< < 132 Sec4 > >
“จะขอย้ำอีกครั้งว่าดาบเล่มนนั้นไม่เข้ากับแกเลยสักนิด ส่งมาซะ ผู้เป็นราชาจะต้องคู่กับอุปกรณ์ของราชาถึงจะเหมาะสม”
“ให้ได้ที่ไหนกัน นี่เป็นของสำคัญ”
หลังจากจับแยกแล้วมาเจลก็ยังไม่หยุดโวยวาย ส่วนเวฟก็ตอบแบบปัดๆด้วยท่าทางความรู้สึกกึ่งหงุดหงิดกึ่งรำคาญ
ว่าตามตรง มาเจลน่าหมันไส้ชะมัด
“ราชาอะไร แกก็แค่ลูกจ้างไม่ใช่เรอะ”
“หนวกหู ฉันไม่คิดจะคุยกับแกให้มากความหรอกนะ ไอคนปากเสีย”
โต้กลับจบมาเจลก็หันไปหาเรื่องเวฟต่อ–ผมบ่นออกมาในขณะที่นั่งเท้าคางอยู่ โต๊ะตรงข้ามผมก็เป็นเวฟและมาเจลที่นั่งถกกัน ส่วนวินก็นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับผมและมองไปทางสองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ว่าไงดี ดูน่ารักดีเนอะ?”
“ยังไงฟร้ะ?”
ที่เห็นก็มีแค่เด็กในร่างวัยรุ่นที่ร้องจะเอาของๆ อีกคนก็ทำหน้าเอือมระอาสุดขีด
ดูๆแล้วดาบโลหิตเล่มนั้นก็ดูจะไม่ใช่แค่ของที่เก็บได้ด้วย จากที่เวฟบอกมาเรื่อยๆเหมือนว่าจะเป็นดาบที่ได้มาจากคนสำคัญแหละ ทั้งอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ทนกับความเห็นแก่ตัวของมาเจลได้แฮะ
ถ้าจู่ๆมีไอบ้าคิดจะมาขโมยกระเป๋าที่เรเซลให้จากผมละก็–คงจะโกรธสุดๆเลยแหละ
“แล้วหล่อนคิดยังไงถึงลากฉันมาคุยด้วยล่ะ”
“คิดยังไงนี่”
“ก็รู้ๆกันนี่ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคนของแต่ละอาณาจักร ที่ทำไม่ต่างกับการเปิดเผยตัวตนเลยนะ”
ถึงทางนี้จะไม่ได้ซีเรียสอะไรก็เถอะ ขอแค่ไม่ได้ไปแตะต้องตัวจริงของหนิงหรือเบลลามีผมก็ปล่อยผ่านได้ อีกอย่างที่ช่วยให้ผมรู้จักผู้ใช้วิญญาณระดับเทพอีกสองคนก็นับว่าเป็นการช่วยผมทางอ้อมด้วย
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ เพราะทางวินไม่น่าจะได้ผลประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่
“บางทีนายก็ควรลดการใช้เหตุผลลงบ้างนะ เรเซอร์”
กล่าวจบวินก็ดูดน้ำองุ่นจากแก้วด้วยใบหน้าที่ฟินขึ้นสมอง
“..จะบอกว่าไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษนั้นเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้น แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้มีสิ่งที่หมายไว้หรอกนะ”
วินหรี่ตามองผมด้วยแววตาที่ต่างจากทุกที
“ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพคือตัวหมากของโลก พวกเรามีชะตากรรมจะต้องเข้าร่วมกับอาณาจักรสักแห่งแล้วก็ต่อสู้เพื่อการขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ..จะว่าไงดี สถานะพวกเราไม่ต่างกับทาสของโลกใบนี้สักเท่าไหร่”
“ทำงานเยอะจนหลอนแล้วสินะ”
“อาจมีส่วนนะ ..นี่แค่ความเห็นของฉันคนเดียวนะ” วินยิ้มให้ผม “คิดว่าพวกเราที่มีชะตากรรมเหมือนกันอย่างน้อยๆก็สนิทกันไว้น่าจะดีกว่านะ”
….
“ว่าแล้วก็ไปเรียก—อ๊ะ คนนี้ไม่ได้สินะ”
ตัวจริงของยูจิปิดไว้ก่อนดีกว่า วินเข้าใจจุดนี้ได้ดีจากสายตาที่ผมส่งให้
“เอาเป็นว่าฉันไม่ได้รังเกียจหรอกนะถ้าต้องไปสนิทกับคนอื่น”
“นั้นคุยได้สินะ”
“อ่า”
เพราะยูนาไม่ค่อยมีเวลามาคุยเล่นด้วยกระมัง เบลลามีรึเรเซลกับอันนาก็ห่างกันด้วย ผมเลยรู้สึกเหงานิดหน่อย ได้คุยเล่นบ้างก็ดี
ได้ยินอย่างนั้นวินก็เดินเข้าไปแยกอีกสองคนที่เถียงกันไม่หยุด
“เอาละๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้วจ้า”
“เดี่ยวก่อนสิวิน กำลังจะได้ที่อยู่แล้วเชียว อีกนิดหน่อยดาบโลหิตราชันย์มังกรเล่มนั้นก็จะกลายมาเป็นของฉันแล้วนะ”
“ดาบโลหิตต่างหาก ไอราชากับมังกรมาจากไหนกัน”
“เรื่องหยุมหยิมชะมัด”
“พอๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วมาแชร์ประสบการณ์กันเถอะ”
“ “ แชร์ประสบการณ์ ” ”
มาเจลกับเวฟหันหน้ามาพร้อมกัน
“ประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้พบกับวิญญาณระดับเทพของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง”
วินตบมือรัวๆประหนึ่งว่าจุดพลุยินดีอะไรบางอย่าง …มาเจลลุกขึ้นยืนในสภาพกอดอก
“ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เพียงแค่ฉันยืนอยู่เฉยๆวิญญาณระดับเทพของฉันก็ขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้แล้ว ..แค่นั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่ยืนเฉยๆ บารีมีก็โชยออกมาแล้ว ไม่อยากพูดมาก แต่ต้องบอกเลยว่าฉันเป็นกรณีหาได้ยาก ..ไม่ใช่มนุษย์ที่ต้องคลานไปขอพลัง แต่วิญญาณระดับเทพต่างหากที่ต้องคลานมาฝากตัว”
“จบยัง?”
“มีแค่นี้แหละ ถึงได้บอกไงว่าไม่จำเป็นต้องพูดมาก”
นี่แหละที่เรียกว่าพูดมาก
“อ่า ของฉันน่ะนะ” วินเป็นรายต่อไป “ก็คล้ายๆมาเจลนั่นแหละนะ แต่ไม่ถึงกับต้องคลานมาหากันหรอก ว่าไงดี ไม่ได้เจอบททดสอบหรืออะไรเท่าไหร่ แค่ตกลงปลงใจกันเป็นอันจบ แค่นั้นเลย”
“อยู่ในระดับใกล้เคียงกับฉันได้แบบนี้ ขอชื่นชม”
จบตาของวินสายตาทั้งหมดก็หันมาจับจ้องผมแทน
ต่อไปคงตาของผม
“ต่างกับพวกนาย ฉันได้รับบททดสอบสุดหินมา”
“พวกชั้นต่ำก็เป็นซะแบบนี้ ไม่อาจทำให้วิญญาณผู้ยิ่งใหญ่นับถือได้เพียงแค่ชายตามอง อย่างที่ฉันกับวินทำได้”
วินหัวเราะแห้งๆส่วนมาเจลยืดอกได้ใจ เวฟนั่งฟังเงียบๆ
“ครับๆพ่อชนชั้นสูง ก็อย่างที่ว่าฉันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาต่างกับนายเลยเลี่ยงบททดสอบไม่ได้”
“รู้ตัวก็ดี”
“ก็นั่นแหละนะ ส่วนบททดสอบที่ได้คือ ‘การก้าวข้ามอดีตที่แท้จริง’ ในบททดสอบนี้ถ้าเกิดฉันไม่ผ่านฉันจะต้องตายพร้อมกับอัศวินข้างกายที่นำมาด้วย นับว่าเป็นสถานการณ์สุดจะเลวร้าย เพราะความสะเพร่าขอบตัวเองทำให้ทั้งตัวเองและคนอื่นลำบาก”
“ก้าวข้ามอดีต? กะ ก็ฟังดูดีนี่ แต่ก็แค่นั้นแหละ สุดท้ายแกก็จนมุมจากความโง่ของตัวเอง”
ผมยิ้มให้และยอมรับไปตามตรง
“ทางนี้ก็ไม่อยากปฏิเสธข้อผิดพลาดของตัวเองหรอก แต่สุดท้ายฉันก็คือผู้ชนะ—ฉันชนะโดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยซ้ำว่าการก้าวข้ามอดีตที่แท้จริงคืออะไร”
“..หมายความว่ายังไง?”
จากนั้นผมก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง ..เมื่อฟังจบแล้วมาเจลก็ถึงกับตัวแข็งไป
“ทำไม”
“..น่าอิจฉาชะมัด อยากได้บททดสอบบ้างจัง อะไรกันฟร้ะการพิชิตสุดเท่นั่นน่ะ”
“..”
“หน็อยแน๊ะแก!!! บังอาจมาหยามกันได้!”
ดันทำให้เด็กเบียวคลั่งซะแล้ว ..เห็นหมอนี่แล้วนึกถึง ‘ลูซิเฟอร์’ เลยแฮะ—ไม่สิ เบียวหล่อเท่แบบลูซิเฟอร์ไม่ควรเอามาเหมารวมกับเบียวขี้โม้อย่างมาเจล ผมนี่ละก็ทำเสียมารยาทอีกแล้ว
“อะไรกันหน้าแบบนั้น มีปัญหาเรอะ?”
“ไม่มี ช่างเรื่องของฉัน ไปคนต่อไปเถอะ”
เวฟที่นั่งนิ่งมาตั้งนานเริ่มเปิดปากพูด
“เรื่องของฉันมันไม่ได้น่าสนใจมากหรอกนะ”
“เอาเถอะน่าๆ สัญญาว่าจะตั้งใจฟังเลยน้า”
“จะฟังผ่านๆให้ละกัน ขอบคุณกันด้วย”
..เวฟพยักหน้ารับและเริ่มเล่า
“พูดแบบนี้ก็อาจจะดูพิลึก แต่ว่า..ฉันไม่รู้ว่าวิญญาณระดับเทพของตัวเองเป็นใคร”
….
…
…ห๊ะ?
“เพราะอย่างนั้นเลยเล่าอะไรให้ฟังไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เรื่องของตัวเองจะไปมีปัญญาเล่าการพบเจอครั้งแรกได้อย่างไร ..แค่นั้นแหละ”
ทุกคนพากันเงียบกริบ
“..น่าเบื่อชะมัด”
มาเจลลุกขึ้นและเดินออกจากโต๊ะไปแบบไม่สนไม่แคร์อะไร
“มาเจลเป็นพวกที่คาดหวังกับอะไรแล้วไม่ได้ดังที่หวังจะผิดหวังน่ะนะ เท่าที่ได้ทำความรู้จักนะ” วินถอนหายใจเฮือกโตพลางหันไปมองทางนาฬิกา “นี่ก็ใกล้เวลาประชุมละด้วย แยกกันเลยดีกว่ามั้ยนะ”
“เอาตามนั้นก็ได้ ยังไงบรรยากาศก็เสียเพราะทางนี้แล้ว”
เวฟออกความเห็น
“ไม่หรอกๆ ไว้มาคุยกันไว้ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งในครั้งหน้านะเด้อ”
“ทางนี้ก็เหมือนกัน”
“นั้นขอตัว”
วินรีบเดินไปทางเดียวกับมาเจลเพื่อมุ่งไปจุดรอบๆงานประชุมโลก ทำให้ในที่นี้เหลือแค่ผมกับเวฟ
“เดี่ยวสิ”
ในขณะที่เวฟกำลังจะเดินไปผมก็รั้งเอาไว้ก่อน
“มีเรื่องอยากถามนิดหน่อย”
“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”
“ดาบโลหิตนั่นได้มาจากคนสำคัญสินะ”
“ใช่”
“ในตอนที่ได้รับมา เป็นช่วงเดียวกับที่จำความได้ว่าตัวเองมีวิญญาณระดับเทพรึเปล่า”
“..รู้ได้ยังไงกัน”
แปลว่าเดาถูกสินะ
ในนิยายต้นฉบับ มีส่วนคล้องจองอยู่มากเกี่ยวกับเรื่องของเวฟ ..อย่างแรกดาบโลหิตนั่นเป็นดาบเก่าของราชาแวมไพร์คนสุดท้าย และไม่เคยจะมีใครได้เป็นผู้ถือครองดาบเล่มนั้นอีกเลย ในนิยายต้นฉบับก็ไม่เคยพบเห็นว่ามีใครใช้ดาบเล่มนี้เลย มีเพียงแค่ดาบเปล่าๆและตำนานที่มีไว้ประดับเท่านั้น
แต่จุดเปลี่ยนคือเวฟได้เป็นผู้ถือครองของดาบโลหิต ..เบื้องหลังของดาบโลหิต
ดาบโลหิตเหตุผลที่ไม่มีผู้ใช้นอกเหนือจากราชาแวมไพร์เป็นเพราะ—ราชาแวมไพร์ได้หลอมรวมเข้ากับดาบโลหิต ลำพังแค่ตัวดาบไม่มีทางขึ้นมาทัดกับดาบแห่งผู้กล้ารึอาวุธสุดทรงพลังอีกกว่าเจ็ดสิบชิ้นได้หรอก แต่ที่ดาบเล่มนี้ได้ขึ้นเป็นหนึ่งในอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดเป็นเพราะมันมีการสิงสถิตของราชาแวมไพร์อยู่ด้วย เรื่องนี้ได้รับการยืนยันโดยเอเธอร์ในนิยายต้นฉบับ
เพราะอย่างนั้นแล้ว คนที่จะถือดาบเล่มนี้ได้จำเป็นจะต้องได้รับการยอมรับจากราชาแวมไพร์เสียก่อน ..กล่าวคือเวฟเป็นผู้ได้รับการยอมรับจากราชาแวมไพร์
“คนที่มอบดาบเล่มนี้ให้เป็นคนยังไง”
“พี่สาว น้องสาวแล้วก็คุณลุง ทั้งสามมอบดาบเล่มนี้ให้กับฉัน”
..เยอะจริงแฮะ
“แล้วทั้งสามคนตอนนี้ล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันสิ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว”
นั้นเหรอ
ถามมากกว่านี้จะเป็นอะไรรึเปล่านะ?
ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรอีกฝ่ายก็เปิดปากสวนก่อน
“สงสัยอะไรในตัวฉันกัน”
“ก็นิดหน่อย เป็นไปได้ทางนี้อยากทราบรายละเอียดทั้งหมดน่ะนะ เพราะมันอาจจะไปลงล็อคกับสถานที่ที่ฉันรู้จักก็เป็นได้”
ที่ที่มีดาบโลหิตและวิญญาณระดับเทพของเวฟอยู่ มันบังเอิญไปอยู่ที่เดียวกันและมีความเป็นไปได้ต่อไปที่จะ—มีสิ่งแปลกปลอมในที่แห่งนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน
ถ้าหากเป็นไปตามข้อสันนิฐานในหัว มีความเป็นไปได้ที่ผมจะไขปริศนาในนิยายต้นฉบับได้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นใหญ่เลยละ
เอาละ ว่าไง
“..นายบอกว่าอาจจะรู้จักสินะ”
“อ่า”
เวฟสบตากับผมตรงๆเป็นครั้งแรก เจ้าตัวมองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง—ทำไมกัน? เห็นผมเป็นศัตรูไปซะแล้วเหรอ? อาจจะคิดว่าผมรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้ไปแล้วรึเปล่านะ ไม่รู้
“ฉันจะให้ความร่วมมือทุกอย่าง”
เหมือนว่าผมจะเดาผิดไปไกลเลย
“ฉันอยากจะกลับไปที่แห่งนั้นเหมือนกัน เพื่อที่จะไปพบกับทั้งสามคนอีกครั้ง”
“ไม่นึกสงสัยเลยหรือไงว่าทางนี้อาจโกหก”
“..กลิ่นของนายไม่เหมือนคนโกหก—อาจจะเจ้าเล่ห์นิดหน่อย แต่ไม่ใช่พวกโกหกแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ปัญหา” เวฟหรี่ตามอง “ถ้าทำให้ฉันสามารถกลับไปหาทุกคนได้อีกก็ไม่มีปัญหา”
…อย่างน้อยๆสองในสามที่เวฟพูดถึง ผมก็พอประติดประต่อเรื่องราวจนบอกเขาได้ว่าอีกสองคนอยู่ที่ไหน
แน่นอนว่าผมเลือกที่จะไม่ทำ ไม่นั้นผมจะเสียผลประโยชน์ที่จะได้จากเวฟ
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือยังไง แต่การที่ได้เจอกับเวฟ..เป็นจิกซอว์สำคัญไม่ผิดแน่ จากนี้ก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ประโยชน์จากเวฟ แม้ว่านั่นอาจจะหมายถึงการหลอกใช้เจ้าตัวก็ตาม
ผมได้แต่นึกขอโทษในใจ ขอโทษให้แก่จิตใจอันบริสุทธิ์ที่ปารถนาจะไปเจอคนที่ตัวเองรักอีกครั้งของเวฟ และขอบคุณในโอกาสที่ผมได้รับมา
ว่าแล้วเชียว–คิดถูกจริงๆด้วยที่ได้เข้าร่วมงานประชุมโลก
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอถามนายหน่อยละกัน”
“จะตอบเท่าที่ตอบได้”
“..นายเป็น ‘เคะ’ หรือ ‘เมะ’”
…
…
เอ๊ะ?
“น้องสาวของฉันชอบถามอะไรพวกนี้ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายหรอกนะ แต่เป็นไปได้ก็อยากถามเผื่อไปให้น้องสาวตอนเจอกันอีกครั้งน่ะนะ”
…หากจำไม่ผิด เคะกับเมะนี่มันเป็นศัพท์ของแนววาย(ชายXชาย) รู้สึกว่าจะเป็นโพลการรุกรับของแต่ละคู่ที่นิยมจัดกันเป็นสีสันต์
เคะ = ฝ่ายรับ
เมะ = ฝ่ายรุก
ประมาณนี้นั่นแหละ
“ว่าไง”
“..ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ฉันน่าจะ เมะ มั้ง”
“เหรอ ..ฉัน เคะ น้องสาวบอกถ้าได้ตรงข้ามกันจะสนิทกันได้ง่ายขึ้น”
ไอสนิทก็สนิทอยู่หรอก แต่มันไม่ใช่สนิทแบบที่ผมต้องการเนี่ยสิ แต่ก็เอาเถอะ เวฟก็แค่โดนน้องสาวปั่นหัวมาเท่านั้น เพราะเขาไม่รู้ความหมายเรื่องที่ถาม เพราะอย่างนั้นการที่ผมจะยอมสนิททั้งๆแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมทำให้เกิดความสัมพันธ์แบบชายชายขึ้นแต่อย่างไร
ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจ ผมแค่ไม่ได้มีรสนิยมไปทางนั้นก็เท่านั้น
เวฟยื่นมือมาให้ผม
“ฝากตัวด้วย”
“เช่นกัน”
ผมจับมือเวฟกลับ ..และจ้องหน้าอีกฝ่ายตรงๆ
‘เวฟ’ แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ไม่ผิดแน่ หมอนี่คือกุญแจไขปริศนา
ตัวเองถือครองดาบโลหิตที่มี ‘ราชาแวมไพร์’ สถิตอยู่ อีกทั้งยังเป็นผู้ทำพันธสัญญากับวิญญาณระดับเทพที่มีจุดเด่นคือ ‘อมตะ’ อยู่อีก เป็นรูปแบบพลังที่ยากที่จะฆ่าให้ตายได้ง่ายๆ
แค่นั้นไม่พอ ยังมีความเป็นไปได้ที่เวฟคนนี้ ในตัวจะมี—-พลังที่น่ารังเกียจที่สุดในเรื่องราวอยู่ด้วย
พลังที่ทุกคนต่างรังเกียจ ในนิยายต้นฉบับเหล่าแฟนคลับเช่นผมต่างรู้จักมันดี ..เพราะว่าในอนาคตเคียวยะจะเป็นผู้ครอบครองพลังนั้นจนกลายเป็นตัวร้ายสุดแกร่ง นั่นหมายความว่าถ้าเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ก็มีความเป็นไปได้ที่เวฟจะโดนฆ่าในปีหรือสองปีนี้ จนพลังตกไปอยู่ในมือของเคียวยะแทน
ถ้านั้นใครละที่เป็นคนมอบพลังให้เคียวยะ? ลำพังเคียวยะไม่น่าจะเอาชนะเวฟได้
แน่นอนว่าถึงจุดนี้มีคนเดียวที่ผมนึกออก ..มันคือ ‘เรน’ ไม่ผิดแน่
เจ้าหมอนั่น ..อยู่เป็นตัวปัญหาได้ทุกๆที่จริงๆ