“องค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ โครอีธานอังเกนัสขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามาได้”
องค์จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรแลมบลู ราวีนี่ใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งดอกไม้ที่เพิ่งหยิบขึ้นมาพลางเอ่ยอนุญาต
ไม่นานหลังจากนั้น คนสนิทของนาง หรือโครอีธานผู้ดูแลรับผิดชอบกลุ่มการค้าดิวรักก็ย่างกรายเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง
นางต้อนรับเขาทั้งๆ ที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากก้านดอกกุหลาบสดใหม่
“องค์จักรพรรดินี กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โครอีธานถอดหมวกออก แนบไว้ที่หน้าอก ด้วยท่าทางดูคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ที่ข้ากำลังรออยู่ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นข่าวดีเกี่ยวกับกิจการต่างหาก ไม่รู้หรือไง โครอีธาน?”
“ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะมามือเปล่าได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”
คำพูดเฉียบขาดไร้เยื่อใยของจักรพรรดินี ทำเอาเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง แต่โครอีธานก็ยังคงเอ่ยพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พยายามไม่แสดงอาการออกไปได้สำเร็จ
“ลองอ่านนี่ดูสักครั้งเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งที่โครอีธานยื่นออกไปด้วยมือทั้งสองข้างคือ รายงานผลฉบับย่อ
มือขาวเนียนของจักรพรรดินีถอดถุงมือสำหรับใช้จัดแต่งดอกไม้ออก ก่อนจะรับสิ่งนั้นมาถือไว้
โครอีธานเองก็ลอบสังเกตท่าทางของจักรพรรดินี เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพระองค์ที่กวาดสายตาอ่านรายงานอย่างรวดเร็วดูแล้วไม่ได้เลวร้ายนัก จึงค่อยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
“ตามที่เขียนถวายผ้าทอโคโรอีจะเตรียมพร้อมสำหรับวางขายได้เสร็จสมบูรณ์ในสัปดาห์หน้าพ่ะย่ะค่ะจะเริ่มจัดจำหน่ายโดยใช้ย่านการค้าเซดาคิวนาร์ที่เนืองแน่นไปด้วยร้านตัดเย็บสำหรับชนชั้นสูง…”
“แก้ไขปัญหาเรื่องอุปสงค์และอุปทานของพืชนี่ได้อย่างไรกันล่ะ โครอีธาน?”
ครั้งก่อนที่โครอีธานเดินทางมายังวังของจักรพรรดินี เขาได้รายงานว่ามีปัญหาเรื่องของปริมาณวัตถุดิบที่จัดหาได้จากตะวันออก ตัวเขายังคงจดจำแววตาเย็นชาของจักรพรรดินีเมื่อตอนนั้นได้ไม่ลืมเลยทีเดียว
หลังจากช่วงเวลาที่รู้สึกราวกับนิจนิรันดร์จักรพรรดินีก็ได้เสนอให้เขาลองไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลลอมบาร์เดียดู
พอนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นแล้ว หยาดเหงื่อก็ผุดขึ้นเต็มไปหมด สุดท้ายโครอีธานจึงต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าในเสื้อออกมา
มันคือผ้าเช็ดหน้าที่ตัดเย็บจากผ้าทอโคโรอี
“ได้รับความช่วยเหลือของลอมบาร์เดียตามที่พระองค์รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ โล่งอกที่แคลอฮัน ลอมบาร์เดียมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางด้านสิ่งทอเป็นอย่างดี…”
“แคลอฮัน?”
จักรพรรดินีที่กำลังสวมถุงมือสำหรับจัดดอกไม้อีกครั้งหันไปมองโครอีธานเป็นครั้งแรก
“ไม่ใช่เบเจอร์?”
นี่เขาทำอะไรผิดพลาดลงไปอีกอย่างนั้นเหรอ
โครอีธานเริ่มรู้สึกหวาดกลัว ไหล่ผวาสั่นเทา
“ปะ…เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีตั้งใจว่าจะทำงานร่วมกับเบเจอร์ แต่เรื่องนั้น ขะ..เขาแทบไม่รู้เรื่องอันใดเลย…”
“หากเป็นแคลอฮัน งั้นก็หมายถึงบุตรคนเล็กของเจ้าตระกูลรึ”
จักรพรรดิดีเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เมื่อนึกถึงชื่อแคลอฮันที่มีตำแหน่งอยู่ในซอกหลืบของแผนผังตระกูลลอมบาร์เดีย
“พ่ะย่ะค่ะ! เป็นคนที่รอบรู้มากทีเดียว! ว่ากันตามตรงหากมองเฉพาะมันสมองก็ถือว่าเบเจอร์เทียบไม่ติดเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างพอเบเจอร์ถอนตัวออกไป คนสนิทของเจ้าตระกูลอย่างคนที่ชื่อเครย์ลีบันเองก็ยอมให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้น งานจึงยิ่งดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิม”
“ข้าจำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนั้นด้วยหรือไง โครอีธาน?”
เสียงของจักรพรรดินีที่เอ่ยแทรกตัดประโยคของตนทิ้ง แฝงไปด้วยความรำคาญใจเล็กน้อย
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ! แน่นอนว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้โปรดมอบให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
โครอีธานรีบก้มหน้าลงต่ำจักรพรรดินีหยิบดอกไม้กิ่งถัดไปขึ้นมาถือ
“ไม่ใช่เบเจอร์ แต่เป็นแคลอฮัน…น่าสนใจดี”
นึกถึงใบหน้าของรูลลักผู้ที่นางไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดในใจได้ จักรพรรดินีก็แย้มรอยยิ้มแฝงไปด้วยเลศนัย
ปกติแล้วบุตรชายคนโตจะต้องเป็นผู้สืบทอดตระกูล แต่มันก็ไม่อาจมีใครรับประกันได้ทั้งนั้น
พวกตระกูลชั้นสูงตระกูลใหญ่ ก็มักจะก่อสงครามแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดจนเลือดสาดกันทั้งสิ้น แน่นอนว่าเชื้อพระวงศ์เองก็เป็นเช่นนั้น
ราวีนี่ไม่ถูกใจมันเสียเลย
กริบ
เสียงน่าขนลุกดังขึ้นพร้อมกับกลีบดอกกุหลาบจากกิ่งกุหลาบที่ราวีนี่ถือไว้ถูกตัดแบ่งออกเป็นสองซีก
เพราะเมื่อนึกถึงคนชั้นต่ำที่มีนัยน์ตาสีเดียวกันกับสีแดงสดของดอกกุหลาบขึ้นมา นางก็ไม่อยากจะมองแม้แต่ดอกกุหลาบนี่อีกต่อไปแล้ว
จักรพรรดินีวางกรรไกรตัดดอกไม้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยถามโครอีธาน
“แคลอฮันมีบุตรหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ มีบุตรสาวชื่อฟีเรนเทียอยู่นางหนึ่ง เคยได้ยินจากแคลอฮันอยู่ว่าใกล้จะอายุครบแปดขวบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“บุตรสาวอย่างนั้นหรือ แบบนี้นี่เอง ถ้าอายุแปดขวบก็ถือว่าไม่แย่นัก”
“พะ…พ่ะย่ะค่ะ”
โครอีธานพูดตอบออกไปได้เพียงแค่นั้น เพราะเขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจักรพรรดินีทรงต้องการจะทำอะไรกันแน่
“วันนี้อาสทาน่าไปพบบุตรชายของเบเจอร์ที่ลอมบาร์เดียพอดี กลับมาคงต้องลองถามดูเสียหน่อย”
จักรพรรดินีเอ่ยพูดด้วยใบหน้ายิ้มกว้างดั่งดอกไม้บานเมื่อนึกถึงโอรสที่พระองค์รักเป็นอย่างยิ่ง
“ต้องถามดูเสียหน่อยว่าอยากได้เพื่อนเล่นผู้หญิงหรือไม่”
ริมฝีปากสีแดงสดที่ยกยิ้มกว้างนั่น เป็นสีแดงสดยิ่งกว่าดอกไม้ที่ถูกตัดจนเละ
“เอาละ นี่เรียกว่าการเล่นซ่อนแอบนะ ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนหาให้เอง ส่วนพวกเจ้าไปซ่อน”
“ว้าว! เพิ่งเคยเล่นครั้งแรกเลย! น่าสนุก!”
“น่าตื่นเต้นจัง ตื่นเต้น!”
ฟีเรนเทียยกยิ้มด้วยความพอใจพลางมองดูสองแฝดที่กำหมัดกระทืบเท้า
หุหุ เด็กพวกนี้นี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย
“ขอแค่ไม่ออกไปจากอาคารหลัก จะซ่อนที่ไหนก็ได้ทั้งหมดเลย แต่สถานที่ที่ปิดแน่น ห้องที่ไม่มีคน หรือที่อันตรายอย่างบ่อน้ำเหมือนเมื่อครั้งก่อนพวกนั้น ห้ามนะ เข้าใจมั้ย”
“อื้อๆ ! ”
“เอาละ งั้นจะนับถึงร้อยนะ”
เธอแนบหน้าเข้ากับเสาพลางเอ่ยพูด
“เอาละ หนึ่ง! สอง! สาม! สี่!”
ได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่วิ่งตุบตับไปในทิศทางเดียวกัน กะแล้วเชียวว่าสองแฝดนี่แม้แต่ซ่อนแอบก็ยังซ่อนด้วยกันไม่ยอมแยก
เธอนับเลขต่อไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าคงจะตามหาได้สบายน่าดู
“สิบ! สิบเอ็ด! …แหม ขาจ๋า คราวนี้สบายหน่อยนะ”
ถึงยังไงก็วิ่งไปไกลโน่นแล้ว ไม่มีทางได้ยินเสียงเธออยู่แล้ว
ฟีเรนเทียถูกลากออกมาข้างนอกนี่ ก็เพราะสองแฝดนั่นวิ่งมาหาตั้งแต่เช้าตรู่ งอแงบอกให้ไปเล่นด้วยกัน
พอเธอถามออกไปว่าพวกเจ้าไปเล่นด้วยกันแค่สองคนไม่ได้หรือไง สองคนนั่นก็บอกว่าตอนนี้เล่นแค่สองคนมันไม่สนุกแล้ว ต้องให้เธอไปเล่นด้วยถึงจะสนุก พากันพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดเหมือนกับนกแก้ว
เพราะฉะนั้นการละเล่นที่จะทำให้พวกเด็กๆ ชอบอกชอบใจกันไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็คือการเล่นซ่อนแอบนั่นเอง
“ฮ่า เงียบสงบดีจัง” พอไม่มีเสียงพูดพล่ามไม่หยุด ก็ให้ความรู้สึกสงบสุขได้ขนาดนี้เชียว
เธอตั้งใจว่าจะนั่งพักที่ไหนสักครู่ แล้วค่อยไปตามจับคู่แฝด ก่อนจะเดินหาสถานที่เหมาะสมที่แดดส่องลงมาอย่างอบอุ่น ทว่าสายตากลับเห็นเด็กคนหนึ่งยืนอยู่คนเดียวบนถนนสายที่ใช้เดินไปยังอาคารย่อยซึ่งเงียบห่างจากอาคารหลักที่มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาหลายคน เขาเป็นเด็กผู้ชายผิวขาว ผมบลอนด์เข้มเกือบเป็นสีน้ำตาล
“ใครกัน”
ใบหน้าไม่คุ้นเคย อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเบเลซัก
ดูจากท่าทางที่หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ กับเสื้อผ้าที่สวมใส่นั่น ดูแล้วไม่น่าจะเป็นลูกของคนงานเสียด้วยสิ
ฟีเรนเทียเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้น คิดว่าถ้าหากเขาหลงทาง เธอก็จะให้ความช่วยเหลือเขาแต่เด็กนั่นกลับถอดหมวกออกโยนมันลงพื้น แล้วกระทืบด้วยรองเท้า ท่าทางจะหงุดหงิดน่าดู
ท่าทางชั่วร้ายเอาแต่ใจนั่น ดูคุ้นเคยเหมือนไม่ได้เคยทำแค่ครั้งสองครั้ง
เธอหยุดฝีเท้าทั้งๆ ที่ระยะห่างระหว่างเธอกับเด็กคนนั้นตอนนี้ก็ห่างไม่มากแล้ว
ไม่อยากจะเข้าไปใกล้เลย
สัญชาตญาณมันร้องเตือนบอกให้เธอหันหลังเดินกลับไป
ควรจะไปตามหาสองแฝดนั่นได้แล้ว
แต่แล้วในตอนที่เธอคิดเช่นนั้นถึงได้หมุนตัวกลับ
ลมวูบใหญ่พัดผ่านมาจากที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้กลับพัดเข้ามา ทำให้หมวกที่ถูกเด็กคนนั้นกระทืบเท้าใส่ปลิวไกลห่างออกไปบนพื้นหญ้า
เด็กนั่นหันรีหันขวางคล้ายกับตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพบว่าเธอยืนอยู่ตรงนี้เข้าจนได้
“เจ้าตรงนั้นน่ะ เก็บหมวกนั่นมาซะ”
“หา?”
“หูหนวกหรือไง ข้าสั่งให้เก็บหมวกของข้ามา”
“เหอะ นี่มันอะไรกัน…”
เธอกลั่นกรองคำด่าสาปส่งด้วยความหยาบคายจากความโมโหที่พลุ่งพล่านขึ้นมาให้มันบริสุทธิ์ขึ้นมาระดับหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดออกไป
“เจ้านั่นแหละไปเก็บ ไอ้เด็กนิสัยเหมือนเบเลซักนี่”
มันคือคำด่าที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เธอซึ่งไม่อาจใช้ถ้อยคำหยาบคายจะนึกออกแล้วไอ้เด็กนี่…
ใบหน้าดูดีของเด็กชายกลับขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงโอหัง
“หากไปเก็บมาตอนนี้ ข้าจะละเว้นเจ้าก็ได้”
“ไอ้เด็กเหมือนเบเลซักนี่ เห่าอะไรอยู่ได้”
เธอกอดอกแน่นพลางเอ่ยพูด
“เจ้าเองก็ลองโดนตีด้วยหนังสือสักหลายครั้งหน่อยดีมั้ย นั่นดูจะให้ผลทันใจเหมือนกันนี่นะ”
“ยายอัปลักษณ์นี่พูดจาสามหาวจริงๆ”
นิสัยจองหอง หยาบคายที่ไม่รู้มีรากฐานมาจากไหนนั่น มันเป็นกรรมพันธุ์ที่สืบทอดกันมาของพวกเด็กตระกูลชั้นสูงหรือไง
เบเลซักเองก็ชอบพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นเป๊ะ
เธอไม่ได้พูดไปเฉยๆ แต่ไอ้เด็กนี่นิสัยเหมือนเบเลซักจริงๆ
เดี๋ยวนะ
พอลองมองใบหน้าของเด็กที่ไม่อาจรู้ตัวตนที่แท้จริงได้คนนี้ ลางสังหรณ์ร้ายบางอย่างก็กระแทกเข้าที่หลังศีรษะของเธออย่างจัง
“ระ…หรือว่า…”
“เจ้าชาย! เจ้าชาย อยู่ที่ไหนเพคะ!”
ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนตามหาใครบางคนด้วยความกระวนกระวายใจดังขึ้นจากที่ไกลๆ
“ถะ…ถ้าเป็นเจ้าชายงั้นก็”
อาณาจักรแห่งนี้มีองค์หญิงอยู่หลายพระองค์ แต่เจ้าชายนั้นมีเพียงแค่สองพระองค์เท่านั้น
และเธอก็รู้จักใบหน้าดูดีนั่นในเวอร์ชั่นโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้อีกหลายปีเป็นอย่างดี
“หรือว่า เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง…?”
เด็กคนนั้นกระตุกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งแทนคำตอบของคำถามของเธอ
“ไปเก็บมา”
จริงด้วย
แฝดวิญญาณของเบเลซักตัวการหลักที่ทำให้ตระกูลของเราพังทลาย
เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง อาสทาน่า เนเรมเฟย์ ดิวเรลลี่