ตอนที่ 217 พวกเจ้ายังมิมีคุณสมบัติเพียงพอ
ทันใดนั้น หัวหน้ารวมทั้งผู้แข็งแกร่งมากมายของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ แม้กระทั่งบรรพบุรุษท่านนั้นแห่งเผ่าจิ้งจอกวิญญาณเองก็รีบเดินออกมาเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเจ้าถึงได้สะบักสะบอมกลับมาเช่นนี้ ห๊ะ ? ”
ถูซานเหยากวาดตามองปีศาจในเผ่าที่มีหน้าตาบวมปูด ท่าทางบอบช้ำ พลางถามออกมาเสียงเข้ม
ในตอนนั้นเอง
“ท่านหัวหน้า ท่านมิรู้อะไร”
บุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับมีสภาพยับเยินอย่างมากเม้มริมฝีปากก่อนจะเอ่ยว่า “ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นคราก่อน ตอนนี้ปีศาจเผ่าพยัคฆ์ดำต่างก็คอยรังแกเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของพวกเรา”
“ขณะอยู่ในเขตชิงชิวนั้นยังมิเท่าไหร่ แต่เมื่อออกไปนอกชิงชิวปีศาจของเผ่าพยัคฆ์ดำ รวมทั้งพวกปีศาจที่สนิทชิดเชื้อกับเผ่าพยัคฆ์ดำ มิเพียงตั้งใจกลั่นแกล้งเผ่าของเรา อีกทั้งหากพวกเราโต้ตอบเมื่อใดก็จะถูกพวกมันรุมทันที”
“ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาต่างริษยาใบหน้าของเผ่าเรา จึงมักจะลงมือที่ใบหน้าของพวกเรา”
ทันทีที่บุรุษหนุ่มเอ่ยจบ ปีศาจในเผ่าที่ยืนอยู่ทั้งด้านข้างและด้านหลังของเขา ต่างก็คร่ำครวญออกมาทันที
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านหัวหน้าเผ่า ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วยนะขอรับ ! ”
“ใช่ขอรับ เพื่อสืบข่าวคราวของหินหุนหยวน พวกเรามิได้หลับได้นอนกันทั้งคืน ร่อนเร่ไปยังเผ่าต่าง ๆ เพื่อสืบหาข่าว แต่สุดท้ายกลับพบกับความอัปยศต่าง ๆ นานา ! ”
“ท่านหัวหน้าเผ่า น้องสาวทั้งสองของข้ายังถูกปีศาจตนหนึ่งของเผ่าปีศาจหมาป่าเพลิงลักพาตัวไป ท่านต้องไปช่วยพวกนางด้วยนะขอรับ ! ”
“ท่านหัวหน้าเผ่า ลูกพี่ลูกน้องข้าถูกผู้แข็งแกร่งตนหนึ่งของเผ่าปีศาจงูตาทิพย์เอาตัวไปแล้ว ! ”
ขณะที่ปีศาจในเผ่าจิ้งจอกวิญญาณกำลังคร่ำครวญกันอยู่นั้น
ดวงตาราชันทมิฬก็เย็นเยียบขึ้นมาโดยพลัน ก่อนจะแยกเขี้ยวพร้อมกับก้าวเดินไปด้านหน้า
“พวกเจ้ามิได้บอกพวกมันหรอกหรือ ว่ากำลังทำงานให้ข้าอยู่ ? ”
ร่างของราชันทมิฬแผ่ไอพลังอันแข็งแกร่งออกมา ก่อนเอ่ยขึ้นพร้อมกับกวาดตามองไปยังปีศาจทุกตน
ปีศาจในเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็เงียบลงทันที
ราชันทมิฬมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเทือกเขาแดนใต้เพียงใด พวกเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
เจ้าปีศาจที่ไร้ยางอายตนนี้ ก่อนหน้านี้ยังได้บุกเข้าไปในสุสานของปีศาจเผ่าต่าง ๆ นี่คือบัญชีแค้นเลือดชัด ๆ !
หากเอ่ยชื่อราชันทมิฬออกไป เกรงว่าพวกเขาคงมิมีชีวิตรอดกลับมาได้เป็นแน่
อีกอย่างพวกเขาก็มิใช่ตัวโง่งม หากบอกผู้แข็งแกร่งของเผ่าต่าง ๆ ไป ว่าพวกเขากำลังทำงานให้กับราชันทมิฬ
นั่นมิเท่ากับว่าทำให้ปีศาจเผ่าต่าง ๆ เข้าใจว่าเผ่าจิ้งจอกวิญญาณยอมสยบให้กับปีศาจไร้ยางอายตนนี้หรอกหรือ ?
เช่นนี้แล้วอย่าว่าแต่อยู่ในเขตของเผ่าอื่น ๆ เลย เกรงว่าแม้แต่ในชิงชิวของพวกเขาเองก็มิอาจเงยหน้าได้อีก
ทว่าในตอนนั้นเองเด็กน้อยที่ยืนอยู่หลังสุด ก็ได้เอ่ยพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นขึ้นมา
“ราชันทมิฬ พี่ชายทั้งสองของข้าเอ่ยชื่อของท่านขึ้นในยามคับขัน แต่สุดท้าย… สุดท้ายกลับถูกผู้แข็งแกร่งหนุ่มตนหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ดำเอาตัวกลับไปยังเผ่าพยัคฆ์ดำด้วย”
จากนั้นเด็กน้อยก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา“ราชันทมิฬ ท่านต้องช่วยพี่ชายทั้งสองของข้านะ พวกเขาทั้งสองต่างก็เคารพเทิดทูนท่านมาตลอด”
ราชันทมิฬชะงักไปทันที
เขาคาดมิถึงว่าในเทือกเขาแดนใต้ จะมีคนที่เคารพเทิดทูนเขาเช่นนี้ด้วย
แต่สุดท้ายกลับถูกปีศาจของเผ่าพยัคฆ์ดำจับตัวไปเสียได้
นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าราชันทมิฬชัด ๆ !
วินาทีต่อมา ดวงตาของราชันทมิฬก็เย็นเยียบลงกว่าเดิม ทั้งยังแผ่ไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอีกด้วย
‘ก่อนหน้านี้ที่ราชาทั้งเจ็ดแห่งเทือกเขาแดนใต้ล้อมสังหารข้า ข้ายังมิถือโทษพวกมัน แต่คิดมิถึงว่าพวกมันกลับบังอาจถึงเพียงนี้ คิดว่าข้าโกรธมิเป็นหรือเยี่ยงไรกัน ? ’
ราชันทมิฬคิดเช่นนั้นแล้วก็หันไปกวาดตามองผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “ทุกท่าน เผ่าพยัคฆ์ดำกล้าทำเช่นนี้กับเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของพวกท่าน วันนี้เห็นแก่หน้าของสือซานน้อย ข้าจะไปขยี้เผ่าพยัคฆ์ดำแทนพวกท่านเอง ! ”
ทันใดนั้นทุกเสียงในที่นั้นก็เงียบลงทันที ผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็สบตากัน
‘ขยี้เผ่าพยัคฆ์ดำ ? ’
แม้จ้าวปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพยัคฆ์ดำท่านนั้นจะดับสูญที่จงหยวนไปแล้ว ทว่ารากฐานของเผ่าพยัคฆ์ดำนั้นยังคงแข็งแกร่งอยู่
อีกทั้งเผ่าพยัคฆ์ดำมิได้มีจ้าวปีศาจเพียงแค่เฮยฉางหลิงแต่เพียงผู้เดียว ทว่ายังมีจ้าวปีศาจที่มีพลังแข็งแกร่งเหลืออยู่อีกถึงสามตน
ส่วนราชันทมิฬถึงอย่างไรก็มีตบะบารมีเพียงจักรพรรดิปีศาจเท่านั้น
การจะขยี้เผ่าพยัคฆ์ดำช่างเป็นเรื่องที่เพ้อฝันสิ้นดี !
แต่แม้ราชันทมิฬจะมีตบะบารมีเพียงระดับจักรพรรดิปีศาจ ทว่าผู้อาวุโสเย่ที่หนุนหลังของเขานั้น เป็นถึงยอดฝีมือที่มิอาจจะคาดเดาได้
บัดนี้หากเผ่าจิ้งจอกวิญญาณมิไป ภายภาคหน้าหากราชันทมิฬมีอำนาจขึ้นมา ด้วยนิสัยของเขาจะต้องคิดแค้นเผ่าจิ้งจอกวิญญาณเป็นแน่
แต่หากเผ่าจิ้งจอกวิญญาณร่วมมือด้วย
ในช่วงเวลาสำคัญหากราชันทมิฬสู้มิไหว มีโอกาสแปดในสิบว่าเขาอาจจะหนีไปก็เป็นได้
เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเผ่าจิ้งจอกวิญญาณจะลำบากมากขึ้นหรอกหรือ ?
อีกทั้งหากเผ่าจิ้งจอกวิญญาณเผยท่าทีออกไป
นั่นหมายความว่าเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ และเผ่าพยัคฆ์ดำจะกลายเป็นศัตรูกันอย่างเต็มตัว
ถูซานเหยาคิดได้เช่นนั้น จึงเอ่ยขึ้นด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “ราชันทมิฬ ข้าว่าเรื่องนี้พวกเราต้องวางแผนกันให้ดีเสียก่อน ! ”
“ใช่ ๆ เรื่องนี้ต้องวางแผนกันให้ดีก่อน ! ”
“ราชันทมิฬ เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงหน้าตาของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเรา ปล่อยให้เผ่าจิ้งจอกวิญญาณของข้าเป็นผู้จัดการเองเถอะ ! ”
มินานเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็พูดเกลี้ยกล่อมขึ้น
ในตอนนั้นเอง ถูซื่อที่มองอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชาก็เอ่ยเสียงเข้มว่า “เรื่องในวันนี้ยังจะต้องวางแผนอะไรกันอีก หากเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเรายอมถอยไปเรื่อย ๆ มีแต่จะถูกเผ่าพยัคฆ์ดำบีบมากขึ้นเท่านั้น”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้ข้าจะไปคุยกับเผ่าพยัคฆ์ดำให้รู้เรื่อง”
“ดี ! ”
ราชันทมิฬหัวเราะออกมา “ผู้อาวุโสเป็นผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวจริง ๆ วันนี้ข้าจะไปขยี้เผ่าพยัคฆ์ดำกับท่านด้วย หากพวกตาเฒ่าแห่งราชาขุนเขาสือว่านซานกล้าสอดมือเข้ามายุ่งล่ะก็ ข้าจะบดขยี้พวกมันด้วยมือของข้าเอง ! ”
ถูซื่อยกยิ้มมุมปากขึ้น มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
มินานลำแสงมากมายที่ห่อหุ้มไว้ด้วยอำนาจอันรุนแรงก็ทะยานสู่ฟ้า ก่อนเหาะไปทางส่วนลึกของเทือกเขาแดนใต้
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยาม
ราชันทมิฬ ถูซื่อ รวมทั้งเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณก็ปรากฏตัวยังด้านบนของอาคารโบราณหลังหนึ่ง
ถูซื่อยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใด ราชันทมิฬกลับตะโกนอย่างมิเกรงใจใครว่า
“เจ้าแมวดำทั้งหลาย ออกมาหาความตายกันซะดี ๆ ! ”
เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณได้ยินเช่นนั้นมุมปากก็กระตุกทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความเอือมระอา
ราชันทมิฬผู้นี้สมคำร่ำลือจริง ๆ
แม้จะมีนิสัยโอ้อวดสามหาว แต่เมื่อพบศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็สามารถหนีโดยมิสนศักดิ์ศรีตัวเองแต่อย่างใด
แต่บัดนี้กลับต่างไป ผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างมาที่นี่กันหมด หากเขาหนีไปมิเท่ากับพวกเขาจะต้องสู้กับเผ่าพยัคฆ์ดำจนตายกันไปข้างเยี่ยงนั้นหรือ
เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณคิดแล้วก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะมองแผ่นหลังของถูซื่ออย่างขัดใจ
มิรู้ว่าวันนี้ท่านบรรพบุรุษไปโดนอะไรมา
ถึงได้มาแก้แค้นในดินแดนของเผ่าพยัคฆ์ดำกับราชันทมิฬที่ไร้ยางอายตนนี้
สิ้นเสียงได้มิกี่อึดใจ
ร่างเงามากมายก็กระโดดออกมาจากอาคารโบราณต่าง ๆ
เพียงพริบตาก็แน่นขนัดไปทั่วบริเวณ
มินานร่างที่เปล่งแสงมากมายพร้อมกับถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังชั่วร้ายอันรุนแรง และไอปีศาจอันน่าเกรงขามพลันทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกราชันทมิฬ
และผู้นำของคนกลุ่มก็คือ
คนคุ้นเคยของราชันทมิฬ
เฮยจวง !
ทว่าราชันทมิฬเพียงแค่ปรายตามองเหยจวง รวมทั้งผู้แข็งแกร่งนับร้อยของเผ่าพยัคฆ์ดำ
“พวกเจ้ายังมิมีคุณสมบัติเพียงพอ เรียกแมวดำเฒ่าอีกทั้งสามตัวของเผ่าเจ้ามาพบข้าด้วยสิ ! ”
ราชันทมิฬฉีกยิ้มตรงมุมปากออกมา พลางเอ่ยอย่างวางอำนาจ