เฉว่เหยาไม่แยแสเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ของฝูงชน เขามองจางเซวียน “สหาย ทำไมเราถึงไม่จบเพียงเท่านี้ เป็นธรรมดาที่คนหนุ่มอย่างคุณจะเลือดร้อน แต่ควบคุมไว้บ้างจะดีกว่า เราไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นมิตรสหายกันย่อมดีกว่าเป็นศัตรู คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
“คุณพูดถูก โลกนี้จะน่าอยู่ขนาดไหนถ้าทุกอย่างคลี่คลายได้ด้วยวิธีการสันติ?” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ที่น่าเสียดายก็คือเราไม่ได้อยู่ในโลกอุดมคติแบบนั้น อีกอย่าง ผมไม่คิดจะ เสวนากับพวกสุนัข!”
เฉว่เหยาหน้าตึงขึ้นมาทันที เจตนาสังหารแผ่ซ่านออกจากร่างของเขา
ฝูงชนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ในฐานะเจ้าเมืองชวนเจียง เขายอมลดตัวลงมาเจรจาสันติภาพก่อน แต่หมอนั่นบังอาจสับความปรารถนาดีของเขาเละเป็นชิ้นๆ เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้!
อันที่จริง จางเซวียนก็ไม่ได้สุขุมอย่างที่เห็นภายนอก ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ป่านนี้ตั้นเฉี่ยวเทียนผู้มีน้ำใจคงตายไปนานแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเพราะตั้นเฉี่ยวเทียนมีสัญญาผูกมัดการแต่งงานกับเฉว่ชิง
เพื่อรักษาชื่อเสียงของตัวเอง ไม่มีอะไรที่สองคนนั้นจะไม่ยอมลดตัวลงมาทำ เขาไม่มีความอดทนพอจะพูดจาดีๆกับคนชั่วร้ายโหดเหี้ยมอย่างทั้งคู่
“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจในความเก่งกาจของตัวเองเหลือเกินนะ ทำไมเราไม่ดวลกันล่ะ?”
เห็นผู้คนออกันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เฉว่เหยารู้ดีว่าไม่อาจถอยได้ เขาต้องปกป้องเกียรติยศเกียรติยศและศักดิ์ศรีในฐานะเจ้าเมืองไว้
“เดิมพันคือ 400,000 เหรียญนิรันดร์ แต่เอาเถอะ ขึ้นอยู่กับคุณนะว่าจะตอบรับหรือไม่ ถ้าคุณไม่มีปัญญาหาเงินเพียงเท่านี้ล่ะก็ ผมจะกลับไปนอนแล้ว วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวัน คุณก็รู้ คนรับใช้ของผมก็ไม่เชื่อฟังคำสั่งของผมเลย…บอกตามตรงนะ ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณดูแลเมืองที่มีประชากรเป็นล้านๆได้อย่างไร ในเมื่อแม้แต่ลูกสาวของตัวเองก็ยังดูแลไม่ได้!” จางเซวียนถอนหายใจอย่างผิดหวัง
สำนักเจ้าเมืองของคุณมีเงินเหลือเฟือเพื่อดูแลบ่มเพาะกองทหาร ทำไมไม่เจียดมาให้ผมสักหน่อย?
เฉว่เหยาไม่เคยอยากฆ่าใครมากเท่านี้
หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นที่เคารพยกย่อง แม้แต่ศัตรูก็ยังไม่กล้าพูดกับเขาแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเหยียดหยามต่อหน้าสาธารณชน
ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้หมอนี่ลอยนวลไปได้
“เจ้าหนุ่ม คุณคิดว่าการปกปิดตัวตนภายในหอนิรันดร์จะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือ? ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ใครสักคนถูกตามล่าและสังหารในชีวิตจริงหลังจากมีเรื่องกับคนอื่นในหอนิรันดร์” เฉว่เหยาพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“ดูเหมือนคุณจะชื่นชอบการอ้อมค้อมเหลือเกินนะ ถ้ามีเงินไม่พอจะเดิมพันล่ะก็ ผมคงต้องขอร้องให้คุณไสหัวไป เวลาของผมมีค่า!” จางเซวียนโบกมือไล่เฉว่เหยาอย่างไม่แยแส
“คุณ…” เฉว่เหยากัดฟันอย่างเคืองแค้น “ก็ได้ ผมตอบรับเดิมพันของคุณ!”
พูดกันตามตรง เงิน 400,000 เหรียญนิรันดร์ถือเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับสำนักเจ้าเมือง แต่ถ้าเขา ไม่ตอบรับเดิมพันก้อนนี้แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายจากไป เกียรติยศศักดิ์ศรีที่เขาสั่งสมไว้ด้วยความยากลำบากตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาจะต้องป่นปี้ไม่มีเหลือ!
เขาแน่ใจที่สุดว่าหมอนี่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อล้างผลาญชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมืองหากเขาหันหลังกลับ
มันเรื่องอะไรที่เจ้าเมืองอย่างเขาจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มตัวปัญหาคนนี้!
เพราะเกรงจะเสื่อมเสียเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และกติกามารยาทของการประลองอย่างเคร่งครัด ถือเป็นมารยาททางสังคมที่เหล่าชนชั้นสูงให้ความสำคัญ
แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ดูจะไม่มีตาไว้มองกฎกติกาใดๆเลย
รู้ดีว่าลูกสาวของเขาคือต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งมวล เฉว่เหยาส่งสายตาเชือดเฉือนใส่ ทำให้เฉว่ชิงตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปคำรามใส่จางเซวียนด้วยความหงุดหงิด “เร็วเข้าเถอะ!”
จางเซวียนส่งยิ้ม จากนั้นก็โบกมือและขยับที่ทางบนสังเวียนประลอง “คุณออกตัวก่อนได้เลย”
“ขอผมอธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนนะ เดิมพันของเราไม่ได้อยู่บนกฎเกณฑ์ของสังเวียนประลองแห่งนี้ แต่เป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้เป็นชี้ตาย!” เฉว่เหยาพูด ยังไม่รีบร้อนออกตัว “คุณมั่นใจได้เลยว่าผมจะมอบเงิน 400,000 เหรียญนิรันดร์ให้หากคุณชนะ แต่ถ้าผมชนะ คุณจะต้องบอกตัวตนที่แท้จริงของคุณให้ผมรู้ อีกอย่าง ผมต้องการให้คุณไปที่สำนักเจ้าเมืองและกล่าวคำขอโทษตัวผมกับลูกสาวของผมด้วย!”
ขอแค่เขาได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของหมอนี่ ก็จะต้องเอาคืนอย่างสาสม หมอนี่จะต้องตกนรกทั้งเป็น!
“ไม่มีปัญหา!” จางเซวียนตอบห้วนๆ
“ก็ดี เราจะวางเดิมพันกันได้หรือยัง?”
เฉว่เหยาโบกมือ จากนั้นก็ยื่นบัตรนิรันดร์ของเขาให้สาวน้อยที่ทำหน้าที่ลงทะเบียน
วิ้งงงง!
เกิดแสงสว่างเจิดจ้า ข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ระบุว่าเฉว่เหยาทุ่มเงิน 4 แสนเหรียญนิรันดร์เข้าสู่การดวลเป็นที่เรียบร้อย
เห็นความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย จางเซวียนกระดิกนิ้วขณะยื่นข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนและที่อยู่ของเขาให้สาวน้อยเช่นกัน
เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง ถ้อยคำที่ระบุว่าจางเซวียนทำตามเงื่อนไขปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ถึงตัวตนของนักรบผู้หนึ่งในหอนิรันดร์จะเป็นตัวตนสมมติ แต่ก็เฉพาะกับสายตาของนักรบคนอื่นๆเท่านั้น หากเป็นตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ระบบจะสามารถระบุที่อยู่ที่แท้จริงและตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้งานได้ผ่านทางหยดเลือด
“ดี เริ่มเลย!”
เมื่อจัดการเดิมพันเป็นมั่นเหมาะแล้ว เฉว่เหยาเดินตรงไปที่รางอาวุธอย่างไม่ลังเลและคว้ากระบี่เล่มใหญ่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง
ความเชี่ยวชาญของเขาไม่ได้อยู่ที่ศิลปะเพลงดาบ แต่เป็นศิลปะเพลงกระบี่!
“ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอก ในเมื่อคุณใช้กระบี่ ผมก็จะใช้เหมือนกัน” จางเซวียนพูดขณะคว้ากระบี่อีกเล่มหนึ่งที่มีหน้าตาแบบเดียวกันขึ้นจากคลังอาวุธ
“เขาใช้กระบี่ได้ด้วยหรือ?”
“แต่เขาเป็นนักดาบนี่ ถ้าใช้กระบี่ จะไม่เป็นการลดทอนประสิทธิภาพของตัวเองหรือไง?”
ฝูงชนพากันงงงัน
หลังจากผ่านการดวล 9 นัดอันน่าทึ่ง ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่ไม่รู้ว่าเจ้าโลกคือนักดาบตัวจริงที่ยืนหยัดต้านทานได้แม้แต่กับเหล่าศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน
แล้วนักดาบคนหนึ่งจะมาใช้กระบี่แทน…เขาเสียสติหรือเปล่า?
“คุณรนหาที่ตายแล้ว!”
เฉว่เหยามั่นอกมั่นใจในความเก่งกาจของตัวเอง แต่แม้ตัวเขาก็ยังลังเลเล็กน้อยที่จะต้องเผชิญหน้ากับการโยนดาบของจางเซวียนหลังจากเห็นแล้วว่าคู่ต่อสู้ผู้ไร้เทียมทานมากมายต้องถูกสอยร่วงเพราะกระบวนท่านั้น แต่ลงท้าย…อีกฝ่ายก็กลับตัดสินใจอย่างโง่เขลาด้วยการเลือกจะท้าทายเขาในศิลปะเพลงกระบี่ เฉว่เหยาได้แต่คำรามเยาะ
กระบี่และดาบอาจดูคล้ายคลึงกัน แต่ความแตกต่างข้อใหญ่เรื่องขนาดและน้ำหนักของมันทำให้มีวิธีใช้งานแตกต่างกันมาก ดังนั้น ผู้ที่คุ้นชินกับการถือดาบจะพบว่าไม่อาจสำแดงพละกำลังการต่อสู้ออกมาได้ดังเดิมเมื่อใช้กระบี่ ซึ่งในทางกลับกันก็เป็นเช่นนั้น
หายากมากที่จะได้เห็นใครสักคนเข้าถึงความเชี่ยวชาญสูงสุดทั้งในศิลปะเพลงดาบและศิลปะเพลงกระบี่
ยอมละทิ้งพละกำลังของตัวเอง ลดทอนความสามารถของตัวเองเสียอย่างนั้น…ได้สิ ผมจะทำให้คุณเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการตัดสินใจครั้งนี้!
ฟึ่บ!
เฉว่เหยาสะบัดข้อมือและปล่อยกระแสกระบี่ฉีหลายสายออกมา กระแสกระบี่ฉีนั้นเข้าพันรอบตัวจางเซวียนทันที สกัดกั้นหนทางเคลื่อนไหวของเขาไว้ พร้อมกันนั้น เฉว่เหยาก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับชี้กระบี่ไปที่จางเซวียน
ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเลิกคิ้ว “ไม่แปลกใจแล้วที่เขาได้เป็นเจ้าเมืองชวนเจียง”
หากมองเผินๆ ศิลปะเพลงกระบี่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นดูออกว่าเทคนิคนี้มีความหลากหลายออกไปถึง 49 รูปแบบ ไม่ว่าจางเซวียนจะเคลื่อนไหวไปทางไหน เฉว่เหยาก็มีวิธีรับมือและเล่นงานเขาได้
ลงท้าย จางเซวียนก็จะต้องจนมุมและพ่ายแพ้
ต่อให้ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเองก็ยังรับมือกับกระบวนท่าแบบนี้ได้ยาก
“นั่นคือกระบวนท่าเหมันต์สีเงินของท่านเจ้าเมือง!”
“ผมเคยได้ยินเรื่องนี้ ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่เจ้าเมืองอายุเพียง 27 ปี ในค่ำคืนหนึ่งที่แสงจันทร์สีเงินสุกสกาวอยู่เหนือทุ่งหิมะ สะกดทุกสายตาให้จังงัง ค่ำคืนนั้นเองที่ท่านเจ้าเมืองเกิดแรงบันดาลใจและคิดค้นกระบวนท่านี้ขึ้น!”
“ก็เหมือนกับแสงจันทร์สีเงินที่สุกสกาวทั่วทั้งทุ่งหิมะ ไม่มีวิธีไหนที่จะหลบหนีหรือซ่อนตัวจากศิลปะเพลงกระบี่ของเขาได้ ก็เพราะเทคนิคนี้ที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้นำในสังเวียนประลองที่นี่!”
“คุณคิดว่าเจ้าโลกจะรับมือกับกระบวนท่านี้ไหวไหม?”
…..
ผู้ที่มีทรัพยากรมากพอจะซื้อหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลและเข้าสู่หอนิรันดร์ได้ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ แม้พวกเขาจะยังอ่อนด้อยหากเปรียบเทียบกับจางเซวียน แต่ความสามารถในการหยั่งรู้ก็มีพอตัว
พวกเขาดูออกว่ากระบวนท่าของเฉว่เหยามีอะไรลึกซึ้งกว่าที่เห็น ส่วนใหญ่คิดว่าเจ้าโลกคงต้องพ่ายแพ้ในการดวลนัดนี้
“ไม่เลว ผมขอชื่นชมที่คุณใช้กระบวนท่านี้ได้…” จางเซวียนก็ไม่ต่างจากฝูงชน ออกจะอัศจรรย์ใจเล็กน้อยกับกระบวนท่าของเฉว่เหยา เขาย่นหน้าผาก จากนั้นก็ครุ่นคิดหนัก
เราควรใช้พละกำลังของเราเพียง 1 ใน 10…หรือ 1 ใน 5 ดี?
ถึงอย่างไร ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่ได้อ่อนแออย่างคนอื่นๆที่เขาเคยเจอ อีกฝ่ายมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าคนอื่นๆ และดูเหมือนจะเล่นงานเขาได้…พละกำลังเพียง 1 ใน 10 อาจไม่พอจะยับยั้งอีกฝ่าย แต่ถ้าเป็น 1 ใน 5, ก็น่าจะเล่นงานอีกฝ่ายได้จบในคราวเดียว!
ชื่อเสียงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ!
ถ้าใครต่อใครรู้ว่าเขาเก่งกาจพอจะจัดการได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแม้แต่กับท่านเจ้าเมือง ก็คงไม่มีใครกล้ายอมรับคำท้าดวลของเขาและเป็นถุงเงินถุงทองให้เขาสูบได้อีก
ก็ตามนั้น เราคงต้องนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัวต่อไป!
“ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เริ่มด้วยพละกำลังที่ 1 ใน 8 ก็แล้วกัน เราจะยื้อการต่อสู้ออกไปสักหน่อย ก่อนจะหาโอกาสเหมาะๆเล่นงานเขาทีหลัง…” จางเซวียนรีบตัดสินใจก่อนจะพุ่งเข้าใส่พร้อมกับกระบี่ของเขา
การเคลื่อนไหวของจางเซวียนไม่มีทั้งความลึกซึ้งและสง่างาม กระบี่ในมือของเขาดูแสนจะธรรมดาสามัญ แต่เหมือนกับมีปราการอันแข็งแกร่ง เขาสามารถปัดป้องการโจมตีอย่างไม่ลดละของเฉว่เหยาออกไปได้ทุกครั้ง
ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็ปะทะกันไปกว่า 20 ครั้ง
“ผู้อาวุโสลู่ คุณคิดว่าใครจะชนะ?” อวิ๋นเฟยหยางซึ่งไม่มีความเข้าใจในศิลปะเพลงกระบี่มากนักตั้งคำถาม
ทั้งกลุ่มที่เหลือรีบหันมามอง
“ผมเชื่อว่าท่านเจ้าเมืองกำลังถือไพ่เหนือกว่า” ผู้อาวุโสลู่ตอบพร้อมกับพยักหน้าอย่างคนรู้ดี
“ถ้าอย่างนั้น ท่านเจ้าเมืองจะเป็นฝ่ายชนะหรือ?”
“มีความเป็นไปได้สูง แม้เจ้าโลกจะรับมือการโจมตีของเจ้าเมืองได้ดี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าโลกไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงกระบี่มากนัก นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาถูกบีบให้ต้องเป็นฝ่ายปัดป้อง ไม่อาจปล่อยการโจมตีอย่างจังๆใส่ท่านเจ้าเมืองได้ ส่วนศิลปะเพลงกระบี่ของท่านเจ้าเมืองก็มีความสมดุลกันทั้งในด้านความเร็วและพละกำลัง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาส่งผลให้กระบี่มีพละกำลังหนักหน่วง ซึ่งในที่สุดก็จะทำลายปราการการป้องกันตัวของเจ้าโลกได้!” ผู้อาวุโสลู่ตอบอย่างสุขุมขณะลูบเครา
ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นเจ้าเมืองและรั้งตำแหน่งมาได้ยาวนานย่อมมีความเก่งกาจเหนือชั้นกว่าคนอื่นๆ
“เข้าใจแล้ว” อวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกพยักหน้ารับ
จากการวิเคราะห์ตามมุมมองของผู้อาวุโสลู่ สิ่งที่เกิดขึ้นบนสังเวียนก็ดูจะเป็นไปตามนั้น