เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 192

< < 132 Sec4 > >

“จะขอย้ำอีกครั้งว่าดาบเล่มนนั้นไม่เข้ากับแกเลยสักนิด ส่งมาซะ ผู้เป็นราชาจะต้องคู่กับอุปกรณ์ของราชาถึงจะเหมาะสม”

“ให้ได้ที่ไหนกัน นี่เป็นของสำคัญ”

หลังจากจับแยกแล้วมาเจลก็ยังไม่หยุดโวยวาย ส่วนเวฟก็ตอบแบบปัดๆด้วยท่าทางความรู้สึกกึ่งหงุดหงิดกึ่งรำคาญ

ว่าตามตรง มาเจลน่าหมันไส้ชะมัด 

“ราชาอะไร แกก็แค่ลูกจ้างไม่ใช่เรอะ”

“หนวกหู ฉันไม่คิดจะคุยกับแกให้มากความหรอกนะ ไอคนปากเสีย”

โต้กลับจบมาเจลก็หันไปหาเรื่องเวฟต่อ–ผมบ่นออกมาในขณะที่นั่งเท้าคางอยู่ โต๊ะตรงข้ามผมก็เป็นเวฟและมาเจลที่นั่งถกกัน ส่วนวินก็นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับผมและมองไปทางสองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม

“ว่าไงดี ดูน่ารักดีเนอะ?”

“ยังไงฟร้ะ?”

ที่เห็นก็มีแค่เด็กในร่างวัยรุ่นที่ร้องจะเอาของๆ อีกคนก็ทำหน้าเอือมระอาสุดขีด

ดูๆแล้วดาบโลหิตเล่มนั้นก็ดูจะไม่ใช่แค่ของที่เก็บได้ด้วย จากที่เวฟบอกมาเรื่อยๆเหมือนว่าจะเป็นดาบที่ได้มาจากคนสำคัญแหละ ทั้งอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ทนกับความเห็นแก่ตัวของมาเจลได้แฮะ

ถ้าจู่ๆมีไอบ้าคิดจะมาขโมยกระเป๋าที่เรเซลให้จากผมละก็–คงจะโกรธสุดๆเลยแหละ 

“แล้วหล่อนคิดยังไงถึงลากฉันมาคุยด้วยล่ะ”

“คิดยังไงนี่”

“ก็รู้ๆกันนี่ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคนของแต่ละอาณาจักร ที่ทำไม่ต่างกับการเปิดเผยตัวตนเลยนะ”

ถึงทางนี้จะไม่ได้ซีเรียสอะไรก็เถอะ ขอแค่ไม่ได้ไปแตะต้องตัวจริงของหนิงหรือเบลลามีผมก็ปล่อยผ่านได้ อีกอย่างที่ช่วยให้ผมรู้จักผู้ใช้วิญญาณระดับเทพอีกสองคนก็นับว่าเป็นการช่วยผมทางอ้อมด้วย

แต่ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ เพราะทางวินไม่น่าจะได้ผลประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่

“บางทีนายก็ควรลดการใช้เหตุผลลงบ้างนะ เรเซอร์”

กล่าวจบวินก็ดูดน้ำองุ่นจากแก้วด้วยใบหน้าที่ฟินขึ้นสมอง

“..จะบอกว่าไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษนั้นเหรอ?”

“ก็ประมาณนั้น แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้มีสิ่งที่หมายไว้หรอกนะ”

วินหรี่ตามองผมด้วยแววตาที่ต่างจากทุกที

“ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพคือตัวหมากของโลก พวกเรามีชะตากรรมจะต้องเข้าร่วมกับอาณาจักรสักแห่งแล้วก็ต่อสู้เพื่อการขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ..จะว่าไงดี สถานะพวกเราไม่ต่างกับทาสของโลกใบนี้สักเท่าไหร่”

“ทำงานเยอะจนหลอนแล้วสินะ”

“อาจมีส่วนนะ ..นี่แค่ความเห็นของฉันคนเดียวนะ” วินยิ้มให้ผม “คิดว่าพวกเราที่มีชะตากรรมเหมือนกันอย่างน้อยๆก็สนิทกันไว้น่าจะดีกว่านะ”

….

“ว่าแล้วก็ไปเรียก—อ๊ะ คนนี้ไม่ได้สินะ”

ตัวจริงของยูจิปิดไว้ก่อนดีกว่า วินเข้าใจจุดนี้ได้ดีจากสายตาที่ผมส่งให้

“เอาเป็นว่าฉันไม่ได้รังเกียจหรอกนะถ้าต้องไปสนิทกับคนอื่น”

“นั้นคุยได้สินะ”

“อ่า”

เพราะยูนาไม่ค่อยมีเวลามาคุยเล่นด้วยกระมัง เบลลามีรึเรเซลกับอันนาก็ห่างกันด้วย ผมเลยรู้สึกเหงานิดหน่อย ได้คุยเล่นบ้างก็ดี

ได้ยินอย่างนั้นวินก็เดินเข้าไปแยกอีกสองคนที่เถียงกันไม่หยุด

“เอาละๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้วจ้า”

“เดี่ยวก่อนสิวิน กำลังจะได้ที่อยู่แล้วเชียว อีกนิดหน่อยดาบโลหิตราชันย์มังกรเล่มนั้นก็จะกลายมาเป็นของฉันแล้วนะ”

“ดาบโลหิตต่างหาก ไอราชากับมังกรมาจากไหนกัน”

“เรื่องหยุมหยิมชะมัด”

“พอๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วมาแชร์ประสบการณ์กันเถอะ”

“ “ แชร์ประสบการณ์ ” ”

มาเจลกับเวฟหันหน้ามาพร้อมกัน 

“ประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้พบกับวิญญาณระดับเทพของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง” 

วินตบมือรัวๆประหนึ่งว่าจุดพลุยินดีอะไรบางอย่าง …มาเจลลุกขึ้นยืนในสภาพกอดอก

“ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เพียงแค่ฉันยืนอยู่เฉยๆวิญญาณระดับเทพของฉันก็ขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้แล้ว ..แค่นั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่ยืนเฉยๆ บารีมีก็โชยออกมาแล้ว ไม่อยากพูดมาก แต่ต้องบอกเลยว่าฉันเป็นกรณีหาได้ยาก ..ไม่ใช่มนุษย์ที่ต้องคลานไปขอพลัง แต่วิญญาณระดับเทพต่างหากที่ต้องคลานมาฝากตัว”

“จบยัง?”

“มีแค่นี้แหละ ถึงได้บอกไงว่าไม่จำเป็นต้องพูดมาก”

นี่แหละที่เรียกว่าพูดมาก

“อ่า ของฉันน่ะนะ” วินเป็นรายต่อไป “ก็คล้ายๆมาเจลนั่นแหละนะ แต่ไม่ถึงกับต้องคลานมาหากันหรอก ว่าไงดี ไม่ได้เจอบททดสอบหรืออะไรเท่าไหร่ แค่ตกลงปลงใจกันเป็นอันจบ แค่นั้นเลย”

“อยู่ในระดับใกล้เคียงกับฉันได้แบบนี้ ขอชื่นชม”

จบตาของวินสายตาทั้งหมดก็หันมาจับจ้องผมแทน

ต่อไปคงตาของผม

“ต่างกับพวกนาย ฉันได้รับบททดสอบสุดหินมา”

“พวกชั้นต่ำก็เป็นซะแบบนี้ ไม่อาจทำให้วิญญาณผู้ยิ่งใหญ่นับถือได้เพียงแค่ชายตามอง อย่างที่ฉันกับวินทำได้”

วินหัวเราะแห้งๆส่วนมาเจลยืดอกได้ใจ เวฟนั่งฟังเงียบๆ

“ครับๆพ่อชนชั้นสูง ก็อย่างที่ว่าฉันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาต่างกับนายเลยเลี่ยงบททดสอบไม่ได้”

“รู้ตัวก็ดี”

“ก็นั่นแหละนะ ส่วนบททดสอบที่ได้คือ ‘การก้าวข้ามอดีตที่แท้จริง’ ในบททดสอบนี้ถ้าเกิดฉันไม่ผ่านฉันจะต้องตายพร้อมกับอัศวินข้างกายที่นำมาด้วย นับว่าเป็นสถานการณ์สุดจะเลวร้าย เพราะความสะเพร่าขอบตัวเองทำให้ทั้งตัวเองและคนอื่นลำบาก”

“ก้าวข้ามอดีต? กะ ก็ฟังดูดีนี่ แต่ก็แค่นั้นแหละ สุดท้ายแกก็จนมุมจากความโง่ของตัวเอง”

ผมยิ้มให้และยอมรับไปตามตรง

“ทางนี้ก็ไม่อยากปฏิเสธข้อผิดพลาดของตัวเองหรอก แต่สุดท้ายฉันก็คือผู้ชนะ—ฉันชนะโดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยซ้ำว่าการก้าวข้ามอดีตที่แท้จริงคืออะไร”

“..หมายความว่ายังไง?”

จากนั้นผมก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง ..เมื่อฟังจบแล้วมาเจลก็ถึงกับตัวแข็งไป

“ทำไม”

“..น่าอิจฉาชะมัด อยากได้บททดสอบบ้างจัง อะไรกันฟร้ะการพิชิตสุดเท่นั่นน่ะ”

“..”

“หน็อยแน๊ะแก!!! บังอาจมาหยามกันได้!”

ดันทำให้เด็กเบียวคลั่งซะแล้ว ..เห็นหมอนี่แล้วนึกถึง ‘ลูซิเฟอร์’ เลยแฮะ—ไม่สิ เบียวหล่อเท่แบบลูซิเฟอร์ไม่ควรเอามาเหมารวมกับเบียวขี้โม้อย่างมาเจล ผมนี่ละก็ทำเสียมารยาทอีกแล้ว

“อะไรกันหน้าแบบนั้น มีปัญหาเรอะ?”

“ไม่มี ช่างเรื่องของฉัน ไปคนต่อไปเถอะ”

เวฟที่นั่งนิ่งมาตั้งนานเริ่มเปิดปากพูด

“เรื่องของฉันมันไม่ได้น่าสนใจมากหรอกนะ”

“เอาเถอะน่าๆ สัญญาว่าจะตั้งใจฟังเลยน้า”

“จะฟังผ่านๆให้ละกัน ขอบคุณกันด้วย”

..เวฟพยักหน้ารับและเริ่มเล่า

“พูดแบบนี้ก็อาจจะดูพิลึก แต่ว่า..ฉันไม่รู้ว่าวิญญาณระดับเทพของตัวเองเป็นใคร”

….

…ห๊ะ?

“เพราะอย่างนั้นเลยเล่าอะไรให้ฟังไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เรื่องของตัวเองจะไปมีปัญญาเล่าการพบเจอครั้งแรกได้อย่างไร ..แค่นั้นแหละ”

ทุกคนพากันเงียบกริบ

“..น่าเบื่อชะมัด”

มาเจลลุกขึ้นและเดินออกจากโต๊ะไปแบบไม่สนไม่แคร์อะไร

“มาเจลเป็นพวกที่คาดหวังกับอะไรแล้วไม่ได้ดังที่หวังจะผิดหวังน่ะนะ เท่าที่ได้ทำความรู้จักนะ” วินถอนหายใจเฮือกโตพลางหันไปมองทางนาฬิกา “นี่ก็ใกล้เวลาประชุมละด้วย แยกกันเลยดีกว่ามั้ยนะ”

“เอาตามนั้นก็ได้ ยังไงบรรยากาศก็เสียเพราะทางนี้แล้ว”

เวฟออกความเห็น

“ไม่หรอกๆ ไว้มาคุยกันไว้ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งในครั้งหน้านะเด้อ”

“ทางนี้ก็เหมือนกัน”

“นั้นขอตัว”

วินรีบเดินไปทางเดียวกับมาเจลเพื่อมุ่งไปจุดรอบๆงานประชุมโลก ทำให้ในที่นี้เหลือแค่ผมกับเวฟ

“เดี่ยวสิ”

ในขณะที่เวฟกำลังจะเดินไปผมก็รั้งเอาไว้ก่อน

“มีเรื่องอยากถามนิดหน่อย”

“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”

“ดาบโลหิตนั่นได้มาจากคนสำคัญสินะ”

“ใช่”

“ในตอนที่ได้รับมา เป็นช่วงเดียวกับที่จำความได้ว่าตัวเองมีวิญญาณระดับเทพรึเปล่า”

“..รู้ได้ยังไงกัน”

แปลว่าเดาถูกสินะ

ในนิยายต้นฉบับ มีส่วนคล้องจองอยู่มากเกี่ยวกับเรื่องของเวฟ ..อย่างแรกดาบโลหิตนั่นเป็นดาบเก่าของราชาแวมไพร์คนสุดท้าย และไม่เคยจะมีใครได้เป็นผู้ถือครองดาบเล่มนั้นอีกเลย ในนิยายต้นฉบับก็ไม่เคยพบเห็นว่ามีใครใช้ดาบเล่มนี้เลย มีเพียงแค่ดาบเปล่าๆและตำนานที่มีไว้ประดับเท่านั้น

แต่จุดเปลี่ยนคือเวฟได้เป็นผู้ถือครองของดาบโลหิต ..เบื้องหลังของดาบโลหิต

ดาบโลหิตเหตุผลที่ไม่มีผู้ใช้นอกเหนือจากราชาแวมไพร์เป็นเพราะ—ราชาแวมไพร์ได้หลอมรวมเข้ากับดาบโลหิต ลำพังแค่ตัวดาบไม่มีทางขึ้นมาทัดกับดาบแห่งผู้กล้ารึอาวุธสุดทรงพลังอีกกว่าเจ็ดสิบชิ้นได้หรอก แต่ที่ดาบเล่มนี้ได้ขึ้นเป็นหนึ่งในอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดเป็นเพราะมันมีการสิงสถิตของราชาแวมไพร์อยู่ด้วย เรื่องนี้ได้รับการยืนยันโดยเอเธอร์ในนิยายต้นฉบับ

เพราะอย่างนั้นแล้ว คนที่จะถือดาบเล่มนี้ได้จำเป็นจะต้องได้รับการยอมรับจากราชาแวมไพร์เสียก่อน ..กล่าวคือเวฟเป็นผู้ได้รับการยอมรับจากราชาแวมไพร์ 

“คนที่มอบดาบเล่มนี้ให้เป็นคนยังไง”

“พี่สาว น้องสาวแล้วก็คุณลุง ทั้งสามมอบดาบเล่มนี้ให้กับฉัน”

..เยอะจริงแฮะ

“แล้วทั้งสามคนตอนนี้ล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันสิ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว”

นั้นเหรอ

ถามมากกว่านี้จะเป็นอะไรรึเปล่านะ?

ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรอีกฝ่ายก็เปิดปากสวนก่อน

“สงสัยอะไรในตัวฉันกัน”

“ก็นิดหน่อย เป็นไปได้ทางนี้อยากทราบรายละเอียดทั้งหมดน่ะนะ เพราะมันอาจจะไปลงล็อคกับสถานที่ที่ฉันรู้จักก็เป็นได้”

ที่ที่มีดาบโลหิตและวิญญาณระดับเทพของเวฟอยู่ มันบังเอิญไปอยู่ที่เดียวกันและมีความเป็นไปได้ต่อไปที่จะ—มีสิ่งแปลกปลอมในที่แห่งนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน

ถ้าหากเป็นไปตามข้อสันนิฐานในหัว มีความเป็นไปได้ที่ผมจะไขปริศนาในนิยายต้นฉบับได้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นใหญ่เลยละ

เอาละ ว่าไง

“..นายบอกว่าอาจจะรู้จักสินะ”

“อ่า”

เวฟสบตากับผมตรงๆเป็นครั้งแรก เจ้าตัวมองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง—ทำไมกัน? เห็นผมเป็นศัตรูไปซะแล้วเหรอ? อาจจะคิดว่าผมรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้ไปแล้วรึเปล่านะ ไม่รู้

“ฉันจะให้ความร่วมมือทุกอย่าง”

เหมือนว่าผมจะเดาผิดไปไกลเลย

“ฉันอยากจะกลับไปที่แห่งนั้นเหมือนกัน เพื่อที่จะไปพบกับทั้งสามคนอีกครั้ง”

“ไม่นึกสงสัยเลยหรือไงว่าทางนี้อาจโกหก”

“..กลิ่นของนายไม่เหมือนคนโกหก—อาจจะเจ้าเล่ห์นิดหน่อย แต่ไม่ใช่พวกโกหกแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ปัญหา” เวฟหรี่ตามอง “ถ้าทำให้ฉันสามารถกลับไปหาทุกคนได้อีกก็ไม่มีปัญหา”

…อย่างน้อยๆสองในสามที่เวฟพูดถึง ผมก็พอประติดประต่อเรื่องราวจนบอกเขาได้ว่าอีกสองคนอยู่ที่ไหน

แน่นอนว่าผมเลือกที่จะไม่ทำ ไม่นั้นผมจะเสียผลประโยชน์ที่จะได้จากเวฟ

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือยังไง แต่การที่ได้เจอกับเวฟ..เป็นจิกซอว์สำคัญไม่ผิดแน่ จากนี้ก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ประโยชน์จากเวฟ แม้ว่านั่นอาจจะหมายถึงการหลอกใช้เจ้าตัวก็ตาม

ผมได้แต่นึกขอโทษในใจ ขอโทษให้แก่จิตใจอันบริสุทธิ์ที่ปารถนาจะไปเจอคนที่ตัวเองรักอีกครั้งของเวฟ และขอบคุณในโอกาสที่ผมได้รับมา

ว่าแล้วเชียว–คิดถูกจริงๆด้วยที่ได้เข้าร่วมงานประชุมโลก

“ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอถามนายหน่อยละกัน”

“จะตอบเท่าที่ตอบได้”

“..นายเป็น ‘เคะ’ หรือ ‘เมะ’”

เอ๊ะ?

“น้องสาวของฉันชอบถามอะไรพวกนี้ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายหรอกนะ แต่เป็นไปได้ก็อยากถามเผื่อไปให้น้องสาวตอนเจอกันอีกครั้งน่ะนะ”

…หากจำไม่ผิด เคะกับเมะนี่มันเป็นศัพท์ของแนววาย(ชายXชาย) รู้สึกว่าจะเป็นโพลการรุกรับของแต่ละคู่ที่นิยมจัดกันเป็นสีสันต์ 

เคะ = ฝ่ายรับ

เมะ = ฝ่ายรุก

ประมาณนี้นั่นแหละ

“ว่าไง”

“..ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ฉันน่าจะ เมะ มั้ง”

“เหรอ ..ฉัน เคะ น้องสาวบอกถ้าได้ตรงข้ามกันจะสนิทกันได้ง่ายขึ้น”

ไอสนิทก็สนิทอยู่หรอก แต่มันไม่ใช่สนิทแบบที่ผมต้องการเนี่ยสิ แต่ก็เอาเถอะ เวฟก็แค่โดนน้องสาวปั่นหัวมาเท่านั้น เพราะเขาไม่รู้ความหมายเรื่องที่ถาม เพราะอย่างนั้นการที่ผมจะยอมสนิททั้งๆแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมทำให้เกิดความสัมพันธ์แบบชายชายขึ้นแต่อย่างไร

ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจ ผมแค่ไม่ได้มีรสนิยมไปทางนั้นก็เท่านั้น

เวฟยื่นมือมาให้ผม

“ฝากตัวด้วย”

“เช่นกัน”

ผมจับมือเวฟกลับ ..และจ้องหน้าอีกฝ่ายตรงๆ

‘เวฟ’ แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ไม่ผิดแน่ หมอนี่คือกุญแจไขปริศนา

ตัวเองถือครองดาบโลหิตที่มี ‘ราชาแวมไพร์’ สถิตอยู่ อีกทั้งยังเป็นผู้ทำพันธสัญญากับวิญญาณระดับเทพที่มีจุดเด่นคือ ‘อมตะ’ อยู่อีก เป็นรูปแบบพลังที่ยากที่จะฆ่าให้ตายได้ง่ายๆ

แค่นั้นไม่พอ ยังมีความเป็นไปได้ที่เวฟคนนี้ ในตัวจะมี—-พลังที่น่ารังเกียจที่สุดในเรื่องราวอยู่ด้วย

พลังที่ทุกคนต่างรังเกียจ ในนิยายต้นฉบับเหล่าแฟนคลับเช่นผมต่างรู้จักมันดี ..เพราะว่าในอนาคตเคียวยะจะเป็นผู้ครอบครองพลังนั้นจนกลายเป็นตัวร้ายสุดแกร่ง นั่นหมายความว่าถ้าเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ก็มีความเป็นไปได้ที่เวฟจะโดนฆ่าในปีหรือสองปีนี้ จนพลังตกไปอยู่ในมือของเคียวยะแทน

ถ้านั้นใครละที่เป็นคนมอบพลังให้เคียวยะ? ลำพังเคียวยะไม่น่าจะเอาชนะเวฟได้

แน่นอนว่าถึงจุดนี้มีคนเดียวที่ผมนึกออก ..มันคือ ‘เรน’ ไม่ผิดแน่

เจ้าหมอนั่น ..อยู่เป็นตัวปัญหาได้ทุกๆที่จริงๆ

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset