หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 322 งานวิวาห์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลหัน (5)

ตอนที่ 322 งานวิวาห์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลหัน (5)

ซูอวี้คังรู้ว่าท่านนี้คือบุรุษที่สืบทอดตำแหน่งโหวตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น เขาเลยไม่กล้าชักช้า จึงรีบน้อมตัวชนจอกกับเซียวหลิน จากนั้นดื่มสุราในจอกจนหมดเกลี้ยง

“ยอดเยี่ยม” เซียวหลินชื่นชมด้วยรอยยิ้ม

“คังไร้ความสามารถเอง ทำให้ท่านโหวรู้สึกขบขันแล้ว” ซูอวี้คังเป็นบุรุษที่ยังหนุ่มและยังไม่ผ่านพิธีสวมกวาน จึงไม่มีนามรองอย่างเป็นทางการ

พอเห็นข้างนอกพูดคุยกันอย่างมีความสุข ซูอวี้เหิงก็รู้สึกวางใจ

หันหมิงชั่นคีบผักมาให้นางแล้วเอ่ยถาม “พี่สาวสองคนของเจ้ากลับไปกันหมดแล้วหรือ”

ซูอวี้เหิงพยักหน้าตอบกลับ “กลับไปหมดแล้ว พี่ใหญ่กลับไปก่อนแต่เนิ่นๆ ตอนนี้คิดว่าคงถึงเจียงหนานแล้ว ส่วนพี่รองกลับเมื่อสองวันที่แล้ว เหตุเพราะไม่ค่อยชอบอากาศที่เหน็บหนาวในเมืองหลวง”

หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นยิ้มๆ “ข้ากลับชอบเมืองหลวงมาก อีกไม่กี่วันหิมะตก ทะเลสาบคงจับตัวเป็นน้ำแข็ง จะได้เต้นระบำบนพื้นหิมะ ทว่าเขตตอนใต้กลับไม่เคยมีเช่นนี้”

ซูอวี้เหิงแย้มยิ้มด้วย “ข้าก็ชอบการเล่นระบำ แค่น่าเสียดายที่ปีที่แล้วอากาศยังหนาวไม่เต็มที่ ทำให้ทะเลสาบที่ก่อตัวเป็นน้ำแข็งนั้นไม่ค่อยแข็งแรง เลยทำให้ไม่ค่อยกล้าเต้นบนพื้นน้ำแข็งนั่น”

หนิงฮูหยินน้อยได้ยินจึงมีรู้สึกรื่นเริงขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เลยยกยิ้ม “ข้าได้ยินมานานแล้ว แค่ไม่เคยมีโอกาสได้เห็น ปีนี้หากมีโอกาสก็จะรอชมพวกเจ้าว่าเต้นกันอย่างไร”

เหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นถึงนักวิจัยเทคโนโลยีใหม่ ถึงแม้นางเคยลองเล่นเกมมาหลากหลายประเภทในภพที่แล้ว ทว่าเรื่องนี้นางคิดว่าตนเองคงเต้นระบำบนน้ำแข็งไม่ได้แน่นอน จึงได้ทำเพียงกินข้าวเงียบๆ และทำเป็นไม่ได้ยินอะไร

ด้วยเหตุนี้หันหมิงชั่นจึงสะกิดนาง แล้วเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดไม่จา”

เหยาเยี่ยนอวี่กินขาไก่พลางพูดขึ้น “คุยอะไรกันอยู่ ระบำหิมะกระนั้นหรือ ข้าคงเต้นไม่เป็น”

คุณหนูเหยาพูดแทรกขึ้นก่อน “แต่ก่อนเจ้าก็ยังขี่ม้าไม่เป็นเลย เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าเจ้าขี่ม้าไปสำนักแพทย์ทุกวันล่ะ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวหนาวสะท้านหรือ”

“ก็ข้า…ชอบขี่ม้านี่” ทุกครั้งที่ขี่ม้า ก็รู้สึกเหมือนมีเขาคอยอยู่เคียงข้าง เลยทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวตลอดทางแม้แต่เพียงน้อย

ทว่า พอกล่าวถึงเรื่องอากาศ ดูท่าแล้วนางควรปรุงยาลบรอยแตกเยอะเสียหน่อย ไม่รู้ว่ากันโจวหนาวถึงขั้นไหน แล้วเหล่าทหารพวกนั้น…จะหนาวสะท้านจนได้รับบาดเจ็บไหม (เหอะๆ คำพูดนี้ของเหยาจู่ปั๋ว เจ้ากำลังเป็นห่วงเหล่าทหารที่อยู่เขตชายแดน หรือเป็นห่วงแค่ใครบางคนกันแน่)

บางคนที่กินขาไก่อยู่กำลังมองเศษกระดูกอย่างเหม่อลอย หันหมิงชั่นเม้มปากอดกลั้นความอยากหัวเราะแล้วส่งสายตาให้ซูอวี้เหิง

ซูอวี้เหิงมองไป ก็ยกมือปิดปากตนเองกลั้นหัวเราะทันที

หนิงฮูหยินที่กำลังป้อนอาหารให้ยัยหนูน้อย เหตุเพราะทั้งสองคนไม่พูดไม่จาจึงหันมามอง ก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่กำลังกินขาไก่ที่เหลือแต่กระดูก จึงอดหัวเราะไม่ได้ “นี่กำลังเหม่อลอยคิดอะไรอยู่”

เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ได้ยิน สุดท้ายซูอวี้เหิงก็อดยกมือผลักนางหนึ่งทีไม่ได้ จากนั้นนางถึงจะได้สติกลับมา ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “อะไรหรือ”

หันหมิงชั่น ซูอวี้เหิงและหนิงฮูหยินน้อย แล้วยังมีสาวใช้ที่อยู่ในเรือนต่างก็แย้มยิ้ม

“ดูสิ ทึ่มจริงๆ!” ซูอวี้เหิงพูดขึ้นยิ้มๆ “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ความคิดของเจ้าไปไกลถึงเขตตอนเหนือแล้วหรือเปล่า”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อนพลางพยักหน้า เปรยขึ้น “ข้ากำลังคิดว่าควรใช้สมุนไพรอะไรปรุงยาลบรอยแผลเปื่อยจากอากาศที่หนาวเย็นเกินไป จะได้ไม่ต้องทำให้มือเล็กๆ ของพวกเจ้าทิ้งบาดแผลได้”

“นี่ช่างเป็นเรื่องดี” หันหมิงชั่นพลันพูด “เท้าของบิดาข้ามีแผลเปื่อยจากการไปออกรบในตอนนั้น หลังๆ มา เหตุเพราะอากาศเหน็บหนาวในทุกปี ทำให้อาการกำเริบจนทิ้งแผลเป็นน่าเกลียดไว้ หากเจ้ามียาดี อย่าลืมให้ข้าด้วยล่ะ เท้าของพี่ชายข้าก็มีแผลเปื่อย แต่ปีที่แล้วได้ใช้ยาที่เจ้าเคยให้ ฤดูวสันต์ในปีนี้จึงไม่มีอาการคัน ทว่ากลับไม่แน่ใจว่าตอนนี้อาการจะกำเริบอีกไหม”

ซูอวี้เหิงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ว่าไปแล้ว พวกเขาที่เป็นแม่ทัพต้องออกเดินทางไปด้านนอกอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ต้องเกิดการเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา”

หนัหมิงชั่นเหมือนนึกอะไรออก จึงหันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ พูดพลางยิ้มจางๆ “ยังกล้าบอกว่าหัวใจของเจ้าไม่ได้ล่องลอยไปที่เขตตอนเหนืออีก จู่ๆ มานึกถึงเรื่องแผลเปื่อยจากการหนาวสะท้านได้อย่างไร”

“อั๊ยย่ะ เลิกส่งเสียงดังได้แล้ว ข้าเพิ่งจะนึกยาสองชนิดขึ้นได้” เหยาเยี่ยนอวี่เบี่ยงประเด็นอย่างหน้าด้าน แล้วสั่งไม่ตงที่อยู่ข้างๆ “ไปเอาพู่กันและกระดาษของข้ามา ข้าจะรีบจดไว้ เดี๋ยวข้าจะลืม”

หันหมิงชั่นแตะขมับของเหยาจู่ปั๋วเบาๆ แล้วเปรยขึ้น “ลุ่มหลงในการคิดค้นสูตรยาสมุนไพรจริงๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่และคนอื่นๆ กำลังนึกถึงเรื่องสู้รบในเขตชายแดนตอนเหนือ คุณชายรองเหยาและท่านเซียวโหวต่างก็เสวนาถึงเรื่องนี้

ช่วยไม่ได้ เรื่องสู้รบในเขตตอนเหนือนั้นเกี่ยวข้องกับเว่ยจาง ซึ่งเว่ยจางเองก็เกี่ยวข้องกับน้องของตน ตอนนี้คุณชายเหยากำลังเป็นห่วงน้องสาวตนเองอย่างมาก ตอนที่เสวนากันก็ต้องกล่าวถึงประเด็นนี้เป็นเรื่องธรรมดา แท้จริงแล้ว ตั้งแต่การสู้รบทางเขตตอนเหนือเริ่มขึ้น คุณชายรองเหยาก็ติดตามความคืบหน้าของเรื่องนี้มาโดยตลอด จึงไม่พลาดข่าวสารอะไรเลย

“อากาศยิ่งหนาว การต่อสู้รบในเขตตอนเหนือก็ยิ่งยาก” คุณชายรองเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เซียวหลินก็ถอนหายใจตาม แล้วพูดขึ้น “เป็นเช่นนั้น พวกเผ่าหูและเผ่าเกาหลีใช้ชีวิตอยู่ในเขตเมืองหนาวเป็นเวลานาน ก็คงจะเคยชินกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนั้นแล้ว ส่วนเหล่าทหารของพวกเราต้าอวิ๋นกลับทนไม่ได้กับสภาพอากาศที่มีหิมะตกหนัก นี่คงไม่สะดวกต่อการสู้รบจริงๆ”

ซูอวี้คังกะพริบตามองเหยาเหยียนอี้พลางมองเซียวหลิน พร้อมเอ่ยถามด้วยความอัดอั้นใจ “ข้าได้ยินมาว่า การออกรบครั้งนี้ไม่ใช่ไปรวมกำลังพลทหารห้าหมื่นนายที่จิ่นโจวหรือไร สภาพที่จิ่นโจวเหน็บหนาวเยี่ยงนั้น ทหารที่อาศัยอยู่ในจิ่นโจวเป็นเวลานาน คิดว่าคงชินกับสภาพอากาศที่เหน็บหนาวเช่นนั้นไปแล้วหรือเปล่า”

เหยาเหยียนอี้เปรยขึ้น “คุณชายสี่กล่าวถูก แค่นั่นเป็นเพียงทหารห้าหมื่นนายเท่านั้น ทว่าทหารอีกหนึ่งแสนนายที่เหลือล้วนเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกเมืองหลวง”

เซียวหลินพึมพำด้วยเสียงเรียบ “ทว่าไม่ต้องกังวลอะไรมากหรอก ทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านกั๋วกง มิใช่ว่าเพิ่งชนะการรบที่เขตชายแดนฝั่งตะวันตกหรือ ผ่านการฝึกฝนมาในหนึ่งปีนี้ ก็คงจะมีกำลังที่ฮึกเหิมมากขึ้นอยู่แล้ว”

“การสู้รบ เสบียงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง” ซูอวี้คังทำท่าทางเหมือนเห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้กันโจวถูกคนเผ่าหูปล้นจนเสียเสบียงไปจำนวนมหาศาล ตอนนี้ไม่เพียงแต่มีทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย แล้วยังมีชาวบ้านทั้งโจว หากอาหารไม่เพียงพอ เรื่องนี้คงจัดการยากเสียแล้ว”

“กล่าวถูกต้อง” เซียวหลินหรี่ตามองซูอวี้คัง “คุณชายสี่สนใจเรื่องทหารหรือ”

ซูอวี้คังทำหน้าแดงระเรื่อทันที แล้วพูดอย่างเก้อเขิน “ก็มิใช่เช่นนั้นขอรับ แค่พลิกอ่านตำราของบิดาเป็นบางครั้ง จึงได้ผ่านตามาบ้าง ทำให้ท่านโหวรู้สึกขบขันแล้ว”

“คุณชายสี่ถ่อมตนเกินไปแล้ว” เซียวหลินชูจอกขึ้น แล้วพูดยิ้มๆ “เท่าที่ข้าเห็น คุณชายสี่ต้องมีอนาคตที่ไปได้ไกลแน่นอน มา พวกเราชนกันอีกหนึ่งจอกเถอะ”

“ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา” ซูอวี้คังพลันชูจอกเหล้าขึ้นแล้วชนกับของเซียวหลิน วันนี้เขามีความสุขจริงๆ จึงดื่มไปไม่น้อย การที่เขานั่งเสวนากับคนอย่างท่านเซียวโหวได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว สำนวนที่ว่าพบคนรู้ใจ ดื่ม​กันพันจอกยังว่าน้อย มันคือความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง

ทุกคนต่างทอดถอนหายใจ ดังนั้นจึงดื่มสุราไปเป็นจำนวนมาก

เวลาผ่านไปไม่นาน ก็มึนเมากันขึ้นมา

เหตุเพราะเซียวหลินดื่มสุราและน้ำชาไปไม่น้อย จึงได้ ‘ขออนุญาต’ กับเหยาเหยียนอี้ด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็ลุกขึ้นไปสุขา เหตุเพราะซูอวี้คังเป็นแขก เหยาเหยียนอี้จึงไม่มีทางไม่นั่งเป็นเพื่อนเขาต่อ เขาจึงตะโกนสั่งให้เซินเจียงที่คอยอยู่ด้านนอกเป็นคนนำทางท่านเซียวโหวแทน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset