สิ่งแรกที่ฟีเรนเทียหยิบออกมาจากกองของขวัญคือผ้าคลุมผืนหนาสำหรับใช้ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว
มันเป็นดีไซน์ที่คล้ายกันกับผ้าคลุมสีดำที่เฟเรสใช้อยู่บ่อยๆ ในตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่
เธอสะบัดปัดฝุ่นคร่าวๆ กางมันออก ก่อนจะช่วยคลุมมันรอบคอของเฟเรส
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มขยับมองแต่ผ้าคลุมผืนหนาที่พันอยู่บนไหล่ของเขา
“อืม ว่าแล้วเชียว เหมาะจริงด้วย”
ที่แท้มันก็มีเหตุผลที่เขาเอาแต่สวมมันทั้งวันทั้งคืนจนนึกว่ามันเป็นชุดยูนิฟอร์มอยู่นี่เอง
มันช่วยขับให้ผิวขาวเนียนไร้จุดด่างดำและผมสีดำสนิทของเฟเรสดูโดดเด่นยิ่งกว่าผ้าคลุมที่ถูกปักลายหรูผืนนี้เสียอีก
“อย่าเที่ยวไปไหนมาไหนทั้งๆ ที่อากาศหนาวนะ ใส่นี่ไว้ให้ดีล่ะ”
เธอมองเฟเรสที่ยอมใส่ผ้าคลุมที่เธอช่วยพันให้อย่างว่าง่ายด้วยความพอใจ ก่อนจะหยิบเอาของขวัญชิ้นที่สองออกมา
มันคือดาบไม้ที่ปลายแทงเด่นขึ้นมาให้เห็นพ้นขอบกระเป๋า
“อึก หนักจัง”
หนักมากเสียจนเธอยกมันด้วยสองมือแทบไม่ไหว
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีดาบไม้อยู่แล้ว แต่เท่าที่เห็นครั้งก่อนมันดูเหมือนจะเบาเกินไปสำหรับเจ้าน่ะ ก็เลยเอามาให้”
ที่จริงต้องบอกว่า ขโมยมาจากของของสองแฝดนั่นถึงจะถูก
แต่เฟเรสไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดขนาดนั้นหรอก
“ลองแกว่งดูสักครั้งสิ”
คำพูดของเธอทำให้เฟเรสถือดาบไม้ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะแกว่งมันเบาๆ
ฟิ้ว!
เพราะข้างในแกนกลางของดาบไม้มันเสริมไว้ด้วยเหล็กกล้าที่หนักมาก มันจึงแตกต่างกันตั้งแต่เสียงยามฟันตัดสายลม
“อา”
นัยน์ตาเฉยชาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง
“เป็นไง ถูกใจมั้ย”
“…อื้อ”
“งั้นเอานี่ไปด้วย”
สิ่งที่เธอหยิบออกมาจากกระเป๋าคือ คู่มือการฟันดาบ
เฟเรสรับหนังสือปกหนังเนื้อหยาบไปถือไว้ เขาอ่านออกเสียงท่องชื่อหนังสือที่ถูกเขียนไว้บนหน้าปก
“ ‘คู่มือการฟันดาบบราวน์’ ?”
“ใช่แล้ว ไม่ใช่ ‘คู่มือการฟันดาบอาณาจักร’ แต่เป็น ‘คู่มือการฟันดาบบราวน์’ น่ะ!”
เธอโอ้อวดอย่างเต็มที่ แต่เฟเรสดูเหมือนจะไม่รู้เลยสักนิดว่ามันแตกต่างกันยังไง
แบบนี้ที่เอาของดีมาให้มันก็กลายเป็นไร้ค่าไปเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย
สุดท้ายเธอจึงต้องลงมืออธิบายให้เขาฟังด้วยตัวเอง
“ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็น ‘การฟันดาบแบบอาณาจักร’ หรือ ‘การฟันดาบแบบบราวน์’ มันก็คล้ายๆ กัน ก็แค่ ‘การฟันดาบแบบบราวน์’ ที่เมื่อก่อนเคยใช้กันไปทั่ว มันถูกเปลี่ยนมาเรียกว่าเป็น ‘การฟันดาบแบบอาณาจักร’ เท่านั้นเองน่ะ แต่หนังสือที่ออกมาใหม่สมัยนี้ทุกเล่มมีแต่ใช้ชื่อว่า ‘การฟันดาบแบบอาณาจักร’ แต่อันนี้เนี่ย แค่มองก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเก่าแก่มาก”
“อื้อ จริงด้วย”
“งั้นหมายความว่าไงล่ะ”
“อันนี้คือหนังสือที่เขียนบอก ‘การฟันดาบแบบบราวน์’ ของจริงเหรอ”
“ถูกต้อง! ใช่แล้วละ! ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นฉบับที่เจ้าตระกูลบราวน์คนก่อนเป็นคนเรียบเรียงและปรับแต่งใหม่เองด้วยนะเล่มนี้น่ะ!”
มันเป็นโชคดีที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า หนังสือเล่มนี้จะตกมาอยู่ในครอบครองของเธอ
เธอพบว่ามันถูกเสียบไว้อยู่มุมหนึ่งบนชั้นหนังสือในห้องสมุดที่ท่านปู่สร้างให้ แล้วก็นึกถึงเฟเรสขึ้นมาในทันที
คู่มือการฟันดาบแบบบราวน์ฉบับออริจินัลนี่น่ะ มันเป็นของขวัญที่สมบูรณ์แบบสำหรับเฟเรสมากที่สุด
แตกต่างจากเธอที่กำลังตื่นเต้นสุดๆ หมอนี่เพียงแค่ก้มมองหนังสือที่ถือไว้ในมือด้วยใบหน้านิ่งอีกครั้ง
แต่คงจะถูกใจมากอยู่เหมือนกัน ดูจากการที่เขาใช้นิ้วมือลูบหน้าปกหนังสือไม่หยุด
“น่าเสียดายอยู่เหมือนกันนะ ที่หนังสือนั่นมันไม่ใช่ของนาย”
“แล้ว?”
“เอาเป็นว่าอ่านหนังสือนั่นตามใจอยากไปก่อนก็แล้วกัน ในอนาคตอาจจะมีคนมาขอมันคืนน่ะ เพราะงั้นเอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยให้”
“…ไม่เอา”
“หา?”
เด็กที่พยักหน้าหงึกหงักเชื่อฟังกันอย่างว่าง่ายไม่ว่าเธอจะพูดหรือจะสั่งอะไร กลับบอกว่าไม่อยากทำตามที่เธอสั่งเป็นครั้งแรก
เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับไป
นัยน์ตาของเฟเรสที่ถูกผมหน้าม้าสีดำปรกลงมาบดบังเล็กน้อยช้อนขึ้นมองใบหน้าของเธอที่กำลังตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบสายตาลงล่างในขณะที่เอ่ยตอบ
“…เข้าใจแล้ว ให้ก็ได้”
อะไรกัน ตกใจหมด
แต่ก็นะ เขาก็คงจะถูกใจหนังสือเล่มนั้นมากจนไม่อยากยกให้ใครนั่นแหละ
เธอพูดต่อด้วยคิดว่าน่าจะช่วยปลอบใจเขาได้บ้าง
“สำหรับเจ้าเอาไว้เดี๋ยวข้าหาของที่ดีกว่านี้ให้ เพราะฉะนั้นอย่าเศร้าไปเลยนะ”
นี่ฟังที่เธอพูดอยู่หรือเปล่าเนี่ย
มือเล็กของเฟเรสจับมุมหนังสือคู่มือการฟันดาบเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ทำเอารู้สึกผิดชะมัด
เหมือนกับเธอกลายเป็นผู้ใหญ่เลวๆ ที่ให้ของขวัญเด็กน้อยแล้วจู่ๆ ก็แย่งมันกลับคืนไปเลย
“เฮ้ๆ ก็บอกแล้วไงว่าไว้หาหนังสือที่ดีกว่านี้ให้น่ะ”
แต่เด็กนี่กลับไม่ยอมตอบอะไรเอาแต่พยักหน้าไม่พูดไม่จา
งอนเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ
พอนึกไปถึงเฟเรสในอนาคตที่เย็นชาเหมือนสายลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่าน ก็คิดได้ว่าบางทีเด็กคนนี้อาจจะทำแบบนี้เพราะยังเด็กมากละมั้ง จะว่าไปเขาเป็นแบบนี้ก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูดีเหมือนกัน
ทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวนายเองนะ ว่าที่องค์รัชทายาทในอนาคต
เธอค้นของในกระเป๋าในขณะที่คิดว่าสักวันหนึ่งเขาก็คงจะเข้าใจความรู้สึกของเธอได้เองนั่นแหละ
แต่ตอนนี้ยังไงก็จำเป็นต้องหาอะไรมาง้อเฟเรสที่กำลังงอนเสียก่อน
“เอ้า นี่!”
ของที่เธอยื่นออกไปคือ ขวดแก้วที่เต็มไปด้วยลูกกวาดแบบเดียวกันกับที่เธอมอบให้เขาพร้อมยาเมลคอนเมื่อคราวก่อน
ข้างในขวดแก้วใบใสเต็มไปด้วยลูกกวาดเม็ดกลมหลากสีสัน มันดูน่ากินจนแค่มองเฉยๆ ก็ทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้แล้ว
“อ๊ะ นี่มัน…ที่หวานๆ”
ในที่สุดเธอก็เบี่ยงเบนความสนใจของเฟเรส ที่งอนเสียจนเอาแต่กอดหนังสือแน่นราวกับกลัวจะถูกแย่งกลับคืนไปเสียตอนนี้มายังของสิ่งอื่นได้สำเร็จ
ว่าแล้วเชียว เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
เธอจงใจเขย่าขวดแก้วส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง แล้วยัดมันใส่มือของเฟเรส
“ชอบของหวานเหรอ”
“ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบหรอก แต่ชอบอันนี้…”
“งั้นข้าให้อะไรที่หวานกว่า แล้วก็อร่อยกว่านั้นเอามั้ย”
“ของที่หวานและอร่อยกว่า”
เมื่อดึงความสนใจของเฟเรสได้สำเร็จ เธอจึงหยิบกล่องใบเล็กออกมาจากกระเป๋า
มันเป็นของที่วางอยู่บนโต๊ะห้องรับรองในบ้านกับห้องสมุดของเธออยู่เสมอไม่เคยขาด
“แถ่แด๊น! คุกกี้ช็อกโกแลตไง!”
“ช็อกโกแลต?”
เฟเรสเหม่อมองคุกกี้ผสมช็อกโกแลตชิปที่กำลังส่งกลิ่นหอมอบอวลราวกับมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์
“เคยกินไอ้นี่มั้ย”
ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนกลายเป็นแม่มดผู้ชอบหลอกเด็กในนิทานที่มักจะโผล่มาถามว่า ‘บ้านเจ้าไม่มีสิ่งนี้ใช่มั้ยล่ะ’ ก็เถอะ
เธอรู้จากเอสทีร่าว่า สิ่งที่เรียกว่าช็อกโกแลตไม่ใช่อาหารที่หากินได้ทั่วไปสำหรับโลกใบนี้
เธอหยิบคุกกี้ช็อกโกแลตขนาดเท่าฝ่ามือส่งให้เฟเรส
“ลองกินดูสิ!”
เด็กน้อยลังเลไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ แต่ไม่นานเขาก็รวบรวมความกล้ากัดคุกกี้หนึ่งคำ
“…อร่อย”
“ใช่มั้ยล่ะ ลองดูนี่สิ ข้าเอาของกินมาให้เจ้าเท่านี้เลย!”
มันอาจจะเป็นช็อกโกแลตที่ตลอดชีวิตของบางคนอาจจะไม่สามารถแม้แต่จะหาดูได้ แต่ในบ้านของพวกเรามันเป็นเพียงแค่ของที่หาเจอได้ง่ายเหมือนกับกระดาษชำระ คุกกี้ช็อกโกแลตพวกนี้ถูกจัดเตรียมไว้ทั่วทุกพื้นที่ที่เธอมักจะแวะเวียนไปบ่อยๆ
ทั้งห้องในบ้านของเธอ ทั้งห้องนั่งเล่น เธอรวบรวมทั้งหมดที่วางอยู่ทั่วทุกบริเวณ แค่นี้ก็ได้เกินกว่าสามสิบอันแล้ว