< < 132 Sec1 > >
วันที่ 27 เดือน ## ยุคปัจจุบัน ปี #####
งานประชุมโลกได้จัดขึ้นอีกครั้งในรอบสิบปี เมื่อคราวที่สองอาณาจักรมหาอำนาจอย่างฟัฟนิร์และเนลยอนได้ตกลงทำพันธสัญญาสงบศึกกัน นับตั้งแต่นั้นโลกก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ใหญ่อะไรอีกเลย จนกระทั่งผ่านมาเป็นเวลาสิบปี
อาชญากรรมของโลกตหนึ่งกำลังจะกลายเป็นภัยพิบัติที่ทั้งโลกจะต้องกำจัด—อันตรายระดับ ‘ภัยพิบัติ’ ที่เกิดขึ้นล่าสุดตั้งแต่ยุคมหามังกร อย่างการที่สี่มหามังกรออกอาละวาดไปทั่วทั้งโลก
กล่าวคืออาชญากรของโลกคนนั้นมีความอันตรายทัดเทียมกับสี่มหามังกรทั้งสี่ก็ว่าได้
ทุกอาณาจักร ทุกๆประเทศต่างเชื่อเช่นนั้น
ที่แห่งแรกที่ตื่นตัวกับเรื่องของเรนก็คือ ‘จักรวรรดิราชามังกร’ ที่ถูกปกครองโดย ‘ราชันย์มังกร กิโดร่า’ มังกรเพียงไม่กี่ตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าเหล่ามหามังกรทั้งสี่ และราชาหนึ่งเดียวของจักรวรรดิตลอดสองพันปีที่ผ่านมา
หลังจากที่กิโดร่าได้เริ่ม เหล่าอาณาจักรเล็กๆก็พากันเห็นด้วย จนสุดท้ายสี่มหาอำนาจก็ต้องมาร่วมประชุมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะพันธสัญญาที่เคยตกลงกันไว้–หากมีอาณาจักรที่อยู่ในเครือเห็นด้วยเกินกว่าเจ็ดในสิบ งานประชุมโลกก็จะถูกจัดขึ้น และทุกๆที่จะต้องเข้าร่วม
ด้วยเหตุนี้เอง—ตัวผม ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ก็ต้องเข้าร่วมด้วย
ขณะนี้ผม ยูจิ และหนิงกำลังยืนอยู่ในแท่นประหลาดที่มีลูกแก้วหลากสีรายล้อม
นักเวทย์ของจักรวรรดิราชามังกรกว่าสามสิบคนได้ร่ายเวทย์บทใหญ่ และเมื่อร่ายจบ
พวกผมก็ถูกส่งมาที่งานประชุมโลก
ขึ้นชื่อว่างานประชุมโลก มันย่อมถูกจัดอย่างระมัดระวังเป็นธรรมดา มีแค่บุคคลภายในเท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้ นั่นละคือกฏ
ความรู้สึกแรกที่เห็น คือ–งานประชุมโลกนี่อลังการณ์สุดๆ
ทางเดินใช้วัสดุอย่างดี อีกทั้งยังได้รับการตกแต่งราวกับเป็นงานศิลปะโบราณโรมัน ..ตัวงานประชุมถูกคลุมด้วยโดมขนาดยักษ์ และมีทางเดินที่ดูออกได้ง่าย มีสถานที่สำหรับพักผ่อนอยู่ด้วย และตรงจุดกลางของที่ประชุมนั้นก็แอบคล้ายกับโคลอสเซียมเล็กน้อย เพียงแค่บริเวณกลางของโคลอสเซียมไม่ได้มีไว้ให้สู้ แต่มีไว้ให้เจ้าภาพออกมาพูดหัวข้อของงานประชุม ด้วยเหตุนั้นเลยมีจอยักษ์ที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีเวทมนตร์เพื่อให้ทุกคนเข้าใจทุกอย่างตรงกัน
“ว่าแต่สุดยอดเลยนะ เล่นสร้างของขนาดนี้ได้ในสองเดือนเนี่ย”
จักรวรรดิราชามังกรไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าภาพงานประชุมโลก จึงไม่ได้ก่อสร้างสถานที่สำหรับประชุมรวมไว้เลย แต่ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ จู่ๆก็ตื่นตัวอาสาเป็นเจ้าภาพและสร้างสถานที่สำหรับงานประชุมยักษ์ได้ภายในสองเดือน
แค่นั้นไม่พอ ยังทำออกมาได้ยอดเยี่ยมอีก
ผมมองอย่างชื่นชม ระหว่างนั้นก็ชำเลืองมองท่าทางของอีกสองคน
“…”
“สุดยอดเลยเนอะ ว่าไงดี ..รสนิยมแก่ชะมัด”
เอาเป็นว่าอย่าสนใจความเห็นของใครบางคนเลย
“ก่อนอื่นจะมีอัศวินสามคนจับคู่กับพวกเราแล้วคอยแนะนำหน้าที่ให้ ..อ๊ะ”
“ไม่เจอกันนานนะจ๊ะ”
คนที่คุ้นเคยเดินมาทักทายผมเป็นคนแรก แทนที่จะเป็นอัศวินที่อัลเบโด้วานไว้ให้ช่วยดูแลผม
“เป็นไงบ้างล่ะ น้องรัก”
คนที่มาทักผมคือ ‘แองเจลิน่า’ พี่สาวของผมเอง วันนี้แต่งตัวได้สุดจัดเลย และข้างๆเธอก็มีเซบาสเตียนในชุดหัวหน้าพ่อบ้านตามเดิมอยู่ด้วย
“ได้ข่าวจากเอเธอร์น่ะว่าจะมาทางนี้ พี่เลยมารอต้อนรับเพราะอยากเห็นหน้าน้องน่ะนะ”
“..นี่เป็นอะไรกับเอเธอร์รึเปล่าเนี่ย ถามจริง”
“เป็นอะไร? ไม่นี่”
เชื่อได้เรอะ
“ไม่ได้พบกันนานนะขอรับ”
เซบาสเตียนโค้งศรีษะให้ผม
“อ่า ..ว่าแต่ยังไม่พบวิธีรักษาแขนอีกเหรอ”
“คาดว่าเป็นไปได้ยากครับ”
เมื่อตอนงานเทศกาลโลหิตมังกร เซบาสเตียนได้เข้าต่อสู้กับอลิซาเบธ ถึงจะไม่ได้ตายแต่ก็พลาดท่าเสียแขนไปหนึ่งข้าง และจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีวิธีนับแขนของเซบาสเตียนกลับมาเลย
ทั้งๆที่หากใช้รูปแบบพลังพิสดารบนโลกนี้หน่อยก็ควรจะรักษาได้แล้วแท้ๆ ทั้งหมดเป็นเพราะเคียว ‘บาคุนาว่า(เทพแห่งการสูญสิ้น)’ ที่อลิซาเบธเป็นผู้ถือครองนั่นแหละนะ
ถ้าอยากจะฟื้นฟูแขนกลับมา จำเป็นจะต้องจัดการอลิซาเบธก่อน
“ช่างเถอะ เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ก็พอใจแล้ว”
“อย่าพูดเป็นลางสิ ..เอาเถอะ เห็นหน้าเรเซอร์พี่ก็ชื่นใจละ เดี่ยวพี่ขอตัวไปคุยธุระกับเอเธอร์เขาก่อนนะ”
“..มีอะไรให้ช่วยบอกได้นะ”
“ไม่เป็นไรจ้า ผ่อนคลายเต็มที่เลยนะจ๊ะ”
แองเจลิน่าโบกมือให้ผมและเดินไปหาเอเธอร์ตามที่เธอบอก แน่นอนเธอไม่มีอะไรแอบแฝงผมเลย แค่คุยกับเอเธอร์อย่างบริสุทธิ์ใจ เอเธอร์เองก็ด้วย ผมไม่เชื่อว่าหมอนั่นมีสัญชาตญาณผู้ชายอยู่ แต่ว่าก็อดรู้สึกลำไยไม่ได้เลยแฮะ
เย็นไว้ เรเซอร์ ดราแคล์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการส่งแองเจลิน่าไปสู่ปลายทางความสุข อย่างการได้มีสามีในฝันเป็นตัวเป็นตน ในฐานะน้องชายที่ได้รับหลายสิ่งหลายอย่างจากเธอ ผมควรสนับสนุนเต็มที่
ตามนั้น ตอนรู้สึกลำไยผมจะคิดอย่างนี้กับตัวเองเพื่อเก็บอากาศไว้ตลอด ผมรู้ตัวเองดี
หลังจากแองเจลิน่าเดินไปแล้ว หนิงก็เดินมาแทงศอกใส่ผม
“แหนะๆ พ่อซิสค่อน อาการออกใหญ่เลยน้า”
“ถ้าพูดไม่เข้าหู แกโดนฉันสั่งสอนแน่”
“…”
หนิงรูดซิปปาก ไม่คิดตอบโต้อะไร เห็นแล้วก็ชื่นใจ ส่วนยูจิก็ไม่คิดจะคุยไม่คิดจะแซวอะไรอยู่แล้ว
ในสถานการณ์ที่ผมพร้อมเก็บหนิงทุกเมื่อนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดอะไร จนกระทั่งมีอัศวินราวสามคนเดินมาทางผม ทั้งสามแต่งตัวเต็มยศและมีใบหน้าที่งดงาม จนแอบสงสัยเลยว่าอัศวินนอกจากฝีมือและมารยาทแล้วยังต้องมีเรื่องหน้าตาเกี่ยวด้วยรึเปล่านะ?
อย่างไรก็ช่าง
“ยินดีที่ได้รู้จักพวกท่านทั้งสามครับ พวกกระผมอัศวินที่ท่านราชาอัลเบโด้ได้หมอบหมายให้มาช่วยแนะนำการทำงาน”
อัศวินทั้งสามแนะนำตัวให้ฟัง สองคนเป็นผู้หญิงและคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าเป็นผู้ชาย
คนแรก ‘ซูลิ’ เป็นอัศวินรูปหล่อจากตระกูลอัศวินชั้นยอด
คนสอง ‘จินนี่’ อัศวินสาวสวยจากตระกูลอัศวินชั้นล่าง แต่เพราะพรสวรรค์ที่เธอมีทำให้ไต่ระดับมาอยู่ในระดับสูบได้
คนสาม ‘รินเทีย’ อัศวินวัยรุ่นหญิงจากตระกูลอัศวินชั้นยอดที่เด่นด้านการใช้ดาบเป็นพิเศษ แต่เจ้าหล่อนดันใช้หอกเป็นอาวุธซะอย่างนั้น
อืม ไม่มีปัญหา แต่…รู้สึกว่า..อ่า รินเทีย? ใช่ๆ รินเทีย รู้สึกว่าหล่อนจะมองมาทางผมด้วยสายตาแปลกๆแฮะ
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ ท่านเรเซอร์”
เธอกล่าวเช่นนั้น
ไม่ได้พบกันนาน ต้องบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักสิถึงจะถูก
“จำดิฉันได้หรือเปล่าคะ?”
“..ไม่ได้พบกันนานนะครับ อ่า ตั้งแต่เมื่อสมัยเด็กเลยนะ”
“ตั้งแต่สมัยเด็ก?”
อ่าว ไม่ใช่หรอกเหรอ คิดว่าตัวผมตอนเด็กถึงจะเป็นพวกเก็บตัว แต่ก็มีออกงานเยอะกว่าตัวผมในปัจจุบันมากเลยนะ ..ถ้าไม่ใช่ตอนเด็กแล้วจะเป็นตอนไหนหว่า
ผมตั้งใจวิเคราะห์รินเทียดีๆ และพึ่งสังเกตุได้
ผู้ใช้หอกสินะ ..จะว่าไป
ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่ใช้หอกบ่อยนัก แถมดูๆแล้วเธอก็มีฝีมือใช้ได้อีก—ฝีมือผมให้ประมาณเดียวกับนักดาบขั้นบรรลุทั่วไปเลย
“..อ๊ะ”
จะว่าไปก็เคยเจอไม่ใช่หรือไง ..ผู้ใช้หอกมีฝีมือรุ่นเดียวกันเนี่ย แต่–พวกเราเจอกันบนประสาทเทล่าเทลในฐานะผู้บุกรุกและผู้รักษาความปลอดภัย
เอาแล้วไง ดันไปลืมเจ้าตัวที่อุตส่าห์แสดงท่าทางเป็นมิตรต่อผู้บุกรุกเช่นผมซะได้ เสียมารยาทสุดๆไปเลยไม่ใช่หรือไงนั่นน่ะ
ทว่า
“..นั้นเองเหรอ ท่านเรเซอร์จับตาดูดิฉันตั้งแต่เด็กแล้วสินะ ท่านเห็นแววมาตั้งแต่ฉันเป็นเด็กแล้วนี่เอง แต่ฉันกลับลืมท่านทั้งๆที่ท่านจำได้ ..อา ตัวฉันนี่มัน..เลวร้ายอะไรขนาดนี้”
ไม่ใช่โว้ยยยยยยย–โอะ โอ้ย ไม่ไหว เก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า
“โปรดให้อภัยด้วย!!”
ที่ต้องขอความเมตตามันทางนี้ต่างหาก! แต่ก็เอาเถอะ
“ให้อภัยอยู่แล้วน่า”
“เอ๊ะ ให้อภัยง่ายๆแบบนี้ อย่าบอกนะว่ารู้อยู่แล้วว่าดิฉันจะลืมไป!”
“..ตามนั้น”
“สมกับเป็นท่านเรเซอร์ คนๆเดียวที่ดิฉันเคราพนับถือ การถ่อมตัวเป็นเรื่องที่ดีก็จริง แต่การยืดอกยอมรับคำชมก็คือคุณสมบัติที่ควรจะมีเหมือนกัน”
หล่อนนี่ไหลไปง่ายดีแฮะ
“กองอวยนายเยอะดีเนอะ”
“ไม่ต้องออกความเห็นเลยหล่อน”
ผมชี้นิ้วสั่งหนิงอย่างเสียมารยาท ไม่รู้ทำไมยัยรินเทียยังทำหน้าตาชื่นชมผมอยู่ต่างกับอัศวินอีกสองคน
อา ไม่ไหว เปลี่ยนอัศวินตอนนี้ยังทันไหมเนี่ย–ในจังหวะนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านผมไป
และผมก็ไม่อาจเมินชายที่เดินผ่านไปได้ ทั้งผมและยูจิรวมถึงทุกคนต่างหันหน้าไปทางชายที่เดินผ่านไป
เกราะสีเงินชั้นยอดที่ทำมาจากแร่ Aเทียร์ ตัวชุดที่ถูกตกแต่งด้วยลายสีเขียวอ่อนๆอันเป็นเอกลักษณ์ของอาณาจักรแซร์อิซ และเหนือสิ่งอื่นใดคือดาบที่มีรูปทรงโดดเด่นเป็นที่สุด
ดาบสีมรกต ปลอกดาบสีทองคำขาว ภาพลักษณ์นี่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งโลกว่ามันเป็น ‘ดาบแห่งความยุติธรรม’ หรือที่เรียกกันติดหูกว่าว่า ‘ดาบแห่งผู้กล้า จัสติสเทีย’
โดยไม่รู้ตัว ผมได้เผลอปล่อยมานาออกจากร่างกายเป็นมหาศาล และนั่นก็ทำให้ชายผู้ถือครองดาบแห่งผู้กล้า—อย่าง ‘ผู้กล้า’ หันหน้ามาทางผมพร้อมกับมือที่กุมด้ามดาบไว้
ผู้กล้าแอสทอเรียส ชื่อเก่า ผู้กล้าชุน ด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครทราบทำให้เขาเปลี่ยนนามมาเป็นแอสทอเรียส นามเดียวกับผู้กล้ารุ่นแรก เขามีเลือนผมสีขาวดูสดใส ดวงตาสีเหลืองที่สง่างาม และร่างกายที่สูงกว่าร้อยแปดซิบเซนติเมตรและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมหาศาล
ในฐานะนักดาบเขาคือนักดาบระดับต้นๆของโลก และในฐานะผู้กล้า เขาถูกขนานนามว่าเป็นผู้กล้าที่อาจจะแข็งแกร่งทัดเทียมกับผู้กล้ารุ่นแรกก็เป็นได้
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ..เขาเป็นคนที่ทำให้ชินเกือบตาย เพราะอย่างนั้นเลยเผลอส่งจิตไม่ดีใส่เจ้าตัว จนตกอยู่ในสถานการณ์ยืนวิเคราะห์อีกฝ่าย
“…”
“..”