เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน – ตอนที่ 202 แผนการของราชันทมิฬ

ตอนที่ 202 แผนการของราชันทมิฬ

เย่ฉางชิงลูบที่หัวของราชันทมิฬ

ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกมากมายขึ้นมาอย่างห้ามมิได้

‘เดิมคิดว่าราชันทมิฬที่รูปร่างน่ากลัวแต่ขี้ขลาดราวกับหนูจะไร้ประโยชน์’

‘แต่คาดมิถึงจริง ๆ ว่าการบำเพ็ญเพียรของเรายังต้องอาศัยหินหุนหยวนที่เจ้าราชันทมิฬนำกลับมาให้’

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นมา พลางหันขวับไปยังราชันทมิฬที่นอนหมอบอยู่ตรงหน้า

‘ใช่แล้ว ! ’

‘หรือว่าราชันทมิฬจะเป็นปีศาจที่มีสายเลือดโบราณบางอย่าง ? ’

‘อีกทั้งยังมีจิตสัมผัสในการค้นหาสมบัติที่พิเศษ’

‘อืม ! ’

‘มีความเป็นไปได้ มิเช่นนั้นมันจะไปหาหินหุนหยวนที่ประเมินมูลค่ามิได้สี่ก้อนนี้เจอได้เยี่ยงไรกัน ? ’

เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา

“ราชันทมิฬ หวังว่าเจ้าคงจะมิทำให้ข้าผิดหวังนะ ! ”

สิ้นเสียงราชันทมิฬถึงกับเบิกตาโพลง ราวกับฟังสิ่งที่เย่ฉางชิงพูดออก ท่าทางเต็มไปด้วยความแน่วแน่

เย่ฉางชิงที่ได้เห็นภาพนั้นก็ชะงักงันไปทันที ก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม ๆ

หากความจริงเป็นดังเช่นที่เขาวาดฝันเอาไว้

ราชันทมิฬในตอนนี้เกรงว่าอย่างน้อยคงเป็นราชาปีศาจหรือจักรพรรดิปีศาจไปแล้ว

และหากอาศัยความแข็งแกร่งของราชันทมิฬ เขาคงจะสามารถท่องไปในโลกเซียนแห่งนี้ได้ตั้งนานแล้ว

จะหมกตัวอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือมาถึงห้าปีทำไมกัน จนบัดนี้ถึงจะสามารถมาจนถึงเมืองหลวงได้ ทว่ากลับยังมิสามารถทำอะไรได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

มินานราตรีก็ค่อย ๆ คืบคลาน

หลังจากเย่ฉางชิงหลับไปแล้ว ถูสือซานก็ค่อย ๆ มุดออกมาจากด้านในห้องอย่างระมัดระวัง

“ราชันทมิฬ ข้าทนมิไหวแล้ว ! ”

ถูสือซานเดินมาตรงหน้าราชันทมิฬที่นอนหมอบอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ

“ทนมิไหวแล้ว ? ”

ราชันทมิฬลืมตาขึ้นมาทันที และมองไปยังถูสือซานที่มีท่าทางแปลกประหลาดไป “เรือนหลังนี้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ มิสบายตรงไหนกัน ? ”

ถูสือซานเอ่ยด้วยท่าทางกระวนกระวาย “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าหมายความว่า… ข้าแทบจะกดพลังของตัวเองเอาไว้มิอยู่แล้ว”

“ห๊ะ ? ”

ราชันทมิฬเบิกตาโพลงมองไปยังถูสือซานทันที

‘จักรพรรดิปีศาจ ? ’

‘ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ เด็กคนนี้ก็มีตบะบารมีระดับราชาปีศาจแล้ว’

‘นี่เพิ่งจะผ่านมามินาน ก็ใกล้จะบรรลุอีกแล้วงั้นหรือ ! ’

‘หมายความว่าเพียงแค่ถูสือซานทะลวงระดับได้สำเร็จ ก็จะขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าแล้ว’

‘แต่ออกจะเร็วเกินไปกระมัง ! ’

‘ช้ำใจ ! ’

‘น่าช้ำใจยิ่งนัก ! ’

“ราชันทมิฬ ข้าควรจะทำเช่นไรดี ข้ากดพลังเอาไว้แทบจะมิไหวอยู่แล้ว”

แววตาของถูสือซานเป็นประกาย พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาอีกครา

ราชันทมิฬแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายวาววับขึ้นมาพร้อมเอ่ยว่า “การบรรลุเป็นจักรพรรดิปีศาจจะทำให้เกิดนิมิตฟ้าดินขึ้น ทางที่ดีควรจะไปบรรลุที่นอกเมืองจะดีกว่า”

ถูสือซานพยักหน้าแรง ๆ

จากนั้นผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ราชันทมิฬก็นำถูสือซานมายังกองหินระเกะระกะ ที่ห่างไกลผู้คนด้านนอกเมืองหลวง

“เด็กน้อยเจ้าบรรลุที่นี่ก็แล้วกัน ข้าจะปกป้องเจ้าอยู่ตรงนี้เอง”

ราชันทมิฬเลือกสถานที่แห่งหนึ่งให้แก่ถูสือซาน จากนั้นจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยขึ้น

“อืม”

ถูสือซานพยักหน้ารับ ก่อนจะกระโดดลงจากหลังของราชันทมิฬ

ทว่าขณะที่ถูสือซานยังเดินไปได้เพียงมิกี่ก้าว พลังปราณอันแข็งแกร่งและปั่นป่วนก็ปกคลุมไปทั่วทั้งกองหินภายในพริบตา

ราชันทมิฬเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็อดจะที่ฉีกยิ้มมุมปากออกมามิได้ “เด็กคนนี้กดพลังเอาไว้นานแล้วจริง ๆ ด้วย พลังลมปราณถึงได้ปั่นป่วนถึงเพียงนี้”

เมื่อเวลาผ่านไปหลายอึดใจ

ด้านในกองหินระเกะระกะก็มีลำแสงสีขาวสายหนึ่งทะยานสู่ฟ้า ส่องสว่างราวกับจะให้กองหินเจิดจ้าราวกับกลางวันก็มิปาน

มินานบริเวณนั้นก็เกิดพายุและฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว ปราณวิญญาณฟ้าดินกระหน่ำมามาทางถูสือซานอยู่อย่างบ้าคลั่ง…

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม

เงาร่างสีขาวอันงดงามก็ค่อย ๆ ปรากฏสู่สายตา

ใต้แสงจันทร์สีขาวสว่างไสวที่ส่องลงมา

สตรีผมยาวสยาย รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ราวกับเทพธิดาจากตำหนักจันทราลงมายังโลกมนุษย์ งดงามจนมิอาจจะบรรยายได้

ร่างนั้นก็คือถูสือซานที่แปลงกายเป็นมนุษย์จริง ๆ !

และเพราะนางบำเพ็ญเพียรด้วยภาพจิ้งจอกเหินมาโดยตลอด

แม้เวลานี้ถูสือซานจะมีตบะบารมีระดับจักรพรรดิปีศาจแล้ว แต่ร่างของนางกลับมิได้มีไอปีศาจใด ๆ แผ่ออกมาทั้งสิ้น

“บรรลุได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

ราชันทมิฬกะพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยถามด้วยความเหลือเชื่อ

ถูสือซานพยักหน้า ก่อนจะยิ้มหวานออกมา “ราชันทมิฬ ท่านคงรอนานแล้ว”

ราชันทมิฬ “……”

เพราะตอนที่เขาทะลวงระดับจักรพรรดิปีศาจนั้น ใช้เวลาไปเกือบสิบกว่าชั่วยามเลยทีเดียว

และกว่าที่ตบะบารมีจะมั่นคง ยังต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วยามด้วย

ทว่าบัดนี้ถูสือซานกลับใช้เวลาเพียงมิถึงหนึ่งชั่วยาม มิเพียงแต่ทะลวงระดับได้เท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ตบะบารมีมั่นคงได้อีกด้วย

ช่างต่างกันราวฟ้ากับดินจริง ๆ !

เมื่อเห็นราชันทมิฬเงียบไป ถูสือซานจึงเอ่ยถามอย่างครุ่นคิดว่า “ราชันทมิฬ หากข้าไปหานายท่านด้วยร่างนี้ตอนนี้ เจ้าว่าเขาจะรับได้หรือไม่ ? ”

ราชันทมิฬได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติขึ้นมา พิจราณาถูสือซานที่งดงามราวกับเซียน ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา “ตอนนี้ยังมิได้หรอก”

ถูสือซานนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาตรงหน้าราชันทมิฬพร้อมเอ่ยถามว่า “หรือว่าข้ายังงามมิพองั้นหรือ ? ”

“ข้าหมายความว่า ตอนนี้ยังมิเหมาะ”

ราชันทมิฬส่ายหน้า ก่อนเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง “คำพูดวันนี้ของนายท่านเจ้าเองก็ได้ยินแล้ว เขายังต้องการหินหุนหยวน เช่นนั้นข้าวางแผนว่าหลังจากกลับไปเมืองเสี่ยวฉือแล้ว เจ้าตามข้าไปเทือกเขาแดนใต้อีกสักคราก็แล้วกัน”

ดวงตาของถูสือซานเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ราชันทมิฬ กลับไปเทือกเขาแดนใต้… ข้าจะไปที่เขาดอกท้อชิงชิวได้อีกหรือไม่ ? ”

ราชันทมิฬพยักหน้า “เวลานี้เจ้ามีตบะบารมีระดับจักรพรรดิปีศาจแล้ว ทั้งยังมีภาพจิ้งจอกเหินที่นายท่านมอบให้ติดกาย หากเข้าไปยังเทือกเขาแดนใต้ เกรงว่าแม้แต่จ้าวปีศาจก็มิอาจที่จะขวางเจ้าได้ ฉะนั้นย่อมมิมีปัญหาอยู่แล้ว”

ถูสือซานยิ้มออกมาอย่างสดใส และพยักหน้ารับรัว ๆ ให้กับราชันทมิฬ

……………………………..

สี่วันผ่านไปในชั่วพริบตา

หลังจากทดลองไปหลายครั้งหลายครา เย่ฉางชิงก็พบว่ามีแค่เพียงการใช้หินหุนหยวนเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเริ่มบำเพ็ญเพียรได้

มิฉะนั้นก็มิอาจเคลื่อนปราณวิญญาณฟ้าดิน เพื่อไปถึงเป้าหมายในการบำเพ็ญเพียรได้

เช่นนี้แล้วเขาจึงทำได้เพียงอาศัยหินหุนหยวนสี่ก้อนที่ราชันทมิฬนำกลับมาก่อนหน้านี้ ในบำเพ็ญเพียรติดต่อกันถึงสี่วัน

แต่ในระหว่างที่เขาบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น

สำหรับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองหลวงแล้ว ราวกับหายนะก็มิปาน

ปราณวิญญาณฟ้าดินเรียกได้ว่าแทบจะว่างเปล่า

แม้แต่จิตวิญญาณที่กลั่นจากของวิเศษฟ้าดินก็มลายหายไปในช่วงที่เย่ฉางชิงบำเพ็ญเพียรเช่นกัน

ช่างแปลกยิ่งนัก

แม้ว่าจะมีข่าวลือเกี่ยวกับความจริงของปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในช่วงมิกี่วันมา แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับยอดฝีมือชั้นสูง

ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายจึงทำได้เพียงขัดเคือง ทว่าก็มิกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมา

จนกระทั่งถึงวันที่ห้า ในที่สุดบรรพบุรุษแห่งราชวงค์ต้าเยี่ยนอย่างเยี่ยนเทียนซานก็นั่งมิติด จนต้องพาเยี่ยนหยางเหนียนมายังเรือนจิ่งหลันหยวน

แน่นอนว่าพวกเขาเพียงแค่มาลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น ส่วนการจะกล่อมให้เย่ฉางชิงจากไปนั้น

พวกเขากลับมิกล้าคิด และยิ่งมิกล้าพูดอีกด้วย

ณ เรือนจิ่งหลันหยวน

ภายในโถงรับแขกที่ตกแต่งเอาไว้อย่างงดงาม

หลังจากใคร่ครวญมาหลายวัน เย่ฉางชิงก็ตัดสินใจที่จะไปจากเมืองหลวงและกลับไปยังเมืองเสี่ยวฉือ

แน่นอนว่าการไปจากเมืองหลวงมิใช่เพียงเพราะหินหุนหยวน ที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรมิอาจหาได้และหาซื้อได้จากเมืองหลวงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แต่เพราะภาระชื่อเสียงของท่านเทพฉางชิงนั้นหนักหนาเกินไป

หลายวันมานี้เขาต้องคอยรักษาภาพลักษณ์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะเกรงว่าจะเผยพิรุธใด ๆ ออกมา และทำให้ประสบกับหายนะ

วันนี้ในเมื่อทุกคนในตระกูลเยี่ยนต่างก็มารวมตัวอยู่ที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตา เช่นนั้นเขาก็จะได้อาศัยโอกาสนี้ในการบอกลาและออกเดินทางเสีย

คิดได้เช่นนั้นแล้ว เย่ฉางชิงที่นั่งอยู่ตรงกลางก็กวาดตามองพวกเยี่ยนเทียนซาน พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเยี่ยน หัวหน้าตระกูลเยี่ยน ข้าตัดสินใจว่าจะไปจากเมืองหลวงวันนี้”

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
Score 7.1
Status: Ongoing Released: N/A Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียนเทพแห่งกระบี่ : หากผู้อาวุโสเย่มอบภาพอักษรพู่กันให้ข้าอีกสักภาพ พรุ่งนี้ข้าคงสามารถเปิดประตูสวรรค์ได้แล้ว …… …… เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอายิ่งนัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้มีผู้คนแวะเวียนมาหาไม่แต่ละเว้นวันเช่นนี้นะ? Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset