< < 129 Sec2 > >
“อึก ..อา”
“ทำใจดีๆไว้นะคะ ท่านยูจิ!!”
เสียงร้องของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นแปลกๆที่ไม่น่าดมเสียเท่าไหร่
“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย เอเธอร์”
“ปล่อยไว้แบบนี้ยูจิได้ตายแน่ๆ”
นั่นสินะ ..
“ไม่ตายหรอกครับ ยังไงก็เป็นถึงเทพกลับมาเกิดใหม่”
นั่นสินะ แต่ให้อ้วกแตกจนตายแล้วเกิดใหม่นี่ไม่ไหวนะ
“สรุปแล้วจะถึงยัง”
“เย็นชาจังเลยนะครับ ..” เอเธอร์มองออกไปข้างนอกจากหน้าต่าง และหันมายิ้มให้
“เหมือนว่าจะถึงแล้วครับ”
****
รถม้าเพลิงเทียบกับทางพื้นของจักรวรรดิราชามังกร ..พวกผมพากันออกจากรถม้าด้วยความรวดเร็ว และทันทีที่ออกมาแสงจากพระอาทิตย์ก็พุ่งอัดสายตา
ผมใช้มือปิดตาของตัวเองพักหนึ่งก่อนจะนำมันออกเพื่อชมทิวทัศน์รอบๆ
เมืองทรงจีนสีขาว ใช่ จักรวรรดิราชามังกรนั้นมีความใกล้เคียงกับเมืองจีนโบราณที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางงานศิลปะ เพียงแต่สีจะถูกเปลี่ยนจากโทนแดงเป็นโทนขาวแทน ถึงกระนั้นก็ยังมีความสวยงามกลิ่นอายเหมือนกัน
บนจุดที่ยืนอยู่เป็นถนนที่มีรั้วไม้กั้นเอาไว้ตามล็อตๆ ซึ่งพื้นที่มีขนาดใหญ่ราว 10×10 ซึ่งใหญ่กว่าขนาดของรถม้ามากโข
“ทำใจดีๆไว้นะคะ”
“..ไม่เป็นไรแล้ว”
เทียนหลงกับยูจิลงจากรถม้าอย่างสะบัดสะบอม เทียนหลงมีหน้าที่ให้ยูจิยืมหลัง–หนิงที่ยืนอยู่ห่างๆมองแรงนิดหน่อย
ท่าทางจะหึง ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเจ้าของแท้ๆ ..ก็อยากคิดแบบนั้นอยู่หรอก แต่ไม่ใช่แค่หนิงที่ลำไยเทียนหลงเท่านั้น ผมเองก็ด้วย
“ลำบากแย่เลยนะครับ เป็นการเดินทางที่ดีมากเลยครับ”
“ไอประโยคลำบากแย่กับเป็นการเดินทางที่ดีไม่น่ารวมกันได้นะ”
“การเดินทางจะสนุกเมื่อเจออุปสรรคครับ เคยมีคนเคยตรัสไว้เช่นนั้น”
อย่าไปเชื่อคนๆนั้นมากจะดีกว่านะ อยากพูดแบบนี้ใส่ชะมัด ..แต่เอาเถอะ ความเห็นใครความเห็นมัน
“งานประชุมจะเริ่มในอีกสามวัน ก่อนหน้านั้นต้อง”
“ไปพบกับราชาอัลเบโด้ก่อนครับ ..แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ราชาอัลเบโด้ยังไม่ว่าง จึงจำเป็นต้องไปเก็บของไว้ที่พักและใช้เวลาที่เหลืออยู่รอเวลาพบกับราชาอัลเบโด้ครับ”
แบบนี้นี่เอง
พร้อมกันนั้นก็มีชายร่างใหญ่ที่สวมชุดข้าราชการโบราณเข้ามาราวๆห้าคน
จากที่เอเธอร์บอกพวกเราน่าจะพักอยู่ที่ที่ทางจักรวรรดิราชามังกรจัดไว้ให้ แน่นอนถ้าไม่ไว้ใจจะไปพักที่สถานถูตของอาณาจักรฟัฟนิร์ก็ได้
“ยินดีที่ได้พบขอรับ ทุกท่านจากอาณาจักรฟัฟนิร์ พวกเรามีหน้าที่ช่วยแบกสัมภาระและพาไปที่พักขอรับ” ทุกคนโค้งศรีษะให้ “โปรดวางใจให้พวกเราจัดการครับ”
“รบกวนด้วย”
“ด้วยความยินดีครับ”
กล่าวจบทุกคนก็เร่งทำงานแบกสัมภาระอย่างชำนาญจนแอบแปลกใจเลยว่าการแบกของมันจำเป็นต้องมีความสวยงามด้วยเหรอเนี่ย มองได้ไม่มีเบื่อเลย
“จังหวะการยกการดึง การหามไปนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ”
“นั่นสินะครับ แม้แต่อาณาจักรมหาอำนาจก็ยากที่จะเทียบเคียงทักษะเหล่านี้ของผู้คนในจักรวรรดิราชามังกร ..ที่นี่ให้ความสำคัญกับงานบริการมากเลยนะครับ ต่างกับที่อื่น”
เป็นที่ที่ดีไปอีกแบบ ผมคิดอย่างนั้นนะ
จากนั้นพวกผมก็เดินตามพนักงานไปยังที่พัก ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มี 4 ห้องนอนแยกออกมา ..ขาดหนึ่งห้องแฮะ
พี่ๆพนักงานก็ดูออกเลยส่งสีหน้าลำบากใจมา
“คือว่า ทางเราอาจจะทำรายการผิด”
“ไม่ผิดหรอกครับ” เอเธอร์ชี้ไปทางเทียนหลง “คนๆนั้นคือสัตว์เลี้ยงครับ”
…
…
“เอ่อ..ขะ เข้าใจแล้วครับ จะลงข้อมูลไว้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงนะครับ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เป็นสัตว์เลี้ยงที่ดูราคาแพงชะมัด”
นั่นสินะ เทียนหลงนี่สวยไม่แพ้หนิงเลย จะติดแค่ท่าทางไม่เป็นมิตรนี่แหละ–แต่ ยังไงๆภายนอกก็เป็นถึงมังกรสวรรค์ ต่อให้ภายในจะย่ำแย่ถึงขนาดน่าไล่ยัยนี่ไปให้พ้นๆสายตาเลยก็เหอะ
เทียนหลงส่งสายตาอาฆาตใส่พนักงานที่เรียกเธอว่าสัตว์เลี้ยง แทนที่จะหาเรื่องเอเธอร์
“ขะ ขออภัยด้วยครับ!!”
“เจ้าบ้าพูดอะไรออกมาเนี่ย!”
พนักงานที่ปากเสียโดนทุบหัวหนึ่งทีและโดนอุ้มออกจากห้องพักทันที
“ชะ เช่นนั้นพักผ่อนกันตามสบายนะครับ ตัวห้องสามารถเก็บเสียงได้ดีและกันแรงกระแทกได้มากด้วยขอรับ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนะครับ ขอตัว”
พนักงานคนสุดท้ายเดินเร็วตามที่เหลือไปพร้อมกับปิดประตูให้อย่างนุ่มนวลด้วย ..
ในห้องเงียบไปสักพัก
“โดนเรียกว่าสัตว์เลี้ยงหล่อนไม่โกรธเลยเรอะ”
ด้วยความสงสัยผมจึงเอ่ยถาม
“สัตว์เลี้ยงคือข้ารับใช้ที่ได้รับการเอ็นดูเป็นพิเศษไม่ใช่รึสำหรับยุคนี้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีปัญหาที่จะเรียก คำเรียกดูดีกว่าข้ารับใช้เยอะ แทนที่จะสงสัยและรังเกียจนามนั้น ข้าควรภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ได้รับความเอ็นดูจากนายเหนือหัว” เทียนหลงหัวเราะขึ้นจมูก “แน่นอนถ้าพวกมนุษย์ชั้นต่ำกล้าเอ่ยนามของข้าหรือสถานะของข้า ข้าย่อมโกรธเป็นธรรมดา–เช่นการที่จอมมารชั้นต่ำอย่างเจ้าบังอาจมาชวนข้าสนทนาด้วยโดยไร้ซึ่งความจำเป็น”
เอาอีกแล้ว ยัยนี่วอนหาเรื่องอีกแล้ว–ผมชี้ไปทางเอเธอร์
“แล้วมนุษย์ที่ยืนหัวโด่คนนั้นละ?”
“…”
เทียนหลงเงียบใส่ ไม่คิดจะตอบคำถามผม เอเธอร์เอียงคอฉงนเช่นเดียวกับผม
“เป็นปฏิกิริยาที่น่าสนใจจริงๆนะครับ แต่ผมไม่คิดจะพูดคุยกับสัตว์เลี้ยงจึงน่าเสียดายที่ไม่อาจชักถามความเห็นของคุณสัตว์เลี้ยงได้”
..
เทียนหลงไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว เธอทำเพียงหลับตาเงียบ
ผมเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเอเธอร์
“นายดูกัดเทียนหลงแรงจังนะ ไม่ชอบหน้าเหรอ”
“ผมไม่ชอบหน้าพวกที่มาดูถูกจอมมารน่ะครับ ..ไม่คิดว่าผู้แข็งแกร่งควรได้รับคำสรรเสริญมากกว่าคำดูถูกเหรอครับ?”
แบบนี้นี่เอง ตรรกะของเอเธอร์น่าปวดกบาลชะมัด แบบนี้ต่อให้เลวยังไงก็ได้สินะ
“แล้วก็คนที่เธอกำลังดูถูกเป็นน้องชายของเพื่อนผมด้วยสิครับ–ปล่อยให้โดนดูถูกเปล่าๆไม่ไหวหรอกครับ”
..หมายถึงแองเจลิน่าสินะ
“ถ้าผมปล่อยไปมีหวังโดนเธอบ่นในอนาคตอันใกล้แน่นอนครับ”
..ดูสนิทกันจังเลยนะ
ผมยิ้มให้เอเธอร์อย่างเป็นกันเอง เอเธอร์เห็นก็ยิ้มตอบกลับ
“เอเธอร์..หวังว่าจะไม่ได้คิดอะไรแปลกๆกับแองเจลิน่านะ”
..
“อะไรแปลกๆที่ว่านี่คืออะไรหรือครับ? ไม่มีหรอกครับ ต่อให้มีก็คงไม่คุ้มที่จะเสี่ยงมีเรื่องกับเรเซอร์สักเท่าไหร่ วางใจได้ครับ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องส่งจิตสังหารขนาดนั้นก็ได้ครับ”
พูดอวยเกินจริงอีกแล้ว…อีกอย่าง แล้วผมจะข่มอีกฝ่ายทำไมหว่า ถ้าดันดีๆแองเจลิน่าอาจจะไม่ได้ขึ้นคานแท้ๆ
นี่เรียกว่าความหึงพี่สาวได้รึเปล่านะ? อ่า ผมนี่นิสัยเสียจริงๆ ทางแองเจลิน่าอยากให้ผมมีความสุขถึงขนาดช่วยดันและช่วยคัดนิสัยให้ทางผมแท้ๆ แต่ผมกลับ–ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แฮะ
“คิดดีแล้วๆ จะจีบก็เอาได้นะ แต่ช่วยปรับปรุงนิสัยเสียหลายๆอย่างก่อนด้วย เป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเสียก่อนจะคิดจีบแองเจลิน่าซะ”
“เป็นการพัฒนาที่ยอดเยี่ยมมากครับ ผมขอชื่นชม”
เหมือนโดนประชดยังไงไม่รู้แต่ช่างมัน
ผมถอนหายใจเฮือกโต พอหันกลับไปก็เห็นหนิงที่แต่งตัวจัดเต็มในชุดวันพีซสีขาวและหมวกฟางกับกระเป๋าสะพาย–หล่อนหายใจแรงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
สภาพพร้อมเที่ยวสุดๆ ..
“เขาว่าที่จักรวรรดิราชามังกรเนื้อผ้าสวยสุดๆเลยแหละ เรเซอร์ น่าสนใจดีใช่มะ!?” หนิงผุดยิ้มรูปแมว “ยังเหลือเวลาอยู่ไม่ใช่เหรอ? เหลือเวลาอีกเยอะเลยนี่ ใช่มะๆ ถ้ามีเวลาอยู่ก็อย่ารอให้เสียเปล่าเลยเนอะ ว่างั้นมั้ย”
“ครับ ครับ นั่นสินะ เอเธอร์เอาไง”
“ผมตัดสินใจว่าจะติดตามเรเซอร์ไปตลอดชีวิตแล้วครับ”
สตอกเกอร์เรอะ!? ขอทีเถอะ โดนหมอนี่ตามติดเนี่ยอย่างหลอน ถ้าจู่ๆอีกฝ่ายคิดจะหักคอผมขึ้นมาทำไง? แบบจู่ๆก็หมดความสนใจเลยฆ่าปิดปากมันดีกว่าไรงี้ ไอ้ผมจะเอาอะไรไปไฟว้ด้วยฟร้ะ–ดาบสะบั้นมิติเรอะ อ่า ถ้าฟันโดนก็ดีหรอก อีกฝ่ายไม่ได้โง่ด้วยดิ
ผมกอดไหล่หรี่ตามองเอเธอร์–ซึ่งหมอนั่นยิ้มให้
“ผมไม่น่าไว้ใจขนดานั้นเลยหรือครับ”
เป็นคำถามที่แสนเรียบง่ายแต่ก็ชวนให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ ..ยังจำเป็นต้องวางท่าไม่ไว้ใจเอเธอร์อีกเหรอ? เรื่องนั้นมันก็ ..นั่นสินะ
เอเธอร์เองก็ช่วยผมเยอะด้วยสิ ไม่เคยทิ้งเลยสักครั้ง ..ถึงจะเป็นเพราะอีกฝ่ายแกร่งระดับที่ทางพวกผมล่อตีนให้ยังไงตัวเองก็ไม่ตายก็เหอะ
ผมกับเอเธอร์จ้องตากัน ..แววตาของเขาช่างว่างเปล่า
แม้ทั้งหมดที่คิดไว้มันจะคู่ควรแก่การไว้ใจเอเธอร์ แต่ว่าแล้วเชียว ยังไงก็จะไว้ใจเอเธอร์ไม่ได้เด็ดขาด–คิดแบบนี้ก็กระไรอยู่ แต่เอเธอร์น่ะว่างเปล่า ..จนแอบกลัวเล็กน้อย ดูเป็นคนที่ถ้าเจออะไรบางอย่างเข้าจะไหลตามกับมันเอาง่ายๆเลย
ในจังหวะนั้นประตูห้องของยูจิก็เปิดออก ยูจิออกมาในชุดสบายตัวจืดๆพร้อมกับเทียนหลงในชุดสูทเช่นเดียวกับเอเธอร์
ผมกับหนิงจ้องยูจิแบบไม่กระพริบตา
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“คือเทียนหลง”
“เพราะไม่มีห้องสำหรับเทียนหลง ผมเลยจะให้เธออยู่ห้องผมแทนครับ”
“มะ ไม่ได้นะ! แบบนั้นมันแปลกนะ ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ห้องเดียวกันเนี่ย!!? อย่างแปก!!”
มาอีกแล้วภาษาวัยสะรุ่น!!
มีหรือที่หนิงจะยอม ถึงกระนั้นยูจิก็ได้แต่หรี่ตาแบบหน่ายใจ
“ถ้าผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ”
“ระ เรื่องนั้นน่ะนะ ..เอ่อ..ก็ผู้ชายห้ามใจตัวเองยากใช่มั้ย ความอดทนต่ำนี่”
ขอโทษผู้ชายทั้งโลกซะที่ต้องถูกคนอย่างหล่อนหาว่าความอดทนต่ำ อย่างหล่อนนี่ละตัวดีเลย ถ้าอยู่ห้องเดียวกับยูจิ ยูจิได้โดนเล่นงานแน่ๆในความหมายต่ำทราม
ถึงกระนั้นยูจิก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไร ..
“จะถูกกินเอานะ!”
“ผมไม่กินเทียนหลงหรอกครับ ไม่มีปัญหา”
กล่าวจบยูจิก็ช่างทุกอย่างและเดินออกจากห้องทันทีโดยมีเทียนหลงตามไปด้วย
“ดะ เดี่ยวสิ!”
หนิงวิ่งตามยูจิไปด้วย แต่ก่อนหน้าจะตามไป
“เรเซอร์ นายเองก็อย่านอกใจพวกเบลลามีนะ!”
“ขอเตะปากหล่อนสักทีก่อนไปได้ปะ?”
หนิงไม่รอให้เสียค่าโง่ เธอวิ่งตามยูจิไปทันที
“..โดนทิ้งอย่างน่าเศร้าเลยนะครับ”
“โดนทิ้ง? ไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลยนะ”
ผมมองส่งทั้งสามจากข้างบน
“ฉันเชียร์ให้หนิงเข้าหายูจิเยอะๆด้วยซ้ำ ..เพราะยูจิมีอคติกับฉันน่ะนะในตอนนี้ พยายามยังไงก็ไม่มีทางคุยกับยูจิดีๆได้ แต่กับหนิงคงไม่ใช่”
อย่างมากก็แค่หลบหน้าด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวกับความไว้เนื้อเชื่อใจหรือการวางท่าทีเป็นศัตรู ..ถ้าทางผมฝืนเข้าหามากไปในเวลานี้ สักวันอาจโดดนีถูกยูจิมองเป็นศัตรูก็เป็นได้
แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ห้ามให้เกิดขึ้นเด็ดขาด–คนที่ไม่ควรเป็นศัตรูด้วยที่สุดก็คือยูจินั่นแหละ
“ยังไงก็เถอะ เหลือกันแค่สองคนแล้วนะครับ”
“ไปแวะคาเฟ่ห์ดีๆกันสักที่เถอะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนายเยอะเลย ..ในช่วงสองเดือนนี้เกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง และฝั่งนายเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“เข้าใจแล้วครับ ไปกันเถอะ”
****
“นี่รอเดี่ยวสิ!!”
หนิงเดินด้วยความเร็วสูงตามยูจิมา ความเร็วในการเดินของเธอมันมากกว่ายูจิวิ่งสุดแรงเสียอีก ต่อให้ยูจิพยายามวิ่งหรือเดินให้ไวยังไงก็ไม่มีทางพ้นจากมหามังกรไปได้ เขาจึงหยุดวิ่งและหันหน้าเข้าหาหนิงแทนที่จะหนี
“มีอะไรเหรอครับ”
“ช่วยอธิบายก่อนสิ ..ไม่สิ”
เรื่องเทียนหลงไม่ได้สำคัญอะไรเลย ..ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
หนิงกุมหน้าอกตัวเอง รวบรวมความกล้าพูดออกไป
“ถึงจะพูดช้าไปหน่อยก็เถอะแต่ ..เป็นอะไรไปเหรอยูจิ พักนี้แปลกไปนะ”
เพราะสถานการณ์เหมาะเจาะด้วยทำให้เธอพูดออกไปได้
“แปลกไปเหรอครับ?”
เธอดีใจโล่งอกที่ยูจิตอบกลับด้วยท่าทางปกติ
“ใช่สิ! ทำไมต้องหลบหน้าด้วยละ!?”
“…”
“เจอปัญหาอะไรรึเปล่า ถ้ามีอะไรก็บอกได้นะ ฉันแล้วก็เรเซอร์พร้อมช่วยเสมอเลย” หนิงทุบอกตัวเองเรียกความมั่นใจ “ไว้ใจพวกเราได้นะ”
“…”
“ไม่ว่าเรื่องอะไรขอแค่มาบอก จะช่วยหาทางให้เอ—”
“ช่วยอย่าเข้าใจผิดด้วยครับ”
..เอ๊ะ?
หนิงเบิกตาโพงกว้าง เพราะเธอไม่เคยเห็นยูจิที่ดูโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย แถมต้นเหตุก็ยังมาจากเธออีกด้วย
ยูจิมองหนิงด้วยสายตาที่แสนเย็นชา ด้วยสายตานั้นทำให้ใบหน้าของหนิงเปื้อนไปด้วยความกลัวและเสียใจ ..
“ปะ ..เป็นอะไรไป”
“อย่าให้ผมขอความช่วยเหลือเหรอครับ เจอปัญหาเหรอครับ ผิดแล้วครับ ผมแค่รับผิดชอบปัญหาที่ผมต้องรับผิดชอบก็เท่านั้นครับ ..พวกคุณน่ะอยู่เฉยๆก็พอครับ ทั้งหมดให้ผมจัดการเอง”
“..ให้ยูจิรับผิดชอบทุกอย่างไม่ได้หรอก”
หนิงเม้มปากเข้าหากัน และโพล่งขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นจะมีพวกฉันไว้ทำไมล่ะ ..พลังมหามังกรในตัวฉันจะมีไว้ทำไม ..เรเซอร์ต้องพยายามขนาดนั้นเพื่ออะไร”
“ผมไม่ได้ต้องการคุณครับ ..ไม่ได้ต้องการคุณเรเซอร์ด้วย”
…
“แค่นั้นเลย”