ตอนที่ 85 ก็คงมีแต่อันโหรว
ในที่สุดอันโหรวก็เริ่มเข้าใจวิธีการของชายผู้เหี้ยมโหดผู้นี้แล้ว เพียงแต่ว่า หากคิดจะทำลายเหอเหมียว ก็ต้อง ‘เชิญ’ โอวหยางลี่ให้มายังที่แห่งนี้ด้วย เพื่อให้เขาได้เห็นเหอเหมียวที่อยู่ในสภาพโป๊เปลือยกายเท่านั้น
“หมวกสีเขียว[1]นี่มันอุจาดตาจริงๆนะ!” จิ่งเป่ยเฉินเอนหลังพิงไปยังเก้าอี้ในรถและมองด้วยท่าที่เกียจคร้าน ดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “คุณลองพูดซิ ตอนนี้โอวหยางลี่มาที่นี้เพื่อคิดจะทำอะไรกัน?”
อันโหรวกัดไปที่ริมฝีปากของเธอคอยเฝ้าดูโอวหยางลี่ที่ลงออกมาจากรถอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาซีดจาง ภายใต้ใบหน้าตาที่อ่อนโยนนั้นก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง กลับปรากฎเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาบนหน้าของเขา
บางทีเขาอาจจะสัมผัสหรือสังเกตอะไรบ้างอย่างได้ จู่ๆเขาก็เดินมุ่งหน้าตรงมาทางรถ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น
โอวหยางลี่ที่ยืนอยู่นอกรถ เอื้อมมือมาเคาะหน้าต่างกระจกรถเบาๆ
จิ่งเป่ยเฉินลดกระจกรถลง และมองไปที่เขาอย่างเย็นชา มุมปากเผยรอยยิ้ม เชิงล้อเลียนไปว่า “คุณชายโอวหยาง มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย? หากไม่ใช่เพราะว่าพนักงานของสกุลจิ่งถูกลักพาตัวมาที่นี่ ผมก็ไม่รู้เลยนะว่าจะมีสถานที่แห่งนี้อยู่ด้วย”
เมื่ออันโหรวจ้องมองไปที่อีกฝ่าย ตัวของเธอเองก็ต้องชื่นชมฝีมือการเล่นละครตบตาของจิ่งเป่ยเฉิน แม้ว่าจะไม่ได้มองใบหน้าของเขาโดยตรง แต่ก็ได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคของเขาอย่างเต็มๆ
โอวหยางลี่กำหมัดโดยไม่รู้ตัว เขารู้ดี ว่าคำพูดของจิ่งเป่ยเฉินนั้นหมายถึงอะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ประธานจิ่ง เหอเหมียวทำเรื่องผิดๆ แต่ทว่าเธอเองก็ได้รับการลงโทษแล้วเช่นกัน ให้อภัยเธอหน่อยได้ไหมในครั้งนี้”
เมื่อเห็นฉากของเหอเหมียวที่ถูกล่วงละเมิด หัวใจของเขาก็พลันหงุดหงิด ก่อนจะรีบลงออกมาจากรถ เมื่อเหลือบไปเห็นขาของอันอีหานที่ตอนนี้ถูกผ้าพันแผลปิดเอาไว้ เขาก็รู้สึกอับอาย ก่อนจะเข้าใจทุกอย่างได้ทันทีว่าเรื่องพวกนี้คงโทษใครไม่ได้
อันโหรวยังไม่ได้มองที่ตัวของเขา ทว่าตอนนี้เขานั้นได้ก้มหัวลง ก่อนจะโค้งตัวลงเล็กน้อย และเผยสีหน้าที่เย็นชาออกมา ภายในใจของเขานั้นกลับรู้สึกขมขื่น
โอวหยางลี่คิดว่าจิ่งเป่ยเฉินนั้นจงใจทำให้เป็นเรื่องยาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับยอมรับมันได้โดยทันที “ในเมื่อคนนั้นเป็นผู้หญิงของคุณชายโอวหยาง ผมจะไว้หน้าให้สักครั้งก็ได้ เพียงแต่ว่า จะไม่มีครั้งต่อไปอีก”
“ขอบคุณประธานจิ่ง ที่ไม่ถือสา ทั้งยังปล่อยตัวเหอเหมียวด้วย ต้องขอโทษคุณหนูอันแล้วจริงๆ”
โอวหยางลี่กล่าวคำขอโทษเสร็จ ก็เดินหันกลับไปหาเหอเหมียว เขายื่นมือไปหาเหอเหมียวด้วยความโกรธ ก่อนจะไล่พวกขอทานสามคนที่คร่อมตัวเธออยู่
เหอเหมียวที่เกือบจะเปลือยกาย พวกขอทานสามคนยังไม่ได้ลงมือขั้นตอนสุดท้ายที่มันดูออกจะร้ายแรงสักเท่าไหร่นัก ทรงผมที่ยาวสลวยของเธอถูกพาดไว้ที่ด้านหลัง ดวงตาตอนนี้ก็กลับแดงระเรื่อ เธอไม่อาจต้านทานความร้อนที่อยู่ภายในร่างกายได้ ก่อนจะบิดตัวไปมาด้วยท่าทีที่ออดอ้อน และบ่นพึมพำว่า “ร้อนจังเลยพี่ชายโอวหยาง”
ใบหน้าของโอวหยางลี่กลับมืดมนลง ครั้งแรกที่เขาเห็นเหอเหมียว เธอดูน่ารักไร้เดียงสา คล้ายกับโหรวโหรว แต่ทว่าตอนนี้….
เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะถอดเสื้อคลุมและสวมให้กับเหอเหมียวที่ร่างกายเปลือยเปล่าท่ามกลางสายตาของผู้คน เขาก็ได้อุ้มตัวเหอเหมียวออกมา
“ร้อนจัง อื้อ…” เหอเหมียวครวญคราง มือของเธอพยายามดึงเอาเสื้อตัวนอกของโอวหยางลี่ออก แต่เธอก็ถูกมือกดไว้อย่างแน่น ทำให้ไม่อาจดึงเสื้อนั้นออกไปได้ ทำได้แค่หายใจอย่างร้อนรน
ฉีเซิ่งเทียนกับหมิ่นลี่จ้องมองด้วยท่าทีที่เย็นชา ฉีเซิ่งเทียนที่ไม่ค่อยชอบโอวหยางลี่สักเท่าไหร่ เขาได้ใช้มือทั้งสองข้างสอดไปในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะยิ้มเยาะออกไป “คุณชายโอวหยาง ยาที่คนรักของคุณกิน ค่อนข้างรุนแรง ดูท่าคืนนี้คงต้องดูแลดีๆหน่อยนะ หวังว่าจะไม่ใช้ร่างกายจนเปลืองเสียละ”
ใบหน้าของโอวหยางลี่เปลี่ยนคล้ำก็กลายเป็นสีเขียว การเยาะเย้ยเช่นนี้ดูเหมือนกับการดูถูก แต่เขาเองก็แทบไม่มีอะไรจะพูด
อันโหรวที่ตอนนี้อยู่ในรถ เธอไม่อาจช่วยอะไรได้เลยนอกจากจ้องมองพวกเขาด้วยท่าทีที่จริงจัง
“อะไรกัน? เธอทนดูไม่ได้งั้นเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินรับรู้ถึงอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรงของอันโหรว
ด้วยเหตุผลที่ว่า อันอีหานได้เห็นโอวหยางลี่ไม่กี่ครั้ง ก่อนหน้านั้นก็มีกระทบกระทั่งกันไปบ้าง เพียงแต่ว่า เมื่อพูดถึงเรื่องโอวหยางลี่ทีไร ก็ดูไม่มีท่าทีจะเห็นใจเขาแม้แต่น้อย
ท่าทีแบบนั้น ก็คงมีแต่อันโหรวเท่านั้นล่ะ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มือของเขาก็จับไปที่พวงมาลัยไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
……..
[1] หมวกสีเขียว สังคมจีนโบราณ แรงงานชายที่รับจ้างทำงานตามซ่องโสเภณีจะใช้ผ้าสีเขียวโพกศีรษะ เป็นกฎระเบียบที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อจำแนกแรงงานดังกล่าวออกจากแรงงานในสาขาอาชีพอื่น สีเขียวจึงเป็นสัญลักษณ์ของอาชีพชั้นต่ำที่เกี่ยวข้องกับหญิงขายบริการ และบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมอันต้อยต่ำ
………………………..
ตอนที่ 86 ไม่เชิญผมเข้าบ้านหน่อยเหรอ?
อันโหรวพลางคิ้วขมวดแน่น ก่อนจะทนไว้ไม่ไหว
หากว่าเหอเหมียวไม่ได้อยู่ข้างกายของโอวหยางลี่แล้วละก็ คงมีหวังได้เกิดเรื่องอื้อฉาวอย่างแน่นอน ถ้าหากเป็นแบบนั้นขึ้นมาละก็ ไม่แน่ว่าหุ้นของกลุ่มโอวหยางอาจจะตกลงทันที
“พวกคุณจะปล่อยให้ผู้ชายสามคนนั้นจัดการกับเหอเหมียวจริงๆเหรอ?” อันโหรวมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินด้วยสีหน้าที่จริงจัง ถึงแม้ว่าเธอจะเคยตกเป็นเหยื่อของเหอเหมียวที่คิดอะไรตื้นเขิน แต่ถึงอย่างไรเหอเหมียวก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่น เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ การลงโทษเธอแบบนี้ มันออกจะโหดร้ายเกินไปหน่อยนะ
จิ่งเป่ยเฉินจับพวงมาลัยข้างหนึ่ง ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดสีดำขึ้นมาสวมใส่ เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่หมิ่นลี่ที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังก็พูดไปว่า “แล้วยังไงล่ะ พวกเราเองก็มีวิธีการของพวกเรา หากพวกเขาไม่คิดมาก่อกวนพวกเราก่อนละนะ”
คำพูดของหมิ่นลี่นั้นตีความหมายได้ว่า แท้จริงแล้วผู้ชายสามคนผู้นี้นั้นแค่ถูกจ้างมาเพื่อจัดฉาก แน่นอนพวกเขาไม่คิดจะทำแบบนั้นจริงๆ เป็นไปได้รึเปล่าที่จิ่งเป่ยเฉินจะเป็นคนวางแผนสั่งให้คนพวกนั้นทำ
“ประธานจิ่ง คิดไม่ถึงเลยนะว่าหัวใจของคุณจะเย็นชาตามข่าวลือจริงๆ”
ผู้หญิงคนนี้ หาโอกาสที่จะต่อว่าจิ่งเป่ยเฉินแทบทุกครั้ง….
จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขารู้ดีว่าคำพูดของอันอีหานหมายความว่ายังไง แต่ตัวเองก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการขับรถ โดยไม่คิดจะตอบโต้อะไรกลับทั้งสิ้น เพียงแค่ยกมุมปากขึ้นมาเบาๆ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้เห็น
เมื่อขับรถมาถึงบริษัทจิ่ง นี่ก็ดึกมากพอสมควร อันโหรวที่กำลังจะถอดเข็มขัดนิรภัยเพื่อลงจากรถ ก็ถูกจิ่งเป่ยเฉินจับมือของเธอไว้ก่อนและพูดขึ้น “ถ้าขาของคุณยังเจ็บอยู่ เดี๋ยวผมไปส่งก็ได้”
น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยอารมณ์ อันโหรวเองก็ไม่อาจโต้เถียงอะไรได้ ได้แต่นั่งอยู่เงียบๆ
จิ่งเป่ยเฉินเผยริมฝีปากที่ดูพึงพอใจ หันไปมองทั้งสองคนที่เบาะหลัง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่เย็นชา “ลงจากรถไปได้แล้ว”
ฉีเซิ่งเทียนย่นจมูกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเห็นดวงตาของลูกพี่ตน เขาก็ไม่กล้าพูดจาโต้ตอบอะไร น้ำเสียงและคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายว่า ‘อย่ามายุ่ง’ ก็ทำให้พวกเขารับรู้ได้โดยทันที
หมิ่นลี่ที่กำลังงีบหลับอยู่ในรถ ก็ถูกฉีเซิ่งเทียนปลุกให้ตื่น “ตื่นได้แล้วไอเด็กบ้า ถ้านอนอยู่แบบนี้ มีหวังไม่มีโอกาสได้ตื่นอีกเลย” ฉีเซิ่งเทียนเอ่ยด้วยความนัยว่าถ้าไม่รีบลงไปมีหวังถูกจิ่งเป่ยเฉินฆ่าแน่ๆ
หมิ่นลี่รีบตื่นขึ้นก่อนจะลืมตาด้วยความงุนงง ตอนแรกว่าจะโกรธฉีเซิ่งเทียนว่าปลุกทำไม แต่แล้วก็ถูกมือของฉีเซิ่งเทียนอุดไปที่ปากเสียก่อน และถูกดึงคอเสื้อให้ลงมาจากรถโดยไม่รอช้า
“คุณหนูอัน ประธานจิ่งเดินทางปลอดภัยครับ!” ฉีเซิ่งเทียนยิ้มขึ้นอย่างเหิมเกริม ก่อนจะโบกมือลาพวกเขา
ลูกพี่ใหญ่รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะเหยียบคันเร่ง และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว จนควันรถเองก็กระจายโดนไปที่หน้าของฉีเซิ่งเทียน
“จะนอนก็หญิงแก่ พอครั้งนี้ก็มาหญิงแก่อีก” ฉีเซิ่งเทียนมองรถที่ค่อยๆขับออกไปจากสายตาของตน ก่อนจะคิดไปเองว่าคืนนี้ พวกเขาสองคนนั้นจะทำอะไรกันอีกไหม
ถ้าหากอันอีหานสามารถทำให้จิ่งเป่ยเฉินมีความสุขได้ละก็ เช่นนั้นเขาเองก็ยอมผ่อนปรนเบาใจได้อยู่บ้าง
ตอนนี้หมิ่นลี่ที่ได้สติตื่นเต็มตื่น ก็ตบไปที่ฉีเซิ่งเทียน เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาล “เอ็งกระซิบกระซากอะไรอยู่คนเดียวห้ะ!”
ฉีเซิ่งเทียนรีบแคะหูของตนทันที เมื่อถูกเสียงที่ดังพูดตะโกนใส่เข้าที่หูอย่างจัง เขารู้สึก วิ้งๆ ดังอยู่ข้างในหูของตน ก่อนจะหันไปหาหมิ่นลี่และพูดขึ้น “เอ็งนี่มันบ้าจริงๆ พูดเสียงเบาลงหน่อยจะได้ไหม หูจะหนวกอยู่แล้ว!”
หมิ่นลี่ไม่คิดเลยว่าตัวของเขาเองจะส่งเสียงดังถึงขนาดนั้น ก่อนจะเสยมุมปากขึ้นอย่างไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น “ฉันจะบอกว่านายที่เป็นถึงคุณชายสองแห่งตระกูลฉี คิดจะอยู่กับจิ่งเป่ยเฉินไปชั่วชีวิตรึยังไง ไม่คิดวางแผนที่จะทำธุรกิจของตระกูลฉีบ้างเลยเรอะ?”
ฉีเซิ่งเทียนเม้มริมฝีปากล่าง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และล่วงมือไปที่กระเป๋า “สกุลฉีมีคนสานต่ออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ฉันลงมือเองหรอก” เมื่อเขาพูดจบก็ยื่นหมัดออกมา ก่อนจะทำท่าเหมือนจะต่อยไปที่หมิ่นลี่ และพูดขึ้นมาว่า “ไปดื่มกันสักขวดไหม พวกเราสองคนไม่ได้ดื่มด้วยกันนานแล้วนะ!”
หมิ่นลี่เมื่อได้ยินว่าจะไปดื่ม เขาก็รีบตอบรับโดยทันที “เอาสิ เร็วๆนี้ฉันได้เจออยู่ที่นึง ดูน่าสนุกด้วยแหล่ะ พวกเราไปดื่มกัน”
“เดี๋ยวนะ คงไม่ใช่พวกที่แบบ….”
ฉีเซิ่งเทียนอยากจะยกกำปั้นไปไว้ที่หน้าของหมิ่นลี่เสียจริงๆ ก่อนจะไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เดินตามไปก่อนจะผิวปากตามมา
เรื่องพวกนี้มันช่างเกินไปจริงๆ
ที่หน้าอพาร์ทเมนต์ของหลินจื่อเซี๋ยว
อันโหรวที่นั่งอยู่ในรถ ก็ชี้นิ้วไปยังที่ตรงหน้า “ถึงแล้วล่ะ ขอบคุณนะคะประธานจิ่ง ที่มาส่งฉันถึงบ้าน”
จิ่งเป่ยเฉินจอดรถนิ่ง ก่อนจะมองไปทางที่อันอีหานชี้นิ้วไป มันเป็นอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ที่มีสวนดอกไม้ล้อมรอบ อพาร์ทเมนท์นี่ดูร่มรื่นและสวยงามไม่เบา
“จะไม่เชิญผมเข้าบ้านหน่อยเหรอ?”