ตอนที่ 693 ฉันมีรูป!
“ตอนแรกที่ฉันเข้าไปใกล้ชิดเธอก็เพราะมีเป้าหมาย ในใจเลยรู้สึกผิดมาโดยตลอด ต่อมาพอเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้นฉันเลยพยายามจะแก้ตัวแทนเธอ ตอนนี้เธอไม่เป็นอะไรแล้ว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขฉันก็สบายใจแล้ว”
“……”
เหนียนเสี่ยวมู่นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้
เด็กของตระกูลสิงได้รับอิทธิพลมาคนรุ่นก่อน ทำให้มีนิสัยเกียจคร้านไม่ทำการทำงาน
มีแต่สิงฟางเท่านั้นที่มีผลการเรียนโดดเด่นกว่าใครแถมยังขยันขันแข็ง
หลังจากเรียนจบก็ทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด
เธอนึกว่าเป็นเพราะว่าหลายปีมานี้สภาพของตระกูลสิงไม่ค่อยดี หญิงสาวถึงได้มีแรงกดดันขนาดนี้ นึกไม่ถึงเลยว่า เธอจะมีแรงกดดันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
พอสิงฟางพูดออกไป สีหน้าของลุงสามกับป้าสะใภ้สามก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
อยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็พูดไม่ออกสักคำ
พวกเขาไม่ได้เรื่องเลยทำให้ลูกลำบาก ตัวเล็กแค่นั้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะประจบคน
นึกอะไรขึ้นได้ เหนียนเสี่ยวมู่จึงพูดโพล่งออกมา
“พวกคุณบอกว่า สิบปีก่อนพวกคุณอาศัยพ่อแม่บุญธรรมของฉันในการใช้ชีวิต อย่างนั้นพอพวกท่านเสียชีวิตไปพวกคุณอยู่กันมาได้ยังไง ฉันจำได้ว่าพวกคุณเคยบอกว่ามีคนคอยช่วยเหลือตระกูลสิงอยู่ เขาเป็นใครคะ”
สิ้นเสียง สีหน้าของคนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างก็ดูแปลกไป
เหนียนเสี่ยวมู่มองออกว่ามันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง น้ำเสียงจึงนิ่งขรึมลง
“ฉันบอกไว้แล้วว่านี่เป็นโอกาสเดียวของพวกคุณ ขอแค่พวกคุณพูดความจริง ฉันรับรองว่าจะไม่เอาโทษตระกูลสิง”
“ฉันบอกเอง!”
ลุงรองสิงก้าวออกมาด้านหน้า แสดงถึงความเป็นหัวหน้าครอบครัว
ไม่นาน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นลังเลอีกครั้ง
“ความจริงที่ทุกคนไม่ยอมพูด ไม่ใช่เพราอยากจะปิดบังหรอกแต่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง”
“หมายความว่ายังไงคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ขมวดคิ้ว
“เรื่องมันยาว” ลุงรองสิงมองไปยังคนในตระกูลสิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง น้ำเสียงทุ้มแฝงไปด้วยการรำลึกถึงความหลังค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“เหตุการณ์ไฟไหม้ในปีนั้นมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ตาย บริษัทก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย พวกเราพี่น้องไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่มองบริษัทล้มละลายไปต่อหน้าต่อตา ตอนนั้นเรียกได้ว่าแทบจะสิ้นหวังกันเลย……”
“แล้วก็ในช่วงนั้นเอง จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่บ้านสิง บอกว่าเป็นเพื่อนของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ ตั้งใจจะมาช่วยตระกูลสิง แม้พวกเราจะสงสัย เพราะว่าไม่เคยได้ยินพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้พูดถึงคนใหญ่คนโตแบบนี้ให้ฟัง แต่พอต่อมาได้ยินว่าเขาจะมาช่วยตระกูลสิงของเรา ความสงสัยของเราก็หายไปในทันที”
เมื่อได้ยินลุงรองสิงพูด ลุงสี่ที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยเสริมขึ้นบ้าง
“ฉันจำได้ว่าที่เราย้ายออกไปจากเมืองเอช ก็เป็นเพราะผู้มีพระคุณคนนั้นแนะนำบอกว่าตระกูลสิงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อยู่ไปก็จะมีแต่ทำให้นึกถึงภาพเก่าๆ ดังนั้นเขาเลยให้เงินเพื่อให้พวกเราย้ายจากไปอยู่ที่เมืองหลิน”
ลุงสาม “ฉันก็จำได้ ยังไงก็เป็นการย้ายบ้าน ตอนนั้นพวกเราลังเลกันมาก เงินก็ไม่มี แต่ผู้มีพระคุณคนนั้นให้สัญญาว่าจะคอยช่วยเหลือตระกูลสิง จนกระทั่งลูกหลานของตระกูลสิงเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมด แต่นึกไม่ถึงเลยว่า เขากลับหายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!”
“คุณมีรูปภาพของคนคนนั้นหรือเปล่า เขาชื่ออะไร” เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินคำพูดของพวกเขา ใบหน้าก็ปรากฏแววดีใจ เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
ความรู้สึกบอกเธอว่า คนที่คอยดูแลตระกูลสิงมาโดยตลอดอาจเป็นคนในครอบครัวที่แท้จริงของเธอ
ลุงรองสิง :”ฉันมีรูป! ฉันจำได้ว่าผู้มีพระคุณคนนั้นเคยถ่ายรูปรวมกันพวกเรา ฉันเก็บไว้อย่างดีเลย อยู่ในตู้นั่น พวกเธอรอแปปนะ ฉันจะไปเอามาให้!”
ตอนที่ 694 มิสเตอร์คาติ
ลุงรองสิงพูดแล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
คนอื่นๆ ในตระกูลสิงก็เริ่มเปิดประเด็นเรื่องนี้บ้าง ต่างบอกเรื่องที่ตัวเองรู้มาทั้งหมดให้เหนียนเสี่ยวมู่ฟัง
ป้าสะใภ้รองสิง: “บริษัทตระกูลสิงล้มละลาย ถูกธนาคารยึดทรัพย์ ตอนนั้นพวกเราหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนเก่าของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ปรากฏตัวขึ้น พวกเราคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้แน่ๆ”
ป้าสะใภ้สาม : “คนคนนั้นใจกว้างมาก มากพอๆ กับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้เลย มาถึงบ้านสิงวันแรกก็ช่วยจ่ายหนี้ที่บริษัทเราติดค้างกับธนาคารไว้หมดเกลี้ยงเลย แถมยังช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้พวกเราย้ายไปอยู่อีกด้วย”
ป้าสะใภ้สี่ : “พูดถึงเรื่องนี้ พวกเราก็ยังแปลกใจกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ มีเรื่องมากมายในตระกูลสิงที่พวกเราไม่เคยพูดถึง แต่ผู้มีพระคุณคนนั้นเหมือนว่าจะรู้ไปซะทุกเรื่อง ก่อนมาหาก็ดูเหมือนว่าจะช่วยเตรียมกันทุกอย่างไว้ให้พวกเราหมดแล้ว”
“……”
ทุกคนต่างช่วยกันพูด เธอพูดประโยคหนึ่ง ฉันพูดอีกประโยคหนึ่ง บรรยากาศเปลี่ยนเป็นคึกครื้นขึ้นมาทันที
เหนียนเสี่ยวมู่ฟังข้อมูลที่ได้ยิน ฝ่ามือที่กำไว้อย่างตื่นเต้นเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
จู่ๆ ที่ไหล่ก็มีแขนแข็งแรงโอบกอดไว้ ฝ่ามืออบอุ่นราวกับควบคุมทุกอย่างได้ แค่ฝ่ามือนั้นอยู่ใกล้ๆ เธอก็สามารถทำให้เธอสงบลงได้
เหนียนเสี่ยวมู่หันหน้าไปมองอวี๋เยว่หานที่เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเธอ
เขายืนอยู่ย้อนแสง ใบหน้าสมบูรณ์แบบเปล่งประกายราวกับเครื่องกระเบื้องลายคราม
ดวงตาดำลึกมองจ้องมาที่เธอนิ่งๆ
พูดขึ้นโดยไร้เสียง “อย่ากลัว มีผม”
แค่คำเพียงสี่คำก็สามารถปลอบเหนียนเสี่ยวมู่ให้สงบลงได้อย่างประหลาด
ฟ่านอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ อยากจะเดินเข้าไป ก็เห็นว่าร่างกายที่เกร็งแน่นของเหนียนเสี่ยวมู่เริ่มผ่อนคลายลงแล้ว
หญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ร่างสง่างามสูงส่งของอวี๋เยว่หานยืนอยู่ข้างหลังของเธอ ไม่ได้ดูแนบชิดกันมากนักแต่ก็ไม่มีที่ว่างให้ใครเข้าไปแทรกแซงได้
ฟ่านอวี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ดวงตาสีน้ำตาลเข้าหดลงเล็กน้อย ปรากฏแววว้าเหว่ที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาขึ้นแวบหนึ่ง
ลุงรองสิงถือรูปภาพกลับมาด้วยความรวดเร็ว
“หาเจอแล้ว รูปนี้ไง แม้ว่าจะผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว แต่คนที่อยู่ในภาพ ชาตินี้ฉันก็จำได้ไม่มีทางลืมเลย!”
สิ้นเสียง เหนียนเสี่ยวมู่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
รับรูปภาพมาจากมือของลุงรองสิง กวาดตามองดูอย่างรวดเร็ว
เป็นรูปถ่ายรวมหมู่รูปหนึ่ง
คนทุกคนในตระกูลสิงอยู่ในนั้นเกือบหมด คนเยอะมาก แต่แวบเดียวเหนียนเสี่ยวมู่ก็มองเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางคนนั้น
วินาทีต่อมา สีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป
“ผู้มีพระคุณที่พวกคุณพูดถึงคือเขาเขาเหรอคะ”
ลุงรองสิงมองตามนิ้วมือของเหนียนเสี่ยวมู่ที่ชี้ไป “ใช่ เขานั่นแหล่ะ!”
“……” สายตาตื่นเต้นของเหนียนเสี่ยวมู่เปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นมาทันที
ไม่รอให้หญิงสาวเอ่ยพูดอะไร อวี๋เยว่หานก็เดินมาอยู่ข้างๆ กายของเธอ หยิบรูปภาพไปจากมือแล้วกวาดตามอง
คิ้วของชายหนุ่มเลิกขึ้นน้อยๆ
แล้วก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมหญิงสาวถึงดูเสียใจ
ผู้ชายที่อยู่ในภาพ มีผมสีขาว อายุน่าจะราวๆ ห้าสิบปี ผ่านไปสิบปีแล้ว ตอนนี้อย่างน้อยน่าจะอายุหกสิบกว่าแล้ว ไม่ใช่ช่วงอายุของพ่อแม่ของหญิงสาว
อีกอย่าง เขาเป็นคนต่างชาติผมสีบลอนด์
“เขาชื่ออะไรคะ” แม้ว่าจะรู้ว่าความหวังดูลิบหรี่ แต่เหนียนเสี่ยวมู่ก็ยังคงถามออกไปอย่างไม่อยากจะยอมแพ้
ลุงรองสิงจำผู้มีพระคุณคนนี้ได้อย่างแม่นยำ เขาเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “มิสเตอร์คาติ ส่วนชื่อจริงๆ เขาไม่เคยบอกกับเรา บอกแค่ว่าให้เราเรียกเขาว่ามิสเตอร์คาติ!”
“……”
ผ่านไปสิบปีแล้ว ขนาดชื่อจริงๆ ยังไม่รู้เลย หากอยากจะหาคนๆ นี้ คงเป็นเรื่องที่ยากมาก
ดวงตาของเหนียนเสี่ยวมู่ไหววูบขึ้น รับรูปภาพมาอีกรอบแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าสิงฟาง “วันที่ฉันถูกรับตัวไป คุณเห็นคนๆ นี้บ้างไหม”