จี้ต้าเหนียงยังรอรับอวี้ถังที่ประตูชั้นสองเหมือนกับครั้งก่อน แล้วเดินเป็นเพื่อนนางมุ่งหน้าไปยังเรือนของท่านแม่เฒ่า
ระหว่างทาง นางก็เอ่ยเสียงเบากับอวี้ถังว่า “นายหญิงใหญ่กับนายหญิงรองมาคารวะท่านแม่เฒ่าเจ้าค่ะ ต้องลำบากคุณหนูอวี้ไปรอที่หออุ่นก่อน”
ผู้อาวุโสท่านอื่นมาแสดงความกตัญญู นางไม่สมควรเข้าไปเสนอหน้า เป็นจี้ต้าเหนียงเกรงใจกันมากไป ถึงเอ่ยวาจาน่าฟังเช่นนี้
อวี้ถังนึกถึงครั้งที่นางมาจวนสกุลเผยแล้วเจอนายหญิงใหญ่เข้า คิดถึงข่าวลือตอนที่เผยเยี่ยนเพิ่งจะมารับช่วงต่อสกุลเผย นางยิ้มแฉ่งตอบรับ พลางเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นว่า “จี้ต้าเหนียง พรุ่งนี้ก็เข้าเทศกาลฉงหยางแล้ว เหตุใดในจวนยังไม่ประดับดอกเบญจมาศเล่า?”
เทศกาลฉงหยางเป็นช่วงที่ดอกเบญจมาศเบ่งบานได้งามที่สุดพอดี คนแถบเจียงหนานชมชอบดอกไม้ ต่อให้เป็นบ้านที่ไม่มีอะไรจะกิน ก็ต้องปลูกดอกเบญจมาศไว้สักสองกอเพื่อเตรียมไว้ใช้กับเทศกาลเช่นนี้ อีกอย่าง สกุลใหญ่โตเช่นสกุลเผย หากไม่ประดับดอกเบญจมาศม่วงสักหลายต้นหรือจัดกองภูเขาเบญมาศสักลูกออกมา คงต้องอับอายเกินกว่าจะบอกใครว่าเป็นการฉลองเทศกาลฉงหยางกระมัง
ใครจะคิดว่าวาจานี้พูดออกไปอย่างไม่สมควร
สีหน้าของจี้ต้าเหนียงเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน “เพราะนายท่านสามไม่ชอบดอกไม้เจ้าค่ะ ตั้งแต่ที่ท่านผู้เฒ่าจากไป ท่านแม่เฒ่าก็ไม่ร่าเริงนัก ไม่มีกะใจจะชื่มชมดอกไม้ใบหญ้าอีก พวกเราที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ ก็ไม่อาจคิดเองทำเองได้เจ้าค่ะ”
มารร้ายตัวน้อยในใจของอวี้ถังค่อยปาดเหงื่อ เอ่ยเป็นพัลวัลว่า “ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แหละ สองปีก่อนตอนที่มารดาข้าร่างกายไม่แข็งแรง พวกเราก็ไม่มีอารมณ์มาฉลองเทศกาลหรอก พวกขนมต่างๆ ทั้งขนมแห้วเอย ขนมตังเมเกล็ดหิมะเอย ล้วนแต่ซื้อมาจากตลาดทั้งสิ้น”
ไม่รู้ว่าคำไหนในประโยคนี้เอ่ยได้ตรงใจจี้ต้าเหนียงเข้า นางจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “นั่นสิเจ้าคะ นับจากที่ท่านผู้เฒ่ามาจากไป ท่านแม่เฒ่าก็เหมือนฟ้าถล่มลงมา คนที่แต่ก่อนรักสวยรักงามถึงเพียงนั้น ช่างที่ร้านเครื่องทองแทบจะมาที่จวนทุกฤดูในหนึ่งปีเพื่อทำเครื่องประดับให้ท่านแม่เฒ่า แต่ปีนี้แม้เสื้อสักตัวก็ยังไม่ได้ตัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับเลย หลายวันก่อนหน้านี้ก็เพิ่งครบรอบวันตายหนึ่งปีของท่านผู้เฒ่าไป นายท่านรองกล่อมท่านแม่เฒ่าอยู่หนึ่งวันเต็มๆ อารมณ์ของท่านแม่เฒ่าจึงค่อยกระเตื้องขึ้นมาบ้าง” พูดถึงตรงนี้ นางก็หันไปมองสาวใช้ที่นำทางอยู่เบื้องหน้า แล้วกดเสียงต่ำเพื่อเตือนอวี้ถังว่า “อีกเดี๋ยวตอนท่านไปพบท่านแม่เฒ่า ขอเพียงทำให้นางอารมณ์ดีให้ได้ก็พอ หากทำให้นางคิดตัดชุดหรือทำเครื่องประดับได้ คนทั้งจวนไม่มีใครหน้าไหนจะไม่สำนึกบุณคุญท่านเลยเจ้าค่ะ”
อวี้ถังกระพริบตาปริบๆ
รู้สึกว่าผู้อื่นไม่ได้ชื่นชอบถั่วตัดกรอบของนางจริงๆ เสียแล้ว แต่เพราะต้องการหาคนมาหยอกล้อพูดคุยกับท่านแม่เฒ่ามากกว่า!
แต่ฟังๆ แล้วนายท่านรองก็เหมือนกับข่าวลือที่แพร่ไปทั่ว ว่าเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง แล้วเผยเยี่ยนไปอยู่ไหนเสียเล่า? เหตุใดเขาไม่มากล่อมท่านแม่เฒ่าบ้าง?
คนทั้งจวนล้วนสำนึกบุญคุณนาง แล้วนายหญิงใหญ่ผู้นั้นจะซาบซึ้งด้วยหรือไม่?
อวี้ถังนั่งอยู่ในหออุ่น พลันได้พบกันคนคุ้นเคยอีกครั้ง…เล่ยจือ
นางลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ “เจ้าจำข้าได้หรือไม่?”
เล่ยจือส่งยิ้มให้นาง เอ่ยว่า “ตอนที่ท่านมาคราวก่อนข้าก็เห็นท่านแล้วเจ้าค่ะ แต่วันนั้นข้าต้องเฝ้าเวรอยู่ที่ห้องน้ำชา จึงไม่ได้เข้าไปทักทายท่าน”
อวี้ถังเห็นว่านางอยู่ในชุดเสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีฟ้า มือประคองถาดวาดลวดลายสีแดงรูปทรงดอกไห่ถัง คนดูกระปรี้กระเปร่ายิ่ง นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะมาอยู่ข้างกายท่านแม่เฒ่าเช่นกัน”
เล่ยจือหัวเราะ “ข้ามาอยู่ได้เกือบปีแล้ว แต่ก็ยังต้องเรียนรู้กฎระเบียบอยู่ นี่อย่างไรเจ้าคะ พอเห็นท่านมา ข้าก็หาข้ออ้างแวบออกมาเลย”
สองคุยสนทนากันอย่างออกรส อวี้ถังได้ฟังเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสกุลเผย
อย่างเช่นว่า ท่านแม่เฒ่าไม่ใช่คนที่ชอบวางกฎระเบียบมากมายให้เหล่าสะใภ้ แต่ก่อนตอนที่ท่านผู้เฒ่าอยู่ นายหญิงทั้งสองก็จะติดตามสามีออกไปรับตำแหน่งด้วย หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเสียไป ท่านแม่เฒ่าก็สั่งงดตารางปรนนิบัติพ่อแม่สามีของนายหญิงใหญ่ ส่วนนายหญิงรองให้มาคารวะทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนเท่านั้น วันนี้ทั้งนายหญิงใหญ่และนายหญิงรองต่างก็มาหา เพราะใกล้จะถึงเทศกาลฉงหยางแล้ว แต่ท่านแม่เฒ่ากลับเพิ่งบอกว่าจะไม่จัดงาน เพราะต้องไปค้างแรมที่วัดสองวัน นายท่านรองโน้มน้าวอย่างไรนางก็ไม่ฟัง จะให้นายหญิงรองติดตามไปรับใช้ท่านแม่เฒ่าด้วย ท่านแม่เฒ่าก็ไม่ยอมรับปาก นายหญิงใหญ่กับนายหญิงรองจึงได้แต่พาลูกหลานมาคารวะท่านแม่เฒ่าล่วงหน้า
แล้วท่านแม่เฒ่าจะให้นางเข้าพบหรือไม่?
อวี้ถังพลันสะดุ้งตกใจ โพล่งถามไปว่า “ท่านแม่เฒ่าจะเดินทางวันไหนน่ะ?”
เล่ยจือตอบว่า “พรุ่งนี้เช้าก็ออกเดินทางแล้วเจ้าค่ะ ไปที่วัดเจาหมิง” พูดจบ ก็เม้มปากแล้วหัวเราะเบาๆ “ไม่อย่างนั้นหน้าที่ชงชาจะตกมาถึงข้าได้อย่างไรเล่า? พวกพี่สาวในเรือนท่านแม่เฒ่าต่างก็วุ่นวายกับการเก็บสัมภาระอยู่น่ะเจ้าค่ะ!”
อวี้ถังรู้สึกว่านางเลือกมาไม่ถูกจังหวะเท่าไรนัก
ใครจะรู้ว่าความคิดนี้เพิ่งจะโผล่ขึ้น ทันใดก็มีสาวใช้ดวงหน้ากลมมน ท่าทางว่านอนสอนง่ายเลิกม่านโผล่เข้ามา แล้วส่งยิ้มให้นางพลางย่อกายคารวะ “คุณหนูอวี้ ท่านแม่เฒ่ารู้ว่าท่านมาหา ให้ข้ามาเชิญท่านเข้าไปเจ้าค่ะ!”
เล่ยจือแนะนำให้อวี้ถังรู้ทันทีว่า “นี่คือพี่เจินจูที่อยู่ในเรือนท่านแม่เฒ่าเจ้าค่ะ”
สาวใช้นางนี้ดูจะเด็กกว่าเล่ยจือด้วยซ้ำ หากมิใช่เกิดมาพร้อมดวงหน้าอ่อนวัย ก็ต้องเป็นสาวใช้ข้างกายชั้นหนึ่งของท่านแม่เฒ่า จึงเรียกว่าพี่สาวด้วยต้องการให้เกียรติ
ทว่า ชื่อว่าเจินจูนี้ช่างตั้งได้สมกับเจ้าของตัวเสียจริง หน้าตาของนางกลมอิ่มทั้งไม่ขาดความอ่อนโยนแม้แต่น้อย
อวี้ถังก็เรียกตามเสียงหนึ่งว่า “พี่เจินจู”
เจินจูตกใจจนถอยหลังไปครึ่งก้าว เอาแต่พูดว่าไม่กล้ารับๆ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าซับเลือดว่า “เป็นสิ่งที่ทุกคนล้อเล่นกันเท่านั้น คุณหนูอวี้อย่าคิดเป็นจริงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเฉินต้าเหนียงต้องลงโทษข้าแน่เจ้าค่ะ”
อวี้ถังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในเรือนท่านแม่เฒ่า จึงไม่ถามซอกแซกมากความ เพียงยิ้มให้แล้วบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น จากนั้นค่อยเดินตามเจินจูไปที่ห้องของท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าท่าทางสดชื่นไม่เลว นางกวักมือเรียกอวี้ถังขณะนั่งอยู่บนตั่งไม้ยาว “ถือมาให้ข้าดูสิ เจ้านำดอกไม้ผ้าแบบไหนมาบ้าง”
นายหญิงใหญ่กับนายหญิงรองกลับไปหมดแล้ว ถ้วยชาและจานผลไม้ต่างๆ ก็ยกออกไปเช่นกัน แต่ตั่งไม้เตี้ยหลายตัวยังวางอยู่ข้างๆ ตั่งไม้ยาว ไม่รู้เก็บเข้าที่ไม่ทันหรือเพราะต้องการจะวางทิ้งไว้กันแน่
อวี้ถังเดินเข้าไปคารวะท่านแม่เฒ่าพร้อมรอยยิ้ม แล้วนั่งลงบนตั่งไม้เตี้ยที่อยู่ใกล้ท่านแม่เฒ่ามากที่สุดตามการบุ้ยใบ้ของสาวใช้ ก่อนจะยื่นกล่องที่อยู่ในมือให้เจินจู
เจินจูเปิดกล่องออก แล้วหยิบดอกไม้ผ้าที่อยู่ด้านในส่งให้ท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าได้เห็นดวงตาพลันสว่างวาบทันที
บนผ้าสักหลาดแดงเข้มมีดอกซานฉาสองดอก เบญจมาศสองดอก อวี้จานสองดอก อวี้หลันสองดอก ขนาดประมาณปากถ้วยชา ทำจากผ้าจางหรงซึ่งคนเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นยิ่งนักในฤดูกาลเช่นนี้ กลีบดอกซ้อนทับหลายชั้นคล้ายของจริง หากไม่ได้รู้ก่อนแต่แรกคงเข้าใจผิดว่าเป็นดอกไม้จริงได้ง่ายๆ
“นี่มันช่าง…” ท่านแม่เฒ่าหยิบดอกซานฉาขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด “ครั้งก่อนดอกบัวแฝดที่ติดบนผมเจ้าคิดว่าสวยมากแล้ว ไม่นึกว่าพวกนี้จะงดงามยิ่งกว่า เจ้าทำได้อย่างไร?”
อวี้ถังตอบยิ้มๆ “ความจริงที่ขายอยู่ด้านนอกไม่ด้อยไปว่าของข้าเลยเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้างนอกตั้งใจทำสิ่งนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ ต่างจากข้าที่ทำมันเพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านไป จึงสามารถทำให้สวยเหมือนของคนอื่นได้ ท่านแม่เฒ่าคงคิดว่าข้าฝีมือยอดเยี่ยม แต่ความจริงต่างก็ฝีมือไล่เลี่ยกันเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าพยักหน้า ทันใดก็ร้อง “เอ๊ะ” แล้วลูบที่กลีบดอกซานฉาในมือนานสองนาน จากนั้นก็หันไปทางอวี้ถัง
ครั้งนี้ สายตาที่มองอวี้ถังมีความจริงจังเพิ่มขึ้นหลายส่วน ทำเอาอวี้ถังตื่นตกใจ รีบพูดประจบว่า “มี มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
ท่านแม่เฒ่าได้ยินก็ฉีกยิ้มกว้าง
รอยยิ้มนั้น คล้ายกับหิมะที่หลอมละลาย บรรยากาศรอบตัวนางพลันเปลี่ยนอบอุ่นสบายตัวขึ้นมาทันที
“ดอกไม้ผ้าของเจ้าทำได้ประณีตมาก” นางกล่าว รอยยิ้มบนหน้ากระจายไปทั่วจนถึงดวงตา มิเหมือนกับตอนที่นางมาครั้งก่อน ที่เป็นรอยยิ้มบางเบาประดับบนริมฝีปากเท่านั้น “ก่อนหน้าข้าคิดว่ามันแค่เหมือนของจริง เมื่อครู่เพิ่งจะสังเหตเห็น ผ้าจางหรงที่เจ้าใช้ทำดอกไม้จะมีขนสั้นกว่าผ้าจางหรงทั่วๆ ไป ทำให้ดอกดูชิดติดแน่น กลีบดอกสมจริงเพราะมีทั้งความหนาและราบเรียบมันวาว เจ้าทำออกมาได้อย่างไร? ใช้กรรไกรตัดแต่งใหม่อีกครั้ง? หรือว่าใช้วิธีอื่นนอกจากนี้?”
นางถามขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ
อวี้ถังใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ชั่วขณะพลันรู้สึกถึงความยินดีที่มอบของขวัญให้ถูกคน
“ท่านเห็นแล้วหรือเจ้าคะ!” นางหัวเราะ “แต่ก่อนตอนที่ทำดอกไม้ผ้า ข้าก็เอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้แตกต่างจากผู้อื่น หากไม่เพิ่มน้ำค้างที่กลีบดอกก็จะเพิ่มแมลงปออะไรพรรค์นั้น บางทีก็จะใช้ลูกแก้วมาทำเป็นลูกตาด้วย แต่ภายหลัง ยิ่งรู้สึกว่าการทำให้ ‘สมจริง’ ต่างหากเป็นสิ่งที่ยากที่สุด บุปผาตอนเที่ยงวันบานเช่นไร บุปผาตอนช่วงเช้าบานแบบไหน บุปผาตอนช่วงค่ำจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร…ตอนที่ข้าทำดอกซานฉาไม่เพียงซื้อผ้าจางหรงชั้นเยี่ยม ซ้ำยังคิดหาวิธีตัดขนของผ้าให้สั้นขึ้น…แต่หากตัดสั้นเกินไป ก็อาจจะเห็นพื้นผ้าด้านในได้…ครั้งหนึ่งข้าไปเมืองซูโจว จึงได้ขอคำชี้แนะจากเด็กในร้านแพรไหม…แล้วสั่งจองผ้าไว้พับหนึ่ง…ราคาออกจะสูงอยู่หน่อย แต่ว่าใช้ทำดอกไม้แล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมือนจริงยิ่ง…สองดอกที่อยู่ในมือท่านคือดอกซานฉาที่บานตอนเที่ยงวัน หากว่าเป็นดอกไม้ยามค่ำ กลีบดอกจะม้วนมากกว่านี้…ข้ายังคิดอยู่ว่า จะทำออกมาทั้งแบบเช้าเที่ยงเย็นเพื่อสลับกันติดดีหรือไม่”
“เจ้าพูดได้ไม่เลว การทำดอกไม้ผ้า ต้องประดิษฐ์ของปลอมให้คล้ายกับของจริงจึงจะนับว่ามีฝีมือ!” ท่านแม่เฒ่าเอ่ยชื่นชม “เช่นนั้นดอกอวี้จานของเจ้าเป็นแบบบานยามเย็น ส่วนดอกเบญจมาศเป็นแบบบานยามเช้าใช่หรือไม่?”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ” อวี้ถังยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “ข้าคิดว่าหากท่านแม่เฒ่าต้องรับแขกช่วงเย็น ก็สามารถสลับกันติดได้”
ท่านแม่เฒ่าเคยเป็นภรรยาบ้านหลักมาก่อน เหล่าฮูหยินในสกุลมีเรื่องอะไรก็มักจะมาพบนาง หาได้แบ่งเวลาเช้าสายบ่ายค่ำไม่
“คุณหนูท่านนี้ เจ้านับว่ามีฝีมือพอตัวเลย” ท่านแม่เฒ่าชมไม่หยุด แล้วหันหน้าไปสั่งให้เจินจูนำดอกไม้ผ้าไปเก็บ ก่อนเอ่ยกับอวี้ถังว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปพักแรมที่วัดเจาหมิงสักหลายวัน รอให้ข้ากลับมา ก็ต้องเตรียมตัดเสื้อผ้าหน้าหนาวแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าก็มาช่วยข้าดูด้วย”
นี่หมายความว่านางผ่านการประเมินแล้วใช่หรือไม่?
อวี้ถังก็รู้สึกสนใจเช่นกัน “แต่ข้าไม่รู้เรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้าเลยเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าหัวเราะหึๆ “เจ้าสามารถทำดอกไม้ผ้าออกมาได้ขนาดนี้ ถือว่าคมในฝักแล้ว เจ้าแค่คอยดูว่าชิ้นไหนสวยก็เลือกชิ้นนั้น ถึงเวลาข้าจะส่งเทียบเชิญไปที่สกุลเจ้าเอง”
หากว่าเรื่องนี้สามารถทำให้ท่านแม่เฒ่าสำราญใจได้ นางย่อมยินดีอยู่แล้ว
อวี้ถังตอบคำถามเกี่ยวกับเคล็ดลับการทำดอกไม้ผ้าต่ออีกพักหนึ่ง จากนั้นก็ยกข้ออ้างว่าต้องกลับเรือนไปเตรียมงานวันฉงหยางเพื่อปฏิเสธคำชักชวนให้ร่วมโต๊ะอาหารอย่างละมุนละม่อม แล้วขอตัวลุกจากไป
ยังคงเป็นจี้ต้าเหนียงที่เดินมาส่งนางหน้าประตู ทว่าเดินไปได้เพียงครึ่งทางพวกนางก็พบกับอาหมิงเข้าเสียก่อน
“คุณหนูอวี้ ข้ารอท่านนานแล้วขอรับ” เขาวิ่งมาหยุดตรงหน้าอวี้ถังพร้อมรอยยิ้ม “นายท่านสามของข้าเชิญท่านไปดื่มชาที่ศาลาขอรับ”
ตอนนี้แค่ลมพัดผ่านร่างก็ค่อนข้างจะเย็นกายแล้ว ไม่สมควรไปดื่มชาที่หออุ่นหรอกหรือ?
อวี้ถังลอบค่อนแคะในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเดินตามอาเสาไปที่ศาลาเงียบๆ
ศาลาที่ไปครานี้เป็นคนละหลังกับศาลาหลังที่อยู่ริมน้ำซึ่งนางเคยไปเมื่อครั้งก่อน หลังนี้เป็นศาลาที่สร้างขึ้นตรงแอ่งลาดเนินเขาเล็กๆ มีชื่อเรียกว่า ‘ถีฉา’
อวี้ถังกระซิบถามอาหมิงว่า “จวนเจ้ามีศาลากี่หลังรึ?”
อาหมิงยกนิ้วขึ้นมางึมงำนับไปรอบหนึ่ง “ประมาณสิบเจ็ดหลังขอรับ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไร ข้านับเฉพาะที่จำได้ อาจจะมีตกหล่นไปบ้าง”
ช่างเถอะ เรือนนางไม่มีสักกะหลังด้วยซ้ำไป