< < 124 Sec 4 > >
“แบบนี้นี่เอง เป็นไปตามที่คาดไว้เลยนะคะ”
แองเจลิน่าพึมพำพลางจิบชาไปด้วย อัลเบิร์ดพยักหน้ารับด้วยท่าทางเกร็งๆ แม้เขาจะเป็นว่าที่ราชาคนต่อไป แต่ออร่าไม่อาจเทียบแองเจลิน่าที่ฐานะต่ำกว่าได้เลย
ถ้าที่แห่งนี้เป็นอัลเบโด้ที่มานั่ง ท่าทางของแองเจลิน่าคงจะไม่ชิลเช่นนี้แน่ เรื่องนี้แน่นอนทางผมก็ด้วย
หนิงที่นั่งถัดจากผมหยิบคุกกี้กินและฟังรายละเอียดงานประชุมโลกไปด้วย บ้างก็ขอชาจากอัลเบิร์ดโต้งๆ ไร้ซึ่งความเกรงใจ ..แต่น่าแปลกที่อัลเบิร์ดไม่ได้ว่าอะไรเลย แทนที่จะหยิ่งในศักดิ์ศรี อัลเบิร์ดกลับเป็นคนที่กลัวในตำแหน่งของตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะมีแต่ตำแหน่ง กลัวว่าตัวเองจะไร้น้ำยา ต่างๆนานาที่คิดทำให้อัลเบิร์ดกลายเป็นคนไม่ได้ความเล็กน้อย
จะบอกว่าเป็นพวกความมั่นใจในตัวเองต่ำก็ได้ ทั้งๆที่เกิดมาในจุดที่ทุกคนสรรเสริญแท้ๆ
เป็นเคสที่แปลก แต่ในโลกเก่าก็มีคนอย่างนี้อยู่เหมือนกัน ลูกชายนักฟุตบอลที่อยากเป็นนักฟุตบอลแต่พอโตได้หน่อยก็ล้มเลิกความฝัน เพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง
จุดนี้คนรอบตัวจะต้องคอยดึงออกมาจากจุดๆนั้นให้ได้ แต่กรณีของอัลเบิร์ดว่าตามตรงคงยาก มีแต่จะต้องขึ้นเป็นราชาต่อจากอัลเบโด้เพราะถูกบังคับ
เลวร้ายที่สุดอาจถึงจุดที่เป็นเพียงราชาหุ่นเชิดก็เป็นได้ ..คิดไปไกลรึเปล่านะ? อัลเบิร์ดเองก็ยังโตได้อีกมากแท้ๆ มีเวลาอีกเป็นสิบยี่สิบปีเลยกว่าจะถึงจุดนั้น
บางทีคิดมากไปก็ไม่ดีกับตัวเอง เลิกดีกว่า
ผมปรับความคิดในหัว และจดจ่อกับเรื่องของอัลเบิร์ดในทุกๆรายละเอียด
อีกสองเดือนต่อจากนี้ จะมีงานประชุมโลกขึ้น อาณาจักร จักรวรรดิ หรือเมืองที่ร่วมพันธมิตรตั้งแต่หลังจบสงครามแย่งชิงอำนาจทุกแห่งจะมาพูดคุยกันในหัวข้อหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องหายนะบนเกาะวาเรอร์ ..เรื่องเกี่ยวกับอาชญากรโลกอย่างเรน
เจ้าภาพคือ ‘ราชามังกร กิโดร่า’ ในนิยายต้นฉบับเขาคือตัวละครสำคัญ และเป็นตัวละครที่แกร่งเข้าขั้นเหนือสามัญสำนึกที่โผล่มาตนแรกในเรื่อง
ความแข็งแกร่งของกิโดร่าในนิยายต้นฉบับบรรยายไว้ได้ดีมาก รัศมีของผู้เป็นราชาเองก็มีไม่แพ้อัลเบโด้เลย เป็นชายที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความน่าเกรงขาม ..หากจำไม่ผิด เขาขึ้นเป็นราชามังกรมาตั้งแต่ยุคมังกรธาตุแล้วกระมัง? ในทีแรกไม่ได้ก่อตั้งเขตุของตัวเอง แต่หลังยุคแย่งชิงอำนาจก็เริ่มมีจักรวรรดิราชามังกรขึ้นมา และเริ่มมีอิทธิพลตั้งแต่ยุคผู้กล้าจนมาถึงปัจจุบัน อำนาจของจักรวรรดิราชามังกรก็สะสมมาจนยิ่งใหญ่ไม่แพ้สี่มหาอำนาจเลย
การที่จักรวรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นเจ้าภาพให้งานระดับโลกมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ..แต่ที่ทำให้รู้สึกน่าแปลกคือกิโดร่ามักจะไม่ยุ่งกับคนอื่นเท่าไหร่ การที่เขาเคลื่อนไหวด้วยตัวเองนี่มันหมายความว่าโลกกำลังถึงจุดที่ลำบากจริงๆแล้วสินะ?
ผมนึกถึงหน้าของเรนและจอมมารขึ้นมา
ก็ควรจะอย่างนั้น หากผลงานทั้งหมดของจอมมารโดนโยนไปให้เรน ทำให้เรนกลายเป็นตัวอันตรายที่สุด
ผมที่รู้ความจริงอยู่แล้วไม่คิดจะพูดอะไร เพราะสำหรับผม มีแต่ได้กับได้ มีคนมาช่วยลากหัวเรนออกจากรูแบบนี้มันเข้าทางผมเลยละ ..
“ด้วยเหตุนั้นจึงอยากขอความร่วมมือกับทุกคนครับ”
“ตกลง”
ไม่มีเหตุผลต้องปฎิเสธ
“ถ้าเรเซอร์เอาฉันก็เอาด้วยงั้น”
หนิงตอบแบบว่าง่าย เล่นเอาอยากสวนไปเลยว่า–อย่าพูดเหมือนไปเดินเล่นสิฟร้ะ ..ช่างเถอะ อัลเบโด้อยากได้ตัวหนิงคงอยากให้ช่วยอะไรสักอย่าง ถ้าจำเป็นจริงๆผมว่าให้หนิงช่วยหน่อยก็ดี
แองเจลิน่าเองก็แน่นอน
“ในฐานะตัวแทนของดยุคฉันต้องร่วมด้วยอยู่แล้วค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ”
“คิดว่าเป็นคำบ่นจากพี่สาวต่างสายเลือดก็ได้นะ อัลเบิร์ด”
“..ครับ?”
อัลเบิร์ดเอียงคอฉงน หนิงเห็นก็ถอนหายใจ
“ทำตัวให้มันดูแข็งแรงหน่อยสิ ทำตัวเหยาะแหยะแบบนั้นเดี่ยวก็โดนดูถูกเอาหรอก”
“..นะ นั่นสินะครับ”
แองเจลิน่าเอียงคอมองตาม และเขยิบมากระซิบข้างหูผม
“เห็นหนิงเขาวางตัวว่าเป็นพี่สาวเจ้าชายเขาด้วย ..นี่หมายความว่ายังไงจ๊ะ หรือเพราะนับถือกันในฐานะพี่ฐานะน้อง?”
“เป็นพี่สาวแท้ๆเลยครับ”
…
อะไรสักอย่าดังมากจากหนิง มันเป็นเสียงประหลาดที่คล้ายเสียงอะไรสักอย่างตก
หนิงค่อยๆหันมายิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มแสนอัมหิต
“ยังไงก็–ช่วยอธิบายให้ทีฟังด้วยนะจ๊ะ”
“นะ แน่นอน”
เรื่องของหนิง และเรื่องบุกประสาทเทล่าเทล ผมจงใจไม่เล่าให้ฟังเองแหละ ..ถึงสุดท้ายจะหนีไม่พ้นก็เถอะ
****
ภายในรถไฟที่โดยสารปกติของนักเรียน
โซเฟียได้แต่งงกับเรื่องบางเรื่องจนตัวคัน ไม่ถามไม่ขยับคงไม่ได้ เธอจึงเอ่ยถามเบลลามีเพื่อนสนิทของเธอ
“ยูจิเป็นอะไรไปเหรอ?”
เพียงคำถามสั้นๆก็ทำให้ทุกคนที่ไปเกาะวาเรอร์นั่งเงียบ ..มีแค่เคียวยะที่ทำเสียงหัวเราะขึ้นจมูก แต่จะนับว่านี่คือการออกความเห็นก็คงไม่ได้ โซเฟียจึงทำเมินเคียวยะไป
เบลลามีผู้ถูกถามค่อยๆหันไปมองโซเฟียด้วยรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเศร้า
“ความผิดตัวเราเอง”
“เอ๊ะ? จริงเหรอ? เรื่องอะไรล่ะ?”
“เบลลามีไม่ได้ผิด”
ฝั่งเคียวยะดันยืนยันอย่างอื่นแทน โซเฟียยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
“ยูจิมันแค่สติแตกไปเอง ท่าทางแต่แรกมันก็ดูไหลไปกับคนอื่นได้ง่ายด้วยไม่ใช่รึไง จะไปหลงกลคนอื่นหรือบ้าไปเองกับเรื่องสักเรื่องเข้าในสักวันก็ไม่แปลก ทั้งหมดคือปัญหาของมันก็แก้ด้วยตัวเองไป แต่อย่าได้ดึงเบลลามีเป็นคนผิดเด็ดขาด ..เข้าใจตรงกัน? เรื่องมันแค่นั้น”
“สะ เสียมารยาทจังนะไปว่าคนอื่นอย่างนั้นเนี่ย เลวจริงๆเฟ้ยแกน่ะ แล้วยูจินี่ก็เพื่อนนะปล่อยไปได้ที่ไหน”
โซเฟียด่าเคียวยะข้ามฝั่งที่นั่ง เคียวยะหัวเราะขี้นจมูกใส่อีกรอบ
“แกนี่เย็นชากับยูจิจริงนะ”
กอรี่ที่นั่งข้างๆบ่นขึ้นมา
“เย็นชา? ก็ท่าทางปกติไม่ใช่รึไง”
“แบบว่านั่นไง ถ้าเป็นแกจะต้องไปคุยกับยูจิลับหลังมาแล้วแน่ๆไรงี้ อ๊ะ จุดนี้พวกเราก็ไม่รู้นี่นะ”
“ไร้สาระ ทางนี้บอกเรื่องยูจิมันไปหมดแล้ว จบแค่นี้นะ ไม่ต้องมาชวนคุยแล้ว”
พูดจบเคียวยะก็หันหน้าหนีไปทางอื่น คนอื่นได้แต่ถอนหายใจให้เคียวยะ ยกเว้นไอริสคนเดียวผู้มองเคียวยะอย่างทะลุปุโปร่ง
“คนปากไม่ตรงกับใจ”
“หุบปากไปซะ”
“ฮิฮิ”
ไอริสหัวเราะได้ใจ—เรย์มองภาพสองคนนี้ทำกึ่งจู๋จี๋กันด้วยใบหน้าบึ้งตึง ..
“เรย์พอรู้อะไรบ้างมั้ย?”
โซเฟียหันมาถามเรย์แทน
“..เหมือนว่าเรเซอร์กับยูจิจะทะเลาะกันอยู่ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดน่ะนะ เพราะจะไปถามยูจิก็ไม่ค่อยจะว่าง เหมือนโดนหลบหน้าหน่อยๆด้วย พอเดินไปถามเรเซอร์ก็บอกแค่ว่าไม่ได้ทะเลาะกัน”
“เข้าใจยากจังเลยนะ ..เพื่อนกันแท้ๆ”
ทุกคน ยกเว้นเคียวยะและไอริสหันมามองโซเฟียด้วยใบหน้าที่สดชื่น ในช่วงหลายวันนี้ไม่ได้เห็นอะไรที่เยียวยาจิตใจมานานแล้วน่ะนะ ..
“โซเฟียช่วยอยู่เป็นประมุขของพวกเราต่อไปนะ อย่าไปมีแฟนหรือเปลี่ยนนิสัยเลยนะ”
“หา? ไม่เอาย่ะ นักเลงก็ต้องคู่กับแฟนหนุ่มโฉดๆเซ้”
เดือนก่อนหล่อนพึ่งไปหลงคนแก่เองไม่ใช่เรอะ—-ถึงตัวจริงจะเป็นเรเซอร์ก็เหอะ ความจริงนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าแย้งขึ้นมา เพราะมีแต่จะทำให้โซเฟียซ้ำใจเปล่าๆ
จากนั้นบรรยากาศจึงดำเนินกลับไปเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น
แม้ว่าจะขาดคนสำคัญในนั้นอยู่หลายคนเลยก็ตาม
****
ยูจิยืนชมวิวอยู่นอกตัวรถไฟ โดยที่มีเทียนหลงคอยเฝ้าระวัง
“..งานประชุมโลกนั้นเหรอ”
..ไม่ใช่
ยูจิไม่ได้ชมวิว แต่กำลังดักฟังอยู่ต่างหาก
บนมือของเทียนหลงส่งคลื่นเสียงที่เชื่อมต่อกับห้อง VIP มาให้ยูจิฟังตามคำสั่ง
“จากที่ได้ยินเหมือนว่าผมเองก็ถูกชวนด้วยอีกต่อหนึ่งนะครับ”
“จะร่วมด้วยหรือเปล่าคะ?”
“แน่นอนครับ ก้าวแรกของผมควรเริ่มจากไหน งานประชุมโลกนี่แหละคือคำตอบของก้าวแรก ..” ยูจิพิงที่กั้นและมองไปบนฟ้า “ตั้งแต่วันนั้นผมก็ติดต่อออร่าไม่ได้เลย สิ่งที่เขารู้ผมยังรู้ไม่หมด ออร่าบอกแค่ว่าให้ฆ่าคุณเรเซอร์ซะ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูก”
…
เทียนหลงหรี่ตามองยูจิ
“เหตุใดการฆ่าจอมมารถึงเป็นเรื่องที่ผิดหรือคะ?”
“เพราะเขาคือเพื่อนละมั้งครับ ..”
ถึงจะไว้ใจไม่ได้แล้ว แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป–ความอ่อนโยนของยูจิทำให้เรเซอร์กับยูจิยังไม่แตกหักจนถึงขั้นหันดาบเข้าหากัน อย่างมากตอนนี้ก็แค่พยายามไม่ยุ่งกันแค่นั้น
“อย่างน้อยผมก็อยากให้เขามีความสุข”
เศษเสี้ยวความทรงจำมากมายยังวนเวียนอยู่ในหัวของยูจิ ..ความรู้สึกที่ปารถนาจะให้คนสำคัญของตัวเองมีความสุขมันไม่ได้หายไปไหน
การฆ่าเรเซอร์จึงเป็นเรื่องต้องห้าม
“..ท่านยูจิ สักวันท่านจะเสียใจกับทางเลือก”
“พูดเหมือนออร่าเลยนะ”
“ค่ะ เพราะตัวตนของจอมมาร คือจุดจบของโลกใบนี้ เป็นไปได้ข้าก็อยากให้ท่านรับรู้ด้วยตัวเองได้ก่อนจะสาย”
“…นั้นเหรอ”
****
ภายในห้อง VIP
“อีกสองเดือนสินะ ถ้านั้นคุณเรเซอร์ คุณหนิง ทั้งสองมาพักที่เขตุดูแลของราชวงศ์ก่อนดีมั้ยครับ”
อัลเบิร์ดยื่นข้อเสนอมา
“ไม่ละๆ”
ผมส่ายหัวตอบ
“เช่นนั้นจะพักที่ไหนกันหรือครับ? วิทยาลัยเวทมนตร์มีกำหนดว่าจะปิดตัวยาวเพื่อเคลียร์หลายๆปัญหาก่อนด้วยนะครับ”
“ฉันมีที่เก็บตัวดีๆอยู่แล้ว ขอรับไว้แค่น้ำใจนะ”
“ที่เก็บตัวหรือครับ?”
“อ่า ..ว่าจะไปเก็บตัวที่เมืองชันไมหน่อยน่ะ”
พูดให้ถูกคือที่ ‘ป่ามหาภูต’ มากกว่า ..ไม่ได้ไปมาเสียนานจะเป็นยังไงบ้างนะ
..บันทึกของโซล่าย้อนเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง เรื่องราวของผมและเธอในฝัน มันมีเรื่องของ ‘ลีน่า’ และผมหลังเรื่องราวในนิยายต้นฉบับด้วย ดูจากรายละเอียดแล้วในฝันของโซล่าคือเรื่องเดียวกับนิยายต้นฉบับแน่นอน แม้แต่บทอัฟเตอร์สตอรี่ของผมเองก็ยังเหมือนเป๊ะๆเลย
คนรักของผมในนิยายต้นฉบับ ลีน่า ..เพราะเรื่องของโซล่าทำให้ผมนึกถึงเธอเป็นคนแรก บางทีอาจรู้อะไรบางอย่างมากยิ่งขึ้นจากเธอก็ได้–เกี่ยวกับโลกใบนี้
แน่นอนสำคัญที่สุด ..จะเป็นยังไงบ้างนะตอนนี้ ตอนเด็ก และช่วงผู้ใหญ่ ผมรู้จักเธอดี แต่มีแค่ช่วงวัยรุ่นกำลังโตเนี่ยแหละที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง
แอบสงสัยเหมือนกันแฮะ
****
“ฮึบ ฮึบ ฮึบ ฮึบ 1 2 1 2 ฮึบ!”
เด็กสาวในชุดแม่ชี วัยราวๆ 12 ปี ด้วยความที่เลือนผมถูกปิดไว้ด้วยชุดคลุมของแม่ชี ทำให้เห็นเพียงแค่ปลายผมสีเหลืองที่ยาวผ่านชุดแม่ชีลงไปเกือบๆจะลากพื้น สูงตามมาตรฐานของเด็กวัยเดียวกัน ดูเป็นเพียงแค่เด็กสาวน่ารักธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปเท่านั้น หากแต่พูดถึงจุดเด่นของเธอ ก็คงจะเป็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตลอด
ด้วยรอยยิ้มนั้นทำให้ทุกคนต่างรักและเอ็นดูเธอ แม้แต่คนในเมืองชันไมก็ด้วย
“เป็นไงบ้างจ๊ะ”
“วันนี้เองก็มาจ่ายตลาดสิน้า”
“เดี่ยววันนี้ป้าเอาแครอทไปฝากนะ”
“นี่ๆ พรุ่งนี้มาช่วยลุงหน่อยได้รึเปล่า”
ระหว่างทางเดินในเมืองชันไม ทุกคน โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่พากันล้อมเธอ และพูดคุยเรื่องของตัวเองกับเธอด้วยรอยยิ้มเหมือนดั่งที่เด็กสาวยิ้ม
แม้ว่าจะโดนล้อมไปด้วยคนมากมาย แต่เธอไม่ได้รำคาญแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้นรอยยิ้มของเธอจึงไร้ซึ่งความเสแสร้งใดๆ ไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มให้ใคร
“ขอบคุณค่า ลุงเอียง ป้าวี ป้าเดียน แล้วก็ลุงเจย์ พรุ่งนี้ด้วยหนูไปช่วยนะคะ”
ประหนึ่งว่าเธอคือพระอาทิตย์เคลื่อนที่ ในเมืองชันไมตัวตนของเธอเปรียบได้กับพระอาทิตย์
“ฝากทักทายบาทหลวงด้วยนะจ๊ะ ‘ลีน่า’”
“ค่าาา”
เธอมีชื่อว่า ‘ลีน่า’ เด็กสาวผู้เป็นภรรยาของเรเซอร์ ดราแคล์ในนิยายต้นฉบับ ตัวเธอในตอนนี้มีอายุเพียง 12 ปี เท่านั้น ซึ่งกำลังจะเข้าสู่วัยแรกแย้ม
ลีน่าโบกมือลาทุกคนโดยที่มืออีกข้างถือของเกินกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะแบกได้ชิลๆ จากนั้นก็พุ่งออกจากเมืองชันไมไปด้วยรอยยิ้ม
และตามสไตล์ดวงซวยของเธอ เธอสะดุดพื้นราวสามครั้ง แต่ก็ทรงตัวให้ไม่ล้มได้ตลอด
เมื่อลีน่าวิ่งไปไกลจนลับสายตา เหล่าป้าๆลุงๆก็รวมตัวกันพูดคุยเกี่ยวกับเธอด้วยท่าทางเป็นห่วง
“ป้าละเป็นห่วงว่าลีน่าจะโดนพวกขุนนางจับตัวไป เพราะยังไงก็หน้าตาดีด้วยสิ”
“นั่นสินะ เด็กสาวร่าเริงแบบลีน่าเป็นเป้าหมายของพวกขุนนางซวยด้วยสิ”
สำหรับยุคนี้ การที่คนๆหนึ่งจะถูกลักพาตัวไปไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะไม่มีหลักฐานการกระทำชัดเจนถึงขนาดเอาผิดได้ จึงเป็นช่องว่างให้ผู้มีอำนาจทำตามใจชอบ ..กับเด็กสาวสามัญชน แค่หิ้วไปสักคนสองคน พวกฝ่ายรักษาความปลอดภัยคงจะปล่อยๆไป
ลีน่ายิ่งเด่นอยู่ด้วย ไม่แปลกที่ทุกคนจะเป็นห่วง
แต่ว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าเรื่องนั้น”
คุณลุงที่เป็นหัวโจกกอดอกโพล่งขึ้น
“โบสถ์ของบาทหลวงอยู่ในความดูแลโดยตรงของตระกูลดราแคล์นี่”
“เอ๊ะ จริงเหรอเนี่ย ไม่เห็นรู้เลย”
“เออสิ ก็ทางนั้นไม่อยากประกาศมาโต้งๆ ฉันก็แอบได้ยินมาอีกทีเหมือนกันนะว่า ..หนูลีน่าของพวกเรากำลังกิ๊กกับลูกชายของตระกูลดราแคล์แหละ”
“ ” ” ” “เอ๋!!!!?” ” ” ” ”
ทุกคนพากันผสานเสียงร้อง
“ไม่ได้โดนบังคับใช่มั้ย!?”
“ถ้าอีกฝ่ายเป็นตระกูลดราแคล์นี่ ..ตะ แต่ว่า ตระกูลดราแคล์ไม่มีข่าวลือเสียๆหายๆเลยนะ”
“ยกเว้นเรื่องของลูกชายคนนั้นน่ะนะ ..แต่เอาเถอะ ทางนี้ก็ไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ด้วยก็หวังว่าทางนั้นจะไม่ได้บังคับลีน่าของพวกเราอ่ะนะ ..ที่จะพูดคือไม่มีใครบ้าพอมายุ่งกับตระกูลดราแคล์หรอก วางใจได้ๆ”
วางใจได้ที่ไหน—-ทุกคนคิดเช่นนั้นพร้อมเพรียงกัน มีแค่ตาลุงหัวโจกเท่านั้นที่คิดไปคนละทาง
ส่วนทางด้านลีน่านั้น …
“หือ ฮือ หือ หา หือ”
กำลังร้องเพลงแบบไม่ได้ทำนองด้วยอารมณ์ดี
อนึ่งเธอร้องเพลงได้ห่วยแตก
“วันนี้ทำอะไรกินดีนะ”
กำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดั่งที่เรเซอร์ต้องการ