ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 149 เรื่องเก่าๆ

อวี้เหวินกลับมาตอนดึกมากแล้ว ดื่มเหล้ามาจนเมามาย

อวี้ถังที่คอยบิดากลับมาพลันได้ยินเสียงความเคลื่อไหว ด้านหนึ่งก็ช่วยอาเสาพยุงอวี้เหวินที่แทบยืนไม่ไหว ด้านหนึ่งก็เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านมิได้ไปซื้อที่ของสกุลหลี่หรือเจ้าคะ?”

ตอนแรกนางไม่ยินยอมให้บิดาซื้อที่นาของสกุลหลี่ เพราะคิดว่าเส้นทางใช้น้ำไม่อาจข้ามจากคลองของสกุลหลี่กับบ้านสายตรงของพวกเขาได้ หากว่าถูกสกุลหลี่สกัดน้ำไว้ นาผืนนั้นก็เป็นแค่ที่ดินไร้ประโยชน์ ต่อไปยังต้องพัวพันลึกซึ้งกับสกุลหลี่ เช่นนั้นวุ่นวายเกินไป

อวี้เหวินหัวเราะหึๆ ท่าทีลำพองใจหนักหนา แล้วชูสามนิ้วขึ้นมาให้อวี้ถังดู พูดด้วยเสียงอ้อแอ้ว่า “สามสิบหมู่ ข้าซื้อแล้วสามสิบหมู่” จากนั้นก็ยกมือลูบผมอวี้ถังอย่างแรง “เป็นของเจ้าทั้งสิ้น เก็บเอาไว้ให้เจ้า”

อวี้ถังพลันรู้สึกอุ่นวาบที่กลางอก แต่ความอุ่นวาบถูกแทนที่ด้วยความสงสัยอย่างรวดเร็ว

นางประคองบิดาเข้าไปเรือนไปอย่างทุลักทุเล “ท่านพ่อ มิใช่ตกลงกันว่านายท่านอู๋แบ่งส่วนเยอะเราแบ่งส่วนน้อยหรือเจ้าคะ? จู่ๆ ทำไมท่านถึงซื้อตั้งสามสิบหมู่ได้? แล้วเรื่องชลประทานของห้าสิบหมู่นี้จัดการอย่างไร? ท่านได้พูดคุยให้ชัดเจนก่อนทำสัญญากับสกุลหลี่แล้วหรือยัง?”

“เจ้าสบายใจได้!” อวี้เหวินผลักอาเสากับอวี้ถังออก พยายามเดินโซเซเข้าเรือนด้วยตนเอง “นายท่านสามช่วยข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว สกุลหลี่สายหลักก็ตอบตกลง นายท่านอู๋ขอเพียงที่นายี่สิบหมู่…”

เรื่องนี้ไปเกี่ยวอะไรกับเผยเยี่ยนเล่า?

อวี้ถังอ้าปากค้าง เป็นนานกว่าจะได้สติ คิดจะถามที่มาที่ไปของเรื่องราวอย่างละเอียด อวี้เหวินก็เดินโขยกเขยกเข้าห้องไปแล้ว พลางตะโกนเรียกชื่อคนสกุลเฉินเสียงดังลั่น “ข้าเมาแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ออกมาพยุงข้าอีก” ทำเอาคนสกุลเฉินหน้าแดงถึงหู แอบอยู่ในห้องด้านในไม่ยอมออกมา

นางได้แต่กุมขมับเดินกลับห้องอย่างจนใจ คิดว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยไปที่เรือนใหญ่สอบถามจากบิดา

ไม่คิดว่าอวี้เหวินจะออกจากเรือนไปตั้งแต่ฟ้าไม่สาง

อวี้ถังมองขอบฟ้าที่แต้มด้วยสีขาวพุงปลา ร้องถามอย่างประหลาดใจว่า “เช้าขนาดนั้นเลยรึเจ้าคะ?”

คนสกุลเฉินทำหน้าเหนื่อยหน่าย แล้วเอ่ยยิ้มๆ คล้ายอับจนว่า “บอกว่านัดกับนายท่านอู๋เอาไว้ จะไปดูที่นาของสกุลหลี่”

พูดแบบนี้ ท่านแม่คงรู้เรื่องที่บิดาซื้อที่นาสามสิบหมู่ของสกุลหลี่แล้ว

อวี้ถังเอ่ยว่า “ท่านพ่อยังบอกอะไรอีกไหมเจ้าคะ?”

“ไม่มีแล้ว” คนสกุลเฉินตอบ “เมื่อคืนก็อาละวาดเพราะเมานั่นแหละ ยังจะพูดอะไรรู้เรื่องอีก” กล่าวจบ ใบหูนางก็แดงแจ๋ทันที

อวี้ถังไม่ทันสังเกตเห็น นางอยู่กินข้าวเช้าเป็นเพื่อนมารดา

อวี้เหวินกลับมาพร้อมหน้าที่บานเป็นกระด้ง

เขาผ่านประตูเข้ามาแล้วพูดกับอวี้ถังและคนสกุลเฉินว่า “ประเสริฐยิ่งแล้ว! บัดนี้ที่นาสามสิบหมู่ซึ่งใช้ปลูกข้าวปี้จิงได้ตกเป็นของสกุลเรา นายท่านสามไม่ได้ออกหน้าเอง แต่ให้พ่อบ้านใหญ่มาช่วยเหลือ สกุลเผยจะเป็นคนชักคลองน้ำเข้ามาให้ ทั้งสกุลเผยจะคอยช่วยดูแลเป็นหูเป็นตา ข้าเห็นพ่อบ้านของสกุลหลี่แล้ว หน้าตานี่ดูไม่ได้เลย” พูดจบ เขาก็ลูบศีรษะอวี้ถังอย่างอ่อนโยน “ไม่คิดว่าข้าจะได้อาศัยวาสนาของอาถังรวดเร็วปานนี้!”

นี่พูดถึงเรื่องอะไรไปถึงไหนกันแล้วนี่!

อวี้ถังถลึงตามองบิดาตัวเอง

อวี้เหวินไม่ถือสา เขาขำชอบใจแล้วนั่งลงข้างๆ คนสกุลเฉิน ฉวยโอกาสตอนที่ป้าเฉินไปยกโจ๊กให้เขาอธิบายว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าที่นาด้านข้างของสกุลหลี่เป็นของสกุลเผย ยังเคยไปขอให้นายท่านสามมาช่วยเป็นคนกลางเจรจาให้ นายท่านสามเพียงตอบข้าว่าให้ซื้อที่นาผืนนั้นอย่างสบายใจเถอะ มีปัญหาอะไรก็ไปหาเขาได้ ตอนแรกข้าคิดว่านายท่านสามคงวางแผนจะเข้าไปโน้มน้าวสกุลหลี่สายตรงว่าเลิกสร้างความลำบากให้พวกเราเสียที ใครจะคิดว่าเขากลับขุดคลองอีกสายแยกออกมาจากคลองสกุลเผย เช่นนี้ประเสริฐยิ่งกว่าไปลงชื่อบนสัญญาอะไรนั่นกับสกุลหลี่อีก…ต่อไปหากว่าสกุลหลี่เกิดกลับคำขึ้นมา ข้ามิต้องถือสัญญาวิ่งโร่ไปหาสกุลหลี่ทุกครั้งหรืออย่างไร? ทว่า ข้าก็นึกเสียใจอยู่ ที่นาชั้นดีสองร้อยหมู่ของเมืองหลินอันอยู่ในมือสกุลหลี่ สกุลเผยก็มีที่นาติดอยู่ข้างๆ กัน สกุลหลี่ต้องการขายที่ ไม่แน่สกุลเผยอาจจะอยากซื้อ แต่เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

กล่าวจบ อวี้เหวินก็ถอนหายใจเฮือก “สกุลเผยช่างเป็นคนดีมีเมตตาเสียจริงๆ”

อวี้ถังกลับแทรกว่า “เป็นเพราะแบบนี้ใช่หรือไม่ นายท่านอู๋จึงซื้อที่นาเพียงยี่สิบหมู่ อีกทั้งยี่สิบหมู่นั้นยังอยู่ตรงกลางระหว่างที่ของสกุลเรากับสกุลเผยด้วย”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรน่ะ?” อวี้เหวินสงสัย

มารร้ายในตัวอวี้ถังลอบกลอกตาใส่อวี้เหวินหลายตลบ แต่ก็ถูกต้องตามที่บิดาของนางกล่าวไว้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์

อวี้เหวินยังนำข่าวหนึ่งที่แตกต่างจากเรื่องราวเมื่อชาติก่อนกลับมาด้วย “ข้าได้ยินมาจากนายท่านอู๋ ผ่านเดือนสิบไปสกุลหลี่ก็อาจจะย้ายไปอยู่เมืองหังโจวแล้ว”

อวี้ถังกับคนสกุลเฉินต่างก็แตกตื่นยกใหญ่

จากบ้านเก่า คนดูแคลน[1]

คนธรรมดาทั่วไปไม่มีใครย้ายจากบ้านเก่ากันง่ายๆ หรอก

คนสกุลเฉินถามอย่างร้อนใจว่า “เรื่องนี้ใครเป็นคนพูด? สกุลหลี่ทำไมต้องย้ายไปอยู่เมืองหังโจวด้วยล่ะเจ้าคะ?”

อวี้เหวินตอบว่า “นายท่านอู๋ได้ยินมาจากผู้ดูแลของสกุลหลี่ ผู้ดูแลคนนั้นยังบอกอีกว่า ก่อนหน้านี้สกุลหลี่ได้ซื้อเรือนที่เมืองหังโจวเอาไว้ เริ่มทยอยขนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ไปที่เมืองหังโจวแล้ว รอพิธีไหว้บรรพบุรุษตอนวันที่หนึ่งเดือนสิบผ่านไป ก็จะเคลื่อนย้ายทันที ส่วนหลี่ตวนก็จะติดตามใต้เท้าหลี่ไปเล่าเรียนที่เมืองหลวง เขามิใช่เป็นจวี่เหรินรึ? ปีหน้าก็ครบสามปีที่จะจัดสอบแล้ว เขาล่วงหน้าไปเมืองหลวงก่อนนับว่าเหมาะสม เรื่องนี้ไม่น่าใช่แค่ข่าวลือแน่”

จิ้นซื่อสามปีจัดสอบหนึ่งครั้ง ลองนับวันดู ก็ถึงปีที่ครบกำหนดจัดสอบแล้ว

คนสกุลเฉินพยักหน้า แล้วสนทนากับอวี้เหวินว่าจะจัดการที่นาสามสิบหมู่ซึ่งเพิ่งซื้อมาใหม่อย่างไรบ้าง?

แต่ความคิดของอวี้ถังไม่รู้ลอยไปไกลถึงไหนแล้ว

ชาติก่อน หลี่ตวนไม่ได้เข้าร่วมสนามสอบถึงสองครั้งติดๆ กัน แต่พอลงสนามก็สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้ทันที คุณชายใหญ่สกุลเผย เผยถงกับเผยฉานที่มาจากสกุลสาขาก็สอบเป็นจิ้นซื่อได้พร้อมกับหลี่ตวนเช่นเดียวกัน

เมืองหลินอันจู่ๆ ก็มีจิ้นซื่อโผล่ขึ้นมาสามคน สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วแถบเจียงซูและเจ้อเจียง

ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หากว่าหลี่ตวนลงสนามสอบล่วงหน้า ไม่รู้ว่าเขาจะสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้ในครั้งเดียวเลยหรือไม่? หากว่าเขาไปเล่าเรียนที่เมืองหลวง นางก็คงยากจะได้พบเจอเขาอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาคืนแก้แค้น หรือว่านางต้องมองดูหลี่ตวนลอยนวลออกจากเมืองหลินอันไปเช่นนี้หรือ?

การตายของเว่ยเสี่ยวซานต้องแล้วกันไปแบบนี้รึ?

อวี้ถังรู้สึกไม่ยินยอม

นางคิดว่า คนเช่นหลี่ตวนนี้ เดิมก็ไม่คู่ควรจะเป็นขุนนาง ไม่สมควรจะสอบผ่านหรือได้ก้าวหน้าด้วยซ้ำไป

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าตัวเองยังพอมีเวลา ตอนนี้มานึกดู ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรจะรีบจัดการให้จบโดยไวจะดีกว่า

อวี้ถังขมวดคิ้วพันกันวุ่น

วงการบัณฑิตสายนี้ ไม่ต้องพูดถึงนาง ต่อให้บิดานางเป็นคนออกหน้า ก็ไม่มีทางแตะต้องหลี่ตวนได้

ตอนนี้ การเกี่ยวดองของสกุลหลี่กับสกุลกู้ได้จบลงแล้ว แม้สกุลหลี่จะต้องขายที่ แต่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับนางเลย อีกอย่างสกุลหลี่ก็แค่เงินขาดมือชั่วขณะ ขอเพียงหลี่อี้ยังรับราชการอยู่ สกุลหลี่ต้องก้าวผ่านวิกฤติไปได้โดยเร็วแน่

นอกเสียจากสกุลหลี่จะไม่มีคนรับราชการแล้ว

ความคิดหนึ่งวาบผ่าน อวี้ถังนึกบางสิ่งออกทันใด

ชาติก่อน ห้าปีถัดจากนี้ ซึ่งก็คือปีที่สองที่หลี่ตวนสอบติดเป็นจิ้นซื่อและซู่จี๋ซื่อแล้ว ได้เกิดเรื่องขึ้นกับหลี่อี้

ตอนที่เขาเป็นท่านข้าหลวงที่รื่อเจ้า ได้ทำคดีคบชู้ของแม่ม่ายกับน้องชายสามีคดีหนึ่ง หลี่อี้ตัดสินโทษตายให้แม่ม่ายผู้นั้น ส่วนน้องชายสามีก็เนรเทศออกไปสามพันลี้ น้องชายสามีร่างกายไม่แข็งแรง สิ้นใจอยู่กลางทาง สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปห้าปี ลูกชายคนโตของแม่ม่ายก็มาตีกลองร้องทุกข์หน้าศาลต้าหลี่ ยอมโดนโบยห้าสิบไม้แต่อย่างไรก็จะร้องเรียนหลี่อี้ให้จงได้ เขาบอกว่าแม่ม่ายไม่ได้เป็นชู้กับน้องชายสามี ทว่าเป็นนายท่านสกุลหลี่ซึ่งเป็นสกุลใหญ่โตในรื่อเจ้าคิดจะขืนใจแม่ม่าย แต่ทำไม่สำเร็จเพราะถูกน้องชายสามีทุบตีเข้า ด้วยความเจ็บแค้น จึงใส่ความว่าแม่ม่ายกับน้องชายสามีลักลอบเป็นชู้กัน คดีนี้ตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมโดยสิ้นเชิง

เมื่อข่าวแพร่ออกไป ชื่อเสียงของหลี่อี้ก็มัวหมอง

สกุลกู้ออกหน้าพยายามกู้สถานการณ์ สุดท้ายหลี่อี้ก็ลอยตัวถูกลงโทษตัดเบี้ยหวัดเพียงสามเดือนเท่านั้น

คนข้างนอกต่างด่าทอนายท่านสกุลหลี่ผู้นั้นว่าจิตใจต่ำทราม สาปแช่งให้เขาไม่ตายดี

สกุลหลี่ไม่อนุญาตให้ใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก

อวี้ถังบังเอิญไปได้ยินหญิงรับใช้กับแม่นมที่ติดตามกู้ซีมาแอบนินทาคนสกุลหลินที่มักโหดร้ายกับกู้ซีอยู่เสมอ นางเลียนเสียงกู้ซีทำเป็นเสียดสีหลี่อี้ว่า “พวกไม่เอาไหน ได้ยินคนอื่นเยินยอไม่กี่คำก็เชื่อว่าตนเองกลายเป็นผู้อาวุโสของผู้อื่นแล้ว เห็นเงินเข้าหน่อยก็ลืมแยกแยะดีชั่วไปหมด”

ตอนนั้นนางคิดว่าหญิงรับใช้เพียงระบายความไม่เป็นธรรมแทนกู้ซีเท่านั้น แต่พอย้อนกลับไปคิดอย่างละเอียด วาจาพวกนี้นับว่ามีที่มาที่ไป

นายหญิงทังยังเป็นถึงภรรยาของซิ่วไฉ เพื่อประจบข้าหลวงทังนางแทบจะตีสนิทนับเป็นญาติด้วยอยู่แล้ว นายท่านหลี่แห่งรื่อเจ้ากับหลี่อี้ก็มีนามสกุลเหมือนกัน ไม่แน่อาจจะเป็นเหมือนนายหญิงทังผู้นั้นก็ได้ คงอยากนับหลี่อี้เป็นพ่อบุญธรรมเสียเต็มแก่ นายท่านหลี่ต้องการใส่ร้ายแม่ม่ายกับน้องชายสามี หากไม่มีการช่วยเหลือจากหลี่อี้คงทำไม่ได้ ‘เห็นเงินเข้าหน่อยก็ลืมแยกแยะดีชั่ว’ ไม่แน่อาจหมายถึงหลี่อี้ที่รับเงินจากนายท่านหลี่มาก็เป็นได้

น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางกังวลกับความรักหรือชังของคนสกุลหลินมากเกินไป คนสกุลหลินไม่อนุญาตให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่เคยไปตามสืบอย่างจริงจัง

คำนวณเวลาดู คดีแม่ม่ายกับน้องชายสามีน่าจะตัดสินช่วงที่หลี่อี้ใกล้จะไปจากรื่อเจ้าแล้ว

ชาวเมืองหลินอันลือกันให้ทั่วว่ารอยรถลากที่หลี่อี้ให้หลี่จวิ้นคุมกลับมาจมลึกลงพื้นดินถึงสามส่วน…ไม่แน่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่จริงๆ?

คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังพลันยกมือตบศีรษะตนเอง

นางกำลังคิดเหลวไหลอะไรอยู่

หากในมือหลี่อี้มีเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น ทำไมเขายังต้องขายที่นาปลอดภาษีซึ่งใช้ปลูกข้าวปี้จิงจำนวนห้าสิบหมู่นั้นด้วยเล่า?

ไม่ถูก!

หัวใจของอวี้ถังพลันเต้นรัว

หากสกุลหลี่ต้องการฟอกเงินก้อนนั้นให้ขาวสะอาด ก็สามารถทำผ่านการขายที่นาปลอดภาษีห้าสิบหมู่นี้ได้

หัวใจของนางกระหน่ำเต้นตึกตักๆ

ชาติก่อน สกุลหลี่ไม่ได้ขายที่นาปลอดภาษีห้าสิบหมู่

แต่ตอนที่กู้ซีแต่งเข้ามา คนสกุลหลินโอ้อวดไปทั่วว่าสินเดิมของกู้ซีมากมายเพียงใด นับว่าเป็นเรื่องดีต่อสกุลหลี่ไม่น้อย

ตอนนั้นกู้ซีมีสินเดิมติดตัวมามากมายเพียงนั้นจริงๆ หรือ?

อวี้ถังพยายามเค้นสมองนึกภาพรายละเอียดการใช้ชีวิตของกู้ซี

กู้ซีเป็นคนมาตรฐานสูง เสื้อผ้าอาภรณ์ต้องเรียบง่าย สง่าและสมกาลเทศะ แม้ว่านางจะมีเสื้อผ้าและเครื่องประดับเพิ่มขึ้นมาทุกปี แต่ของเหล่านั้นมักจะสวมใส่ตอนเข้าร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น ปกติเวลาอยู่ในเรือนก็จะใส่ชุดเก่ากลางใหม่กับเครื่องประดับชิ้นโปรดเท่านั้น ในสายตาคนนอก เสื้อผ้าเครื่องประดับของนางทุกชิ้นล้วนไม่เคยซ้ำแบบ แต่ละครั้งที่ออกงานก็จะเปล่งแสงวิบวับเสมอ สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ผู้อื่นชื่นชม ยังมีอีกหลายคนที่เลียนแบบตามนาง ในสายตาของบ่าวรับใช้สกุลหลี่ กู้ซีเรียบง่ายและใจกว้าง จัดการเรื่องในเรือนได้อย่างถี่ถ้วนเหมาะสม จุดใดควรจ่ายเงินก็จ่ายเงิน จุดใดไม่ควรจ่ายก็จะไม่จ่ายสักอีแปะ หากพูดตามที่กู้ซีเคยบอกไว้ สิ่งนี้ก็คือหลักการและขอบเขตนั่นเอง

อวี้ถังแค่นยิ้ม

แต่ก่อนนางไม่เคยรู้ คิดว่าคนรวยสูงศักดิ์ก็คงใช้ชีวิตแบบนี้

ทว่าบัดนี้เมื่อได้เห็นท่านแม่เฒ่าสกุลเผย

นางอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ไม่อาจสวมอาภรณ์ฉูดฉาดมากลายได้ แต่ก็ทุ่มเงินเพื่อให้หลานๆ ในจวนได้แต่งตัวสวย ขนาดคนอย่างอวี้ถังที่คอยให้ความสำราญอยู่ข้างๆ ยังพลอยได้รับส่วนแบ่งไปด้วยเลย…อย่างกู้ซียังนับเป็นคนมีเงินอะไรได้อีก! เห็นชัดๆ ว่าเงินทองมีจำกัดแต่แสร้งวางท่าเป็นร่ำรวยสูงส่ง เจตนาสร้างภาพให้ตัวเองดูดีก็เท่านั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อวี้ถังพลันนึกออกอีกหนึ่งสิ่ง

ชาติก่อน คนสกุลหลินไม่เคยพูดจาดีๆ กับกู้ซีด้วยซ้ำ แต่เรื่องเงินกลับหน้าใหญ่ใจป้ำ โดยเฉพาะหลังจากที่สกุลหลี่กับสกุลหลินได้กำไรจากกิจการทางทะเล และหลังจากที่พบว่ากู้ซีรู้เรื่องที่หลี่ตวนมีความคิดสกปรกกับนาง นางไม่เพียงเรียกช่างฝีมือจากร้านเครื่องทองมาทำเครื่องประดับให้กู้ซีบ่อยๆ ทั้งยังซื้อร้านค้าหลายแห่งทั้งที่หังโจวกับเมืองหลวงภายใต้ชื่อของกู้ซีให้อีกด้วย

นางนึกว่าคนสกุลหลินแค่ต้องการชดเชยให้กู้ซีแทนบุตรชายของตน ตอนนี้มาใคร่ครวญดู อาจจะมิใช่เช่นนั้นแล้ว

————————————————————-

[1]จากบ้านเก่า คนดูแคลน หมายถึง คนที่ย้ายออกจากบ้านเกิดไป ไม่มีพี่น้องญาติมิตร ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย มักประสบกับการดูถูกดูแคลนจากผู้อื่น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset