวี๋หวั่นไม่มีสิ่งใดที่จะต่อต้านไป่กู่หวังได้
นางเสร็จแน่ อาเว่ยคิดอย่างภูมิใจ
แต่สิ่งที่ทำให้อาเว่ยต้องรู้สึกประหลาดใจก็คือ แม้หนอนพิษจะถูกโยนลงบนร่างกายของอีกฝ่าย ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าจะเคลื่อนไหว
ไป่กู่หวังยังไม่ตื่นรึ?
ไป่กู่หวังไม่หิวรึ?
เจ้าคือไป่กู่หวังที่สามารถปลิดชีพคนได้แม้กระทั่งหลับตานะ!
หากการไม่ขยับใดๆ ทำให้อาเว่ยประหลาดใจแล้ว สิ่งที่เห็นหลังจากนั้นทำให้อาเว่ยถึงกับตกใจ
ราชันร้อยสัตว์พิษกำลังทำสิ่งใด มันยืนสั่นระริกอยู่บนร่างของสตรี!
เป็นไปได้อย่างไร?!
ข้าเอาหนอนพิษมาผิดตัวรึ? เป็นไปไม่ได้ หนอนพิษที่เขาฝึกมากับมือ ไม่มีวันผิดพลาด
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้น แต่อาเว่ยก็มีวิธีของตนเอง เขาหยิบแท่งไฟออกมา ไป่กู่หวังกลัวไฟ หากเพียงใช้ไฟบังคับ ก็จะสามารถกระตุ้นความดุร้ายอันแข็งแกร่งและน่ากลัวภายในของมันออกมาได้
แต่สิ่งที่อาเว่ยคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อเขาใช้แท่งไฟบังคับให้ไป่กู่หวังไปกัดอวี๋หวั่น ไป่กู่หวังกลับตัวแข็งทื่อแน่นิ่ง!
นี่ นี่มันตายแล้วหรือ?
อาเว่ยรีบถอดถุงมือออกและบีบไป่กู่หวัง
ทันใดนั้นไป่กู่หวังก็อ้าปากและกัดมือเขา!
อาเว่ย “…”
…
อวี๋หวั่นมีความฝันที่ยาวนาน ในความฝันมีฝนตกหนัก ทั้งหนาวเหน็บและมืดมิด เธอเหมือนยอมแพ้บางสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ จู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจและก็ตื่นขึ้นจากฝันร้าย
ยามตื่นขึ้นมากลับลืมทุกอย่างสิ้น มีเพียงหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรง เดาได้รางๆ ว่าความฝันเมื่อครู่ ไม่ใช่ความฝันที่สวยงามแต่อย่างใด
เสียงฟ้าร้องหยุดลงแล้ว ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง อวี๋หวั่นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเธอ และมองไปที่เถี่ยตั้นน้อยที่อยู่ข้างๆ
เถี่ยตั้นน้อยนอนหลับสนิทมาก ไม่รู้ว่าด้านนอกฝนกำลังตก
เม็ดฝนซึมเข้ามาจากรอยแตกใต้ชายคาและหยดลงบนพื้นห้อง อวี๋หวั่นจึงเดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อหากะละมังมารองน้ำฝน กลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากบ้านที่อยู่ติดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากอวี๋หวั่นนำกะละมังไปรองน้ำฝนในบ้านแล้ว ก็สวมเสื้อคลุมและเดินออกไปทางประตูหลัง มาถึงประตูหลังของบ้านที่อยู่ติดกัน ฝนตกหนักจนกลบเสียงเคาะประตู เธอจึงแง้มกลอนประตูออก และรีบเดินเข้าไปในสวน
เด็กน้อยทั้งสามอาละวาดอยู่ในห้อง ร้องไห้งอแงเสียงดัง ซั่งกวนเยี่ยนปลอบอย่างไรก็ไม่หยุดร้อง สาวรับใช้ก็ทำอะไรไม่ถูก ทั้งสองร้อนรนกระวนกระวาย หมดหนทางที่จะรับมือกับเด็กทั้งสาม
“เกิดอันใดขึ้น?” อวี๋หวั่นเข้าไปในห้องนอน
คนทั้งสองคนกระวนกระวายมาก กระทั่งแม้จู่ๆ เธอปรากฏตัวขึ้นก็ลืมถามเธอว่าเข้ามาได้อย่างไร
“เจ้ารีบมาดูทีสิ ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น นอนมาค่อนคืนก็ยังปกติดี แล้วจู่ๆ ก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง” ซั่งกวนเยี่ยนไม่ค่อยได้อยู่กับเด็กๆ ส่วนมากมักเป็นตอนกลางวัน จะรู้ได้อย่างไรว่าจู่ๆ จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นางจึงทำตัวไม่ถูก
เด็กทั้งสามราวกับตกใจกลัวบางสิ่งบางอย่าง ร้องไห้กระหืดกระหอบตัวโยน สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อวี๋หวั่นเดินไปนั่งข้างเตียง แล้วเอาตัวพวกเขามากอดไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับลูบหลังเล็กๆ ของพวกเขาเบาๆ “พวกเจ้าฝันร้ายหรือ? หรือว่าคิดถึงท่านพ่อ?”
เธอสัมผัสอย่างนุ่มนวลและใช้น้ำเสียงแสนอ่อนโยน
เด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน ได้รับสัมผัสอันอบอุ่นและเสียงเต้นของหัวใจ ก็ค่อยๆ เบาเสียงร้องไห้ลง จนเหลือเพียงเสียงสะอื้นต่ำ
หากซั่งกวนเยี่ยนไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ก็คงไม่เชื่อว่าเด็กทั้งสามคนที่แม้แต่ย่าแท้ๆ ก็ไม่อาจรับมือ จะทำตัวเชื่อฟังเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของหญิงแปลกหน้าผู้นี้
ฝนตกหนักมาก อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล เด็กทั้งสามไม่มีแม้เสียงสะอื้นเพียงเล็กน้อย พวกเขาขยับกาย กระชับเข้าในอ้อมแขนอวี๋หวั่น มือน้อยๆ จับชายอาภรณ์ของเธอ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง
“ก็แค่ฝนตกเท่านั้น มิต้องกลัว” อวี๋หวั่นเอ่ยเบาๆ
หัวใจของอวี๋หวั่นรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเห็นสภาพของพวกเขาเช่นนี้ การร้องไห้เมื่อครู่หนักหนา จนอาภรณ์ชุ่มโชก อวี๋หวั่นหันมองซั่งกวนเยี่ยน
ซั่งกวนเยี่ยนรับรู้ได้ทันที จึงลุกขึ้นไปหยิบอาภรณ์
ในรถม้านำติดมาสองสามชุด และในบ้านหลังนี้ก็มีอยู่บางส่วน
แน่นอนว่านางเพิ่งทราบว่าบุตรชายของตนแอบซื้อบ้านในหมู่บ้านเช่นนี้
“ฮู…” สาวรับใช้เอ่ย
“ชู่ว—” ซั่งกวนเยี่ยนชูนิ้วบอกให้นางเงียบ นางรู้แล้วว่าเด็กๆ กำลังหวาดกลัว ไม่ว่าเสียงของผู้ใดก็อาจทำให้พวกเขาตกใจได้ ยกเว้นเพียงอวี๋หวั่น
สาวใช้ปิดปากของตนอย่างเชื่อฟัง
ซั่งกวนเยี่ยนหยิบอาภรณ์อย่างเบามือ ส่วนสาวรับใช้ก็ไปต้มน้ำอุ่นมาให้อวี๋หวั่นเช็ดตัวพวกเขา จากนั้นก็เปลี่ยนสวมชุดนอนที่แห้งสนิท แล้วพากลับไปที่เตียง
พวกเขาทั้งสามเบิกตากว้างมองเธอ
อวี๋หวั่นจับมือน้อยๆ ของทั้งสามมารวมกันแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ไปที่ใดหรอก นอนเถิด”
หลังจากก่อเรื่องวุ่นวาย ทั้งสามคนก็ต่างเหนื่อยล้า เปลือกตาของพวกเขาเลื่อนลงและปิดในที่สุด ทว่าไม่นาน พวกเขาก็ฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นยังอยู่ พวกเขาก็หลับไปด้วยความมั่นใจ
อวี๋หวั่นเฝ้ามองพวกเขาอย่างทะนุถนอม ราวกับมองดูทารกที่มีค่าที่สุดในชีวิต
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแสนอบอุ่นจนใครไม่อาจกล้าไปรบกวน ซั่งกวนเยี่ยนจึงก้าวออกไปเงียบๆ และปิดประตูให้อย่างเบามือ
คืนที่พายุโหมกระหน่ำ เด็กน้อยทั้งสามเงียบสงบ ทว่าฝั่งจวนสกุลเหยียนกลับสูญเสียการควบคุม
ไม่รู้ว่าเหยียนหรูอวี้กินยาตัวใดผิด จู่ๆ กลางดึกก็เปิดผ้านวมออก ลงไปกองกับพื้น และเริ่มขว้างปาสิ่งของในห้องอย่างสุดกำลัง
คืนวันนี้ไม่ใช่เวรเฝ้าของไฉ่ฉิน แต่เป็นสาวใช้ลำดับสอง ชื่อไฉ่จู
ไฉ่จูถามเหยียนหรูอวี้ด้วยความตกใจว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าคำตอบคือแจกันหยกเย็นๆ ไฉ่จูถูกทุบจนมึนหัว
ก่อนเป็นลมสลบไป นางกรีดร้องเสียงแหลม ปลุกข้ารับใช้ในเรือนจนตื่น
“ไฉ่จู!” ไฉ่ฉินไม่ได้สนใจแม้จะสวมเสื้อคลุมก่อน รีบก้าวออกไปด้วยความร้อนรน นางแตะจมูกของไฉ่จู และพบว่านางยังมีลมหายใจอยู่ จึงรีบลากนางไปด้านข้าง
ทันทีที่ลากออกไป ที่ที่ไฉ่จูนอนอยู่เมื่อครู่ ก็มีเครื่องเคลือบหยกตกลงมาอย่างน่าหวดเสียว หากไฉ่ฉินช้าไปเพียงก้าวเดียว มาตรว่าศีรษะของไฉ่จูคงได้เปิดออก
“ไอ้หยา นี่มันเกิดอันใดขึ้น?” แม่หลินก็เข้ามาเช่นกัน
ไฉ่ฉินมองไปที่เหยียนหรูอวี้แล้วเอ่ยด้วยความหวาดกลัว “ข้า…ข้าไม่รู้…คุณหนูทุบไฉ่จู…”
แม่หลินมองเหยียนหรูอวี้ด้วยสีหน้าซับซ้อนยากคาดเดา เหยียนหรูอวี้สวมชุดนอนสีขาวล้วน ผมยาวยุ่งเหยิง ดวงตาดุร้าย ใบหน้าซีดเผือด เมื่อมองแวบแรกก็เห็นทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยความดำมืด น่ากลัวจนไม่อาจบรรยาย
ในพริบตา แม่หลินก็เอ่ยกับไฉ่ฉิน “ยังไม่รีบทำให้คุณหนูหยุดอีก?”
“หือ?” ไฉ่ฉินผงะ จะหยุดอย่างไรเล่า? คุณหนูในสภาพนี้ ดูเหมือนกำลังอยากจะกินคนอย่างนั้นละ!
“เร็วเข้าสิ!” แม่หลินดุดัน
ไฉ่ฉินไม่กล้าแข็งข้อ นางวางร่างไฉ่จูลง แล้วรวบรวมความกล้าเดินไปเข้าใกล้เหยียนหรูอวี้ “คุณหนู อย่าขว้างปาข้าวของอีกเลยนะเจ้าคะ โกรธเคืองเรื่องใดก็มาลงกับบ่าวเถิด”
ขณะที่นางเอ่ย ก็ค่อยๆ ยื่นมือออกไป อีกเพียงนิดเดียวก็สามารถรัดตัวเหยียนหรูอวี้ไว้ได้ ทว่ายังไม่ทันที่นางจะสัมผัสตัว เหยียนหรูอวี้ก็วาดมือตบหน้านางฉาดใหญ่ ไฉ่ฉินถูกตบจนหน้าหัน มองเห็นดาว
บรรดาคนรับใช้ถูกทำให้ตกใจตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ และมายืนล้อมอยู่หน้าประตูโดยไม่ได้นัดหมาย
แม่หลินกั้นประตู “มองอันใด? กลับไปที่ห้องตัวเอง! หากข้าไม่ได้สั่ง ผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมา!”
แม้ผู้คนต่างสงสัยใคร่รู้ ทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของแม่หลิน ยอมกลับไปที่ห้องพร้อมกับความสงสัย
อีกด้านหนึ่ง ไฉ่ฉินถูกเหยียนหรูอวี้ดึงไว้ เหยียนหรูอวี้ตบหน้านางอยู่หลายครา จนใบหน้าของไฉ่ฉินเริ่มปูดบวม
“คุณหนูโปรดไว้ชีวิต คุณหนูโปรดไว้ชีวิต” ไฉ่ฉินหลั่งน้ำตาดุจสายฝน นางไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าทำให้คุณหนูขุ่นเคืองอย่างไร คุณหนูทุบตีนางโดยไม่มีคำพูดใด และกำลังจะฆ่านาง!
“แม่หลินช่วยข้าด้วย”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของไฉ่ฉิน ทำให้แม่หลินกลับคืนสติ
แม่หลินปิดประตู ก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว และจับข้อมือของเหยียนหรูอวี้ หมายจะแยกนางออกจากไฉ่ฉิน
เหยียนหรูอวี้เป็นบุตรีผู้ที่นิสัยเสียเอาแต่ใจ โดยปกตินางไม่ค่อยมีแรงมากนัก ทว่าในยามนี้ไม่ทราบเหตุใด คล้ายกับว่านางจะใช้แรงทั้งหมดที่มีในชีวิต แม่หลินไม่เพียงแต่ไม่สามารถดึงนางออกได้ กลับยังถูกเหยียนหรูอวี้เตะจนร่วงลงกับพื้น!
…………………………………………………………