หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 252 ผ่านเขตอุทกภัย วัชพืชพิษช่วยชีวิต (1)

ตอนที่ 252 ผ่านเขตอุทกภัย วัชพืชพิษช่วยชีวิต (1)

คุณหนูลิ่วได้ยินคำพูดนี้พลันพูดขึ้น “ข้าเองที่บังอาจไประรานท่าน! คุณชายรักและลุ่มหลงในฮูหยินของท่านทำให้ข้านับถือจริงๆ! แค่ท่านเป็นผู้มีพระคุณของท่านพ่อ ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน กลับเป็นข้าที่ไม่รู้แบ่งแยกเอง”

เหยาเยี่ยนอวี่พลันยิ้มแย้มผ่านแววตา “จริงๆ ก็ง่ายมาก พวกเราเป็นพ่อค้าจากเขตตอนใต้และกำลังจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เหตุเพราะการจราจรทางน้ำติดขัด ทำได้เพียงทิ้งเรือไว้ตรงท่า การเดินทางครั้งนี้ของพวกเราเร่งรีบมาก ดังนั้นจึงอยากเช่ารถม้าของทางจวนไม่กี่คันเพื่อขนสัมภาระของพวกเราขึ้นเขตตอนเหนือ ทว่ากลับมีกลุ่มสตรีติดตามมาด้วย จึงต้องการรถม้าหลายคัน เมืองแห่งนี้…ไม่มีรถม้าที่เหมาะสมเลยจริงๆ ไม่ทราบว่าลิ่วหยวนว่ายจะสะดวกขายรถม้าให้พวกเราได้หรือไม่”

ลิ่วหยวนว่ายเพิ่งจะรอดชีวิตมาจากความตายเลยรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างยิ่ง รีบตบเตียงกล่าวพลางส่ายศีรษะ “พูดคำว่าขายไม่ขายออกมาได้อย่างไร! นี่ไม่ใช่เป็นการทำให้ผู้เฒ่าอย่างข้าอับอายขายหน้าหรือ! หากคุณชายต้องการรถม้าทั้งจวนก็เอาไปได้หมดเลย!”

หยวนว่ายฮูหยินยิ้ม “ทาางฝั่งตอนเหนือกำลังประสบภัยพิบัติอยู่ คุณชายจะขึ้นเหนือเกรงว่าคงไม่มีสถานที่ใดซื้อข้าวปลาอาหารได้ ทางจวนของพวกเรายังมีอาหารกักตุนไว้บ้าง จะส่งให้คุณชายพร้อมกัน!”

เถ้าแก่ร้านอาหารเห็นว่าเรื่องดีๆ ก็บรรลุแล้วพลันพูดอย่างรื่นเริง “คุณชายทั้งสองท่านช่างเป็นบุคคลชั้นสูงของเถาฮวาป้าของพวกเราจริงๆ!”

“คำพูดนี้กล่าวได้ไม่เลว!” ลิ่วหยวนว่ายถอนหายใจตาม มองเถ้าแก่เพียงพริบตาแล้วพูดขึ้น “เจ้าเป็นคนพาคนมา ก็ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว!”

เถ้าแก่พลันพูด “ท่านหยวนว่ายเกรงใจเกินไปแล้ว คุณชายสองท่านนี้ต่างห่างที่มีจิตใจงดงาม!”

ผู้เฒ่าลิ่วเป็นเศรษฐีใจกว้าง ในจวนมีรถม้าคันใหญ่สามคันตามกฎระเบียบของราชวงศ์ต้าอวิ๋น สามัญชนที่มีฐานะทั่วไปใช้รถม้าที่ขับเคลื่อนด้วยม้าสี่ตัวไม่ได้ เขากลับใช้วัวสองตัวลากรถ แม้นไม่ได้ว่องไวเหมือนรถม้า ทว่ารถคันใหญ่ทั้งยังไม่โคลงเคลงไปมา ด้านนอกก็ตกแต่งอย่างสวยงาม

เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าวัวช้าเกินไป ผู้เฒ่าลิ่วกลับสั่งให้คนจูงล่อออกมาหลายตัวแล้วพูดอย่างประหม่า “สามัญชนฐานะธรรมดาเลี้ยงม้าไม่ได้ ทว่าในจวนของข้ามีเพียงล่อสามสี่ตัวนี้ โชคดีที่พวกมันไม่เคยขาดน้ำและอาหารจึงถือว่าเลี้ยงดูออกมาได้พอใช้ได้ หากคุณชายไม่รังเกียจก็นำพวกมันไปใช้เถอะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พลันประสานมือคารวะกล่าวขอบคุณ แล้วยังบอกว่าตนเองจ่ายเงินตำลึงให้ทางจวนได้ จากนั้นก็ถูกลิ่วหยวนว่ายถลึงตาใส่ หรือว่าข้าเป็นคนต่ำทรามที่หน้าเงิน คุณชายก็ดูหมิ่นตนเกินไปหรือเปล่า

ดังนั้นก็พูดแค่ว่าช่างประไรไป แล้วจะนัดหมายว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่จะให้คนของลิ่วหยวนว่ายพาเหล่าบุรุษทั้งอายุมากและอายุน้อยในเมืองนี้เร่งรถม้าไปยังริมแม่น้ำที่ห่างจากไปห้าลี้เพื่อไปรับคน เหยาเยี่ยนอวี่จึงบอกให้แม่ทัพเว่ยที่มีใบหน้าดำคล้ำออกจากจวนลิ่วกลับร้านอาหารเพื่อไปเอาม้า จากนั้นก็รีบเดินทางกลับท่าเรือ

เหตุเพราะทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น เหยาเยี่ยนอวี่ดีใจยิ่งนัก ทันใดนั้นก็ลืมความอึดอัดใจตอนขี่อยู่หลังม้า แค่เอาแต่พูดกับเว่ยจางเท่านั้น

“นี่ ผู้เฒ่าลิ่วคนนั้นช่างใจกว้างเกินไปแล้วหรือเปล่า”

“หากเขาเสียชีวิต ทรัพย์สมบัติภรรยากับบุตรีก็คงตกเป็นของผู้อื่นแล้ว ของแค่นี้สำหรับเขาแล้วไม่ใช่อะไรเลยหรือเปล่า”

“นี่ เหตุใดคนอย่างเจ้าถึงพูดจาไม่เสนาะหูเยี่ยงนี้ คนอื่นเขารู้ตอบแทนบุญคุณ อื้ม?”

แม่ทัพเว่ยพึมพำอย่างไม่พอใจแล้วกระชับแขนที่โอบเอวเรียวบางไว้

“เจ้าพร่ำบ่นอะไรของเจ้า” คุณหนูเหยารู้สึกได้ถึงแรงของเขาตรงเอวจึงยกแขนใช้ข้อศอกศอกใส่คนบางคนที่อยู่ด้านหลังหนึ่งที “ไม่รู้จักเกรงใจบ้างหรือ ทำความเข้าใจให้ดี คืนนี้หากไม่ใช่เพราะข้าช่วยชีวิตผู้เฒ่าลิ่วไว้ แม่ทัพเว่ยจะได้รถม้ามาได้อย่างไรกัน!”

“ไม่เพียงแต่เท่านี้” เว่ยจางพูดอย่างขุ่นเคืองใจ “คุณชายเหยา ท่านไม่เพียงแต่ได้รถม้าคันใหญ่ไปส่งถึงที่แล้ว เกือบจะได้แต่งตั้งอนุภรรยาหนึ่งคนแล้ว!”

“พรวด ฮ่าๆ…” คุณหนูเหยาหัวเราะร่วนอีกครั้ง!

เว่ยจางขมวดคิ้วและอดทนกับเอวอันเรียวเล็กที่ส่ายไปซ้ายทีขวาทีแล้วไม่ส่งเสียงใดอีก

ท้ายที่สุดคุณหนูเหยาก็หัวเราะจนเต็มอิ่มแล้วอุทาน “ช่างน่าเสียดาย เจ้าว่าหากข้าเป็นบุรุษจริงๆ แค่สู่ขออนุภรรยาให้เยอะๆ ก็ดื่มด่ำกับทรัพย์สมบัติจนเป็นเศรษฐีแล้ว? จะทนทุกข์ยากลำบากไปไยกัน”

แม่ทัพเว่ยรู้สึกว่าคืนนี้ว่าที่ภรรยาของตนไม่ปกติ เกรงว่าคงถูกบุตรีของผู้เฒ่าลิ่วหน้าโง่นั่นทำให้ตกใจจนสติวิปลาสแล้ว อีกทั้งนางยังพูดจาขบขันพลางบิดตัวไปมากลางอ้อมกอดของตน นี่ทรมานเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นแม่ทัพเว่ยจึงตัดสินใจเบี่ยงประเด็นแล้วเอ่ยถาม “เจ้าอยากฝึกขี่ม้าหรือไม่”

“อ๊ะ?” เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงัน ตามความคิดของแม่ทัพเว่ยไม่ทัน

เว่ยจางโยนบังเหียนม้าไว้ในมือของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วพูด “เจ้าขี่”

“ขี่…อย่างไร” เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงตามไม่ทัน

“ควบคุมทิศทางม้า…ทำเช่นนี้ เบี่ยงไปซ้ายทีขวาที…” เว่ยจางจึงสอนความรู้และท่าพื้นฐานให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็หลีกโกลนม้าให้เหยาเยี่ยนอวี่เหยียบเข้าไปแทนสองมือโอบเอวของนางไว้แล้วพูดข้างหูนาง “เสร็จแล้วเริ่มได้”

“เจ้าจะจับเอวของข้าไปไยกัน” คุณหนูเหยารู้สึกถึงอุณหภูมิที่ร้อนระอุทั้งสองข้างบนเอวของนาง จู่ๆ ความร้อนระอุก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ทันใดนั้นสมองของนางจึงคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วก็ลืมคำพูดทั้งหมดที่เว่ยจางเอ่ยเมื่อครู่นี้

“จุ๊! หากข้าไม่ทำเช่นนี้ เกิดเจ้าพลั้งมือเร่งความเร็วม้าอย่างฉับพลันแล้วข้าตกลงไปจะทำอย่างไร” เว่ยจางพูดอย่างมีคุณธรรม “เร็วเข้า พลาดโอกาสนี้ไป วันข้างหน้าก็คงไม่ได้ฝึกขี่ม้าง่ายๆ แล้ว หลังจากกลับเมืองหลวงข้าก็คงยุ่งมาก”

“อ้อ!” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ทำอย่างให้ม้าวิ่ง”

“เมื่อครู่เจ้าฟังอะไรเข้าหูบ้าง”

“ข้าลืมหมดแล้ว!”

“แค่คำพูดสองสามคำก็ลืม? โง่นัก”

“ข้าโง่?” คุณหนูเหยารู้สึกโมโหขึ้นมา

“…” แม่ทัพเว่ยหมดคำบรรยาย

“พอเถอะ เจ้าหาว่าข้าโง่ข้าไม่ฝึกแล้ว!” คุณหนูเหยาโกรธแล้วจริงๆ จึงโยนบังเหียนม้าในมือออกแล้วพร่ำบ่นพลางกอดอก

“เอาเถอะน่า ข้าพูดผิดไป เจ้าฉลาดหลักแหลมที่สุด!” แม่ทัพเว่ยยื่นมือไปดึงบังเหียนม้ามาแล้วยัดเข้าไปในมือของคุณหนูเหยา จากนั้นก็สอนขี่ม้าใหม่อีกครั้ง

ต่อให้เว่ยจางไม่อยากกลับไป พวกเขาก็ต้องเร่งเดินทางกลับไป

หนิงฮูหยินน้อยและทุกคนต่างก็ไม่กล้านอนพัก แสงไฟเรือลำใหญ่ส่องสว่างตลอดเวลา สตรีนับหลายสิบคนต่างกำลังรอพวกเขาสองคน

คืนนี้คุณหนูเหยาทำการใหญ่สำเร็จ ทั้งยังได้ฝึกขี่ม้า อารมณ์จึงดีเป็นพิเศษ แม้แค่ขี่อยู่บนหลังม้าเจ้าเฮยหลาง ข้างหลังยังมีเจ้าของตัวจริงนั่งอยู่ก็ตาม

กลับถึงบนเรือ เหยาเยี่ยนอวี่ก็บอกว่าต้องการน้ำชาเป็นการด่วน นางกระหายน้ำจวนตายแล้ว ชุ่ยเวยพลันยกน้ำชาอุ่นๆ มาแล้วมองคุณหนูของนางดื่มไปสองอึกพลันเอ่ยถาม “คุณหนูเหนื่อยแล้วใช่ไหม”

หนิงฮูหยินน้อยมองคุณหนูเหยาที่แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อเล็กน้อยจึงหัวเราะเบาๆ พลางเปรย “เหตุใดถึงดึกป่านนี้ พวกเรากังวลจวนตายแล้ว”

“กลัวอะไร เจ้าบ้านในเมืองเล็กๆ แห่งนั้นล้วนไร้เดียงสา คงไม่มีทางคิดร้ายกับพวกเราหรอก” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจนตาหยี “พวกเราได้รถม้าสิบเก้าคัน สามคันในนั้นเป็นคันใหญ่ ไม่ได้แย่ไปกว่ารถม้าปกติที่พวกเรานั่ง”

“จริงหรือ” หนิงฮูหยินน้อยถลึงตาโตด้วยความตื่นตกใจ “เมืองเล็กๆ นี้ยังมีบุคคลชั้นสูงที่เป็นขุนนางอีกหรือ”

“ไม่มีบุคคลชั้นสูง แค่เป็นเจ้าถิ่นที่ร่ำรวยมหาศาล…”

เหยาเยี่ยนอวี่อธิบายเรื่องที่เกิดคร่าวๆ ด้วยรอยยิ้ม สตรีทั้งเรือนฟังจนหัวเราะเสียงดัง สุดท้ายหนิงฮูหยินน้อยก็พูด “น่าเสียดายในความเลื่อมใสศรัทธาของคุณหนูลิ่ว หากเจ้าเป็นคุณชายจริงๆ พวกเราต้องรับนางเป็นสะใภ้แน่นอน”

เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะไม่พูดไม่จา ภายในใจกำลังคิดว่าพี่สะใภ้กลับมีไหวพริบดียิ่งนัก!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset