บทที่ 326 เรื่องเช่นนี้ต้องรีบจัดการ
เตียงหยกนี้อบอุ่นนัก ถ้าหากมีผ้าห่มก็คงจะดี
น่าเสียดายที่ผ้าห่มในระบบรักษาโรคภัยไข้เจ็บถูกหยิบออกมาใช้จนหมดแล้ว แล้วผ้าห่มเหล่านั้นก็ถูกทิ้งไว้ในอุโมงค์ด้านนอกนั้น
คิดจะใช้ผ้าห่มหึความอบอุ่นแก่เย่แจ๋หยิ่งคงจะไม่ได้เสียแล้ว
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของหลานเยาเยาก็ประกายขึ้น แล้วสั่งให้เย่แจ๋หยิ่งนอนลงไป จากนั้นก็ไม่คิดอะไรมากนัก นางก็เริ่มปลดเสื้อผ้าออก ……
ส่วนคนที่นอนอยู่บนเตียงหยกอย่างเย่แจ๋หยิ่งนั้น ก็ถึงกับตาสว่าง พลางกลั้นลมหายใจ โดยที่ลูกกระเดือกของเขาขยับไปมา
“เยาเยา เจ้าคิดดีแล้วงั้นหรือ?”
“คิดดีแล้ว!แน่นอนว่าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เรื่องเช่นนี้ต้องรีบจัดการ”
หลานเยาเยาที่ถอดชุดออก พลางตอบคำถามเย่แจ๋หยิ่ง ด้วยใจที่มีความบางอย่างแฝงเอาไว้
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมอบความอบอุ่นให้กับเขา ร่างของเขาเย็นขนาดนั้น ในเมื่อไม่มีผ้าห่ม นางก็ทำได้เพียงใช้ร่างกายของตัวเองในการมอบความอุ่นให้กับเขาแล้ว
ถึงจะเสียเปรียบก็เสียเปรียบเพียงนิด
ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่แจ๋หยิ่งเห็นนางในสภาพเปลื้องผ้าเสียหน่อย
เสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อที่จะไม่เขินอาย หลานเยเยาก็ยังคงเหลือผ้าตู้โตวชั้นในสีแดงสดเอาไว้ชิ้นหนึ่ง
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ กำลังจะโน้มตัวลงไปมอบความอุ่นให้กับเย่แจ๋หยิ่ง ก็กลับถูกแขนอันเรียวยาวของเย่แจ๋หยิ่งดึงนางลงไปเสียก่อน
ดูแล้วเย่แจ๋หยิ่งจะตัวเย็นจริงๆจนรอให้นางถอดเสื้อผ้าให้หมดก็มิได้
ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ทำให้หลานเยาเยาตกใจ ก็คือการที่เย่แจ๋หยิ่งใช้มือทั้งสองกอดรัดนางเอาไว้ไม่ใช่เพื่อที่จะให้นางมอบความอุ่นให้กับเขา
แต่เพื่อที่จะเพิ่มระยะการเข้าใกล้ของทั้งสอง แล้วก็ประทับรอยจูบบนริมฝีปากของนาง……
“อือ……”
หลานเยาเยาถึงกับอึ้ง
ไม่ใช่ว่าจะอุ่นร่างกายหรือไร?ทำไม ……ทำไมถึงได้จูบซะแล้วหล่ะ?
ในขณะที่นางกำลังตะลึง มุมปากของเย่แจ๋หยิ่งก็ยกขึ้นมา แล้วค่อยๆลิ้มรสริมฝีปากสีแดงระเรื่อนั้นอย่างเบาบาง จากนั้นเขาก็ขยับตัวของนาง เย่แจ๋หยิ่งจับกดมือของนางเอาไว้ แล้วดันตัวเองขึ้นไป
“เดี๋ยวๆ อุ่นร่างกายไม่ใช่เช่นนี้นี่ ……อือ……”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกชายหนุ่มเลือดร้อนกลืนกินเข้าไปเสียแล้ว
หลังจากเกิดอาการโลกหมุนอย่างหลานเยาเยา ก็ยิ่งตะลึงมากขึ้น นางจ้องมองไปยังเย่แจ๋หยิ่งด้วยความประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้าง
นี่ผู้ใดกำลังมอบความอบอุ่นให้กับผู้ใดกันแน่?
ตอนนี้เธอไม่รับรู้ถึงความเหน็บหนาวเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงร้อนที่มันระอุขึ้นมา
“อุ่นร่างกายเช่นนี้ได้ผลมากกว่า”
หลานเยาเยา“……”
หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งพูดจบ ริมฝีปากของเขาก็ประกบลงมาอีกครั้ง
ริมฝีปากบางอันอ่อนนุ่ม ค่อยๆลิ้มรสชาติริมฝีปากของหลานเยาเยาอย่างละเมียดละไม พร้อมกับความรู้เสียวซ่านแล่นไปทั่วร่ากาย
แต่เย่แจ๋หยิ่งที่อยากจะลิ้มลองเข้าไปในปากของหลานเยาเยาเพื่อที่จะรู้สึกได้ลึกซึ้งกว่านี้ แต่กลับไม่สามารถที่จะทำได้
เพราะว่าหลานเยาเยากัดฟันเอาไว้แน่น ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็งัดมันไม่ออก
เย่แจ๋หยิ่งจึงค่อยๆคลายริมฝีปากออกจากนาง แล้วมองดูสภาพของนางที่พยายามกัดฟันแน่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“เหอะๆๆ……”
“……”หัวเราะอะไรกัน?
บ้าไปแล้ว?
แต่ก็ดูไม่เหมือน!เขากำลังหัวเราะอะไรกันแน่?
พอเห็นเย่แจ๋หยิ่งยังคงยิ้มอยู่ ทั้งยังยิ้มอย่างมีความสุขมากด้วย หลานเยาเยาจึงหรี่ตาลงทันที พร้อมกับทำถามอย่างไม่เป็นมิตรนัก
“มีอะไรน่าขำนัก?พวกเราสภาพนี้น่าขำงั้นหรือ?”
ได้ยินอย่างนั้น!เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้ตอบกลับคำถามของนาง แต่กลับยอมหยุดหัวเราะ
ทว่า ปากของเขาถึงจะหุบนิ่ง แต่สีหน้าก็ยงคงยิ้มอยู่
เมื่อเห็นใบหน้าที่ราวกับกำลังยิ้มของเขา หลานเยาเยาก็ยิ่งไม่พอใจ
“ยิ้ม?ยังยิ้มอีก?ท่านลองยิ้มอีกครั้งดู?”หลานเยาเยากำหมัดขึ้น
“ก็ได้ ข้าไม่ยิ้มแล้ว แต่ว่าเจ้าจะกัดฟันทำไมกัน?ข้าจูบเจ้า ทำให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นรึ?”
สิ่งนี้ทำให้เย่แจ๋หยิ่งสงสัยเป็นอย่างมาก
ถ้าหากนางไม่ยินยอม ก็คงจะผลักไสเขาอย่างครั้งที่แล้วแน่ แต่ครั้งนี้นางไม่ได้ผลักเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
แต่ว่า……
กัดฟันนี่มันหมายความว่าอะไร?
“ท่านบอกเองไม่ใช่หรือไรกันว่าแบบนี้สามารถอบอุ่นร่างกายได้?ดังนั้นข้าจะกัดฟันให้ท่านจูบ!ถ้าไม่กัดฟันเอาไว้เกิดท่านจูบเข้าไปจะทำอย่างไรเล่า?”หลานเยาเยาเองก็รู้สึกเอือมระอา!
จูบก็จูบไปแล้ว
ยังจะถามสิ่งนี้เพื่ออะไร?
การพูดออกไปโดยตรงก็ถามให้รู้สึกประหม่าได้ แต่หากไม่พูดคนบางคนก็คงไม่เข้าใจ
เพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเอง นางต้องพูดแล้ว
“เหอะๆๆ เยาเยา เจ้าเป็นถึงชายาของข้า ถ้าเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่ คนอื่นคงจะว่าข้าไร้ความสามารถ”
ได้ยินดังนั้น!หลานเยาเยามองไปยังเย่แจ๋หยิ่งด้วยความแปลกใจ แววตาบ่งบอกถึงความสงสัย ก่อนจะพูดออกมาอย่างเรียบเฉย
“……ท่านไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน การตกลงเมื่อสามปีก่อนพวกเราไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว”
ถึงแม้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมาก
แต่ปัญหาบางเรื่องหากต้องทำให้ชัดเจน ก็สมควรที่จะจัดการให้มันชัดเจน
ราวกับรู้อยู่แล้วว่านางจะพูดเช่นนี้ออกมา ดวงตาของเย่แจ๋หยิ่งก็หรี่ลงเล็กน้อย โดยไม่ได้ตอแยอะไร เพียงแต่ค่อยๆโน้มตัวเข้าใกล้นางพร้อมกับกระซิบ
“แต่พวกเราได้มีความสัมพันธ์ต่อกันแล้ว”
หลานเยาเยาหน้าแดงก่ำ พลางตอบกลับ
“ก็แค่การสัมผัสผิว ไม่ใช่การมีสัมพันธ์ร่วมกันสักนิด”
กล้าบิดเบือนข้อเท็จจริงได้อย่างไร ไอ้บ้า!
ความแตกต่างของทั้งสองคำนี้อยู่เป็นหมื่นๆลี้เข้าใจหรือไม่?
นางกับเขายังไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้นสักหน่อย ก็แค่จูบปาก อย่างมากก็นับว่าเป็นการสัมผัสผิวภายนอกเท่านั้น จะเป็นการร่วมสัมพันธ์กันได้อย่างไร
ในตอนท้าย นางก็ได้กล่าวเพิ่มอีกว่า“สิ่งที่เกิดเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้ยินยอม”
เดิมทีคิดว่าหากพูดเช่นนี้ เย่แจ๋หยิ่งจะยอมถอยหรือรับรู้ถึงแรงกระตุ้น
กลับคิดไม่ถึงว่า เขาจะนิ่งไปเพียงครู่เดียว ก่อนที่จะขยับปากพูด
“เจ้าไม่ได้ผลักข้า เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้ายินยอมแล้ว”
ไม่ทันรอให้นางได้ตอบกลับ เย่แจ๋หยิ่งก็ได้ดึงนางขึ้นมา พร้อมกับพานางเดินไปยังหน้าหีบใส่ชุดอภิเษกโดยไม่พูดไม่กล่าวสิ่งใด
หยิบเอาชุดแต่งวางบนมือของนางอย่างระมัดระวัง
“สวมมันเสีย”
“ไม่ใช่ของข้า ข้าไม่สวม”มงกุฎฟีนิกซ์งดงามไร้ที่ติอันนี้ นางชอบเป็นอย่างมาก แต่นั่นไม่ใช่ของของนาง
เย่แจ๋หยิ่งวางมือบนไหล่ของนางพลางสบตานาง แล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง
“มงกุฎฟีนิกซ์นี้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด มันถูกออกแบบมาเพื่อเจ้า เช่นนั้นมันเป็นของเจ้า”
“……หากท่านยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก?”
ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่านี่เป็นของผู้อื่น
อีกทั้งพระราชวังน้ำแข็งแห่งนี้ก็มีอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว สิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในนี้ รวมทั้งชุดอภิเษกที่แสนโดดเด่นสองชุดอีก ทุกอย่างอาจจะถูกเก็บเอาไว้ที่ตอนที่นางยังไม่เกิดก็เป็นได้
จะเป็นไปได้อย่างไรที่มันจะถูกสร้างมาเพื่อนาง?
หากเย่แจ๋หยิ่งคิดที่จะหลอกนาง ก็ควรจะใช้วิธีการที่ชาญฉลาดกว่านี้
นี่มันหลอกเด็กเงินไปแล้ว!
“เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ?”เย่แจ๋หยิ่งขยับปากถาม
หลานเยาเยามองดูมงกุฎฟินิกซ์ในมือ แล้วหันไปดูกล่องอันงดงามที่เพิ่งเปิดออกมาเมื่อสักครู่นี้ พลางหันมามองหน้าอันจริงจังของเย่แจ๋หยิ่งอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยความเอือมระอา
“ท่านคิดว่าข้าควรเชื่อหรือเปล่าล่ะ?”
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องลองดู ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาเพื่อเจ้าหรือไม่ หลังจากที่สวมแล้ว เจ้าค่อยตอบคำถามนี้อีกครั้ง เจ้าว่ายังไง?”
เมื่อเห็นท่าทางที่หนักแน่นของเย่เจ๋หยิ้ง การตัดสินใจของหลานเยาเยาก็เริ่มสั่นคลอน
นางก็ถอนหายใจแล้วพูดออกมาอย่างสง่า
“ก็ได้!ลองก็ลอง เดี๋ยวดูสิว่าท่านยังมีอะไรจะพูดพล่ามอีก”
ลองสวมก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
อย่างไรเสียตอนที่เห็นมงกุฎฟินิกซ์ครั้งแรก นางก็คิดอยากที่จะใส่อยู่แล้ว
ตอนนี้ก็จะลองสวมให้ดู จะได้ให้เย่แจ๋หยิ่งได้รู้ไว้ด้วยว่าการพูดจาเหลวไหลนั้นสมควรที่จะโดนต่อยหน้า
และแล้ว!
หลานเยาเยาก็เดินถือมงกุฎฟินิกซ์เดินไปด้านหลังห้องกั้น
ทันทีที่สวมมงกุฎฟินิกซ์เข้าไป หลานเยาเยาก็ถึงกับประหลาดใจ
พอดี……
สวมได้พอดี?
กลายเป็นว่าถูกสร้างมาอย่างพอดี!