“ถึงแม้ตราประทับในเอกสารจะเป็นตราบาราพอร์ท แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะว่าใครกันที่เป็นเจ้าของเหมืองแร่ที่แท้จริง”
แน่นอนว่าตระกูลที่ได้รับสัมปทานในการขุดเจาะเหมืองนั่นคือตระกูลชูลส์ของเวสติน แต่รูลลักกลับตั้งใจไม่พูดถึงประเด็นดังกล่าว
“ตระกูลอังเกนัสย่อมไม่มีทางรู้ได้ว่าเหมืองนั่นเป็นเหมืองที่มีไว้เพื่อการใด แต่มันเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าพวกนั้นใจกล้าขนาดกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งกับเหมืองเหล็กพ่ะย่ะค่ะ”
เหมืองเหล็กเป็นเสบียงทางการทหารที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
แร่เหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบในการสร้างอาวุธ ในอาณาจักรมีเพียงแค่ราชวงศ์และตระกูลจำนวนน้อยมากรวมถึงลอมบาร์เดียเท่านั้นที่มีมันไว้ในครอบครองและพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นตระกูลที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์มาหลายยุคหลายสมัยอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้อังเกนัสจะเป็นตระกูลของจักรพรรดินี หากแต่รากเหง้าของพวกเขานั้นเป็นตระกูลฝั่งที่จงรักภักดีกับฝ่ายขุนนางมากกว่าราชวงศ์
แร่เหล็กจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะอนุญาตให้พวกเขามีไว้ในครอบครอง
“และคนที่ทำให้พวกนั้นฝันสูงเกินตัวก็คือฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ความผิดของข้างั้นเหรอ! พูดอันใดไร้สาระถึงเพียงนั้นครับ! ข้าก็แค่!”
“ฝ่าบาทเป็นคนให้อำนาจแก่อังเกนัสเองไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะไม่เพียงแค่มอบโอรสองค์โตให้จักรพรรดินี แต่ขนาดโอรสองค์ที่สองก็ยังโยนให้จักรพรรดินีด้วย ไม่เคยใส่พระทัยว่าราวีนี่ อังเกนัสจะสังหารบุตรที่เกิดจากข้ารับใช้นางนั้น หรือจะปล่อยให้รอดชีวิต…”
“จะสังหารหรือจะปล่อยให้รอดรึ”
โยบาเนสไม่ใช่จักรพรรดิที่โง่เขลา
อย่างน้อยจากการประเมินของรูลลักพระองค์ก็เป็นเช่นนั้น
พระองค์เป็นคนที่หูตาว่องไวมาก ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง อ่านออกกระทั่งความคิดในใจและคำพูดที่ออกจากปากของผู้คน
เหมือนอย่างตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าจักรพรรดินีทำร้ายเฟเร…เจ้าชายลำดับที่สองหรือครับ”
“โล่งอกที่ยังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้ดูเหมือนว่าจะถูกวางยาพิษก็เถอะ”
“เหอะ!”
โยบาเนสพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หัวเราะเย้ยหยัน
มันไม่ใช่ความรักใคร่ในตัวโอรสที่เกิดจากข้ารับใช้ที่แม้แต่ชื่อก็ยังจำไม่ได้อย่างแน่นอน
พระองค์เพียงแค่รู้สึกโกรธแค้นและรังเกียจจักรพรรดินีที่กล้าลงมือกับสายเลือดของตัวเองเท่านั้น
รูลลักเลื่อนแก้วน้ำไปตรงหน้าจักรพรรดิพลางเอ่ยพูด
“แน่นอนว่าการมอบอำนาจให้พวกอังเกนัสโดยการขัดแย้งกับกระหม่อมตลอดเวลาที่ผ่านมา ถือว่าเป็นวิธีการที่ดีมากพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
โยบาเนสผวาเฮือกเมื่อถูกอีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดภายในใจ แต่รูลลักเพียงแค่ยิ้มจางยามมองภาพนั้น
แววตาคู่นั้นคล้ายกับอาจารย์ที่มองดูศิษย์เติบโตขึ้นมาจนได้ดิบได้ดี
“เพียงแต่มอบให้มากเกินไปเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ นั่นคือปัญหา พวกนั้นโลภมากเสียจนไม่รู้แม้กระทั่งว่าท้องของพวกมันกำลังจะแตก…และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะแย่งชิงอำนาจนั่นกลับคืนมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่…”
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไรทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
มือของโยบาเนสที่กำลังนวดหน้าผากด้วยรู้สึกปวดราวกับศีรษะจะระเบิดหยุดชะงักทันที
รูลลักมองจักรพรรดิที่ทำท่าเช่นนั้นในขณะที่ฉีกยิ้มกว้าง
และเสนอในสิ่งที่จักรพรรดิไม่มีทางปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด
“เพราะกระหม่อมจะรับบทตัวร้ายให้เองยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฟีเรนเทียกับเฟเรสนั่งจ้องตากันอยู่บนเตียง
โซฟาที่มีอยู่ตัวเดียวในห้องก็จับฝุ่นหนาเตอะ ส่วนพื้นก็เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง จึงมีทางให้เลือกแค่ทางนี้ทางเดียว
เด็กหนุ่มผิวขาวผมสีดำสนิทระต้นคอ นัยน์ตาสีแดงเหมือนริมฝีปากสดนั่นกำลังมองสบตาเธออยู่
“เฟเรส เจ้า…”
แพขนตายาวของเด็กหนุ่มสั่นระริกเล็กน้อยยามกะพริบตา
“เจ้าสูงขึ้นนิดหน่อยนะ”
“รู้สึกว่าสูงขึ้นอยู่เหมือนกัน”
เฟเรสพยักหน้าตอบด้วยใบหน้านิ่ง
“ก็นะ…ตอนนั้นก็ตัวสูงกว่าคนอื่นตั้งหนึ่งช่วงศีรษะนี่นา”
เธอนึกถึงภาพลักษณ์ของเด็กคนนี้ในชาติก่อนพลางเอ่ยพึมพำ
สมัยนั้นเธอยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ออกมายืนมุงกันเพราะได้ยินคนอื่นๆ พูดกันให้ทั่วว่า รัชทายาทองค์ใหม่ปรากฏตัว แต่ก็เคยเห็นเขาจากไกลๆ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ร่างกายแข็งแกร่งตึงแน่นยิ่งกว่าอัศวินที่ยืนอยู่รอบกาย ผ้าคลุมโบกสะบัดพลิ้วไหว นัยน์ตาเย็นชายามมองเหยียดทุกสิ่ง ภาพของเฟเรสในตอนนั้นจับสายตาของฝูงชนได้เสียอยู่หมัด
“ใคร”
“หืม? ปะ…เปล่า”
แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอนี่ จะให้จินตนาการว่าต่อไปเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น มันช่างยากมากจริงๆ
องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ราวกับหมาป่าตัวใหญ่ยักษ์ที่มีขนสีดำวาวพลิ้วคนนั้น เทียบกับเด็กนี่แล้วมันช่าง
“กำลังคิดถึงใครน่ะ”
ถึงแม้สีหน้าท่าทางจะเหมือนกัน แต่เฟเรสในตอนนี้มัน…
“ลูกสุนัข?”
คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยของเธอทำให้เด็กน้อยเอียงคอมองด้วยความงุนงง
ดูสิ เหมือนจริงๆ …ไม่สิ เหมือนลูกสุนัขเลยไม่ใช่เหรอ
“มีลูกสุนัขที่เลี้ยงไว้เหรอ”
“อ่า เปล่า กำลังคิดอยู่ว่าจะเลี้ยงสักตัวดีมั้ยน่ะ”
“ชอบสุนัขนี่เอง ข้าก็ชอบนะ ถึงจะไม่เคยเห็นของจริงก็เถอะ แต่ถ้าเจ้าชอบข้าก็ต้องชอบแน่อยู่แล้วละ”
เฟเรสพึมพำอะไรบางอย่างที่เธอไม่อาจรู้ความหมาย
“ที่ผ่านมาทำการบ้านที่ข้าสั่งดีหรือเปล่า”
“ที่สั่งให้กินข้าว กินยา ตอนนางกำนัลมาก็นอน ฝึกฟันดาบ”
เด็กหนุ่มนับนิ้วทีละนิ้วพลางเอ่ยตอบทันที
“อืม นั่นแหละ”
“ทำหมดแล้ว ข้าทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่างเลย”
รู้สึกเหมือนเห็นหางแกว่งอยู่ข้างหลังใบหน้ากระจ่างใสนั่นเลยแฮะ หรือเธอจะเข้าใจผิดไปเอง
“แสดงให้ดูเอามั้ย”
เฟเรสเอ่ยถาม ทำท่าราวกับพร้อมที่จะจับดาบฟาดฟันให้ดูมันเสียตอนนี้
“ไม่ต้อง ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก ในเมื่อทำการบ้านได้ดีก็ต้องรับรางวัลสิ ไม่ใช่เหรอ”
“รางวัลเหรอ”
เธอลากกระเป๋าที่วางอยู่ด้านหนึ่งเข้ามาหาตัวพลางแสยะยิ้ม
สายตาของเฟเรสไม่อาจละไปจากมือของเธอที่กำลังคลายเชือกผูกกระเป๋าออกได้เลย
“เอาละ งั้นจะให้ของขวัญแก่เด็กดีนะ”
นายรู้จักซานต้ามั้ย
เธอเปิดกระเป๋าออกพรวดในขณะที่เอ่ยพูด