< < 136 Sec4 > >
มหามังกรเพลิงสามตน สองตัวจริง หนึ่งตัวปลอม กับเด็กแฝดชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่ที่หนึ่งประหนึ่งว่ามีจุดหมายชัดเจนอยู่แล้ว
ดาเนียลและมาริรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย แต่ทันทีที่ทั้งสองตะขิดตะขวงภายในใจ ฟัฟนิร์ก็หันกลับมาพูด
“อย่าได้กลัวไปเจ้าตัวน้อยทั้งหลาย พวกข้ามีพลังวิเศษที่สามารถจับมานาได้อย่างดีเลิศต่างกับพวกมนุษย์ ฉะนั้นแล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่พวกข้าจะรับรู้ได้ว่าที่แห่งใดคือที่แห่งใด”
เด็กๆได้แต่งงกับที่ฟัฟนิร์พล่าม อธิบายเหมือนอยากโม้สรรพคุณของตัวเองมากกว่า ชินที่มองอยู่ห่างๆขยับเข้ามาพูดแทน
“สรุปคือที่ที่พาไปไม่ได้มั่วหรือมีแผนอะไรในใจ แค่พาไปจุดที่มีคนอาศัยอยู่เยอะสุดตามปฏิกิริยามานาโดยคาดว่านั่นอาจจะเป็นจุดรวลพลสำหรับตอบโต้เรื่องฉุกเฉินชั่วคราวครับผม ท่านหนิงและท่านฟัฟนิร์คิดจะพาคุณชายคุณหนูทั้งสองไปส่งที่แห่งนั้นขอรับ เพราะคาดว่านั่นเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด” ชินยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “สบายใจได้ครับ ถึงท่านฟัฟนิร์จะเป็นพวกที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวทั้งกับตัวเองและคนที่อยู่ข้างกาย แต่ถ้าท่านผู้นี้ตัดสินใจจะปกป้องใครแล้วจะไม่มีทางปล่อยให้ตกอยู่ในอันตรายแน่นอนครับ”
“..คะ ครับ!”
พอชินที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่สูงพูดแล้วเด็กๆทั้งสองก็คล้อยตามเอาง่ายๆ รวมถึงคุณยายในร่างเด็กอย่างฟัฟนิร์ด้วย
“ต้าวชิน ..ไว้ใจข้าขนาดนี้เลยสินะ”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ชินพูดฟัฟนิร์ก็ถึงกับน้ำตาซึม กับคู่หูร่วมเดินทางที่นานวันเข้าก็เริ่ใสวมบทเป็นคุณแม่ผู้ดุด่าการใช้ชีวิตสุดจะสะเพร่าของตัวเอง วันดีคืนดีก็หันมาชมกันแทนแบบนี้ย่อมปรับตัวไม่ทัน เจอแบบนี้เข้าไปจะอดไม่ให้ปลื้มได้อย่างไรกัน
หนิงเห็นก็อ้าปากค้างแล้วเขยิบเข้าไปกระซิบแบบตั้งใจให้ฟัฟนิร์ได้ยิน
“จริงเหรอคะเนี่ย คนที่ดูไม่ได้เรื่องแบบนั้นเนี่ยนะ”
“หงะ!? เอาอีกแล้วนะนังของปลอมนี่ หยุดเลยนะ!”
อย่างน้อยๆก็อยากเก็บความทรงจำที่ล้ำค่านี้ไว้ไม่อยากถูกทำลาย—ชินตอบกลับทันควัน
“จริงสิครับ”
ฟัฟนิร์เอียงคอฉงน ชินเห็นก็อมยิ้มพลางเอียงคอตามคล้ายจงใจเลียนแบบท่าทาง ..
“ไม่ได้โกหกครับนะขอรับ ท่าน-ฟัฟนิร์”
ว่าแล้วฟัฟนิร์ก็ยิ้มร่าทันที
“ตะ ต้าวชิน ว่าแล้วเชียวเจ้านี่ไว้วางใจได้จริงๆ มีแค่เจ้านี่แหละที่ไม่ได้เลวพอจะทำลายศํกดิ์ศรีของข้าได้ลงคอ ..ต่างกับคุณ..คุณวีรสตรีบ้ากล้าม(ยูนา) แล้วก็ ..อีหัวขโมยนี่สุดขั้วเลว”
“เก่งนักก็พูดให้ชัดถ้อยชัดคำไม่ได้เหรอ?”
ชินเห็นทั้งสองเล่นตลกอะไรกันไม่รู้ก็หัวเราะออกมาเบาหวิวอย่างมีมาดอัศวินผู้ดี
“เป็นเกียรติที่ท่านรู้สึกเช่นนั้นครับ”
****
ภายในความมืดที่ลึกที่สุดในงานประชุมโลกที่ผิดเพี้ยน ..เรนและอลิซาเบธที่นั่งวินิจฉัยข้อมูลทั้งหมดอยู่ที่แห่งนั้นได้เงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับผู้ที่มาเยือน
“จะว่าเรื่องบังเอิญหรืออะไรดีนะ ..รู้สึกถึงผมได้หรือครับถึงได้ตรงมาทางนี้” เรนถอนหายใจแรง “เป็นใครกันครับ”
ทั้งสองไม่รู้ว่าใครเป็นผู้มาเยือน—จนกระทั่งชายคนนั้นได้ก้าวเท้าออกมา เพียงแค่นั้นจิตสังหารทั้งหมดก็พุ่งตรงใส่ทั้งสองคน จิตสังหารจำนวนมหาศาล ระดับที่เหนือยิ่งกว่าเอเธอร์ทำให้เรนแทบจะสติแตก
ชุดเกราะที่ถูกสร้างขึ้นเพียงพิเศษสำหรับคนๆเดียว ดาบมารสีดำน้ำเงินที่มีกลิ่นอายประหลาดโชยออกมา และเหนือสิ่งอื่นใดคือตัวตนของผู้ที่ก้าวเท้าออกมาอย่าง ‘ไรเดน อาคาสะ’
ดวงตาสีแดงไม่ได้จับจ้องไปที่ใดเป็นพิเศษ ถึงกระนั้นจิตสังหารที่พุ่งเข้าใส่ก็มีปริมาณมากกว่าที่เอเธอร์เคยใช้ใส่พวกตน—อลิซาเบธพุ่งตัวมาขวางเรนเอาไว้พร้อมกับเคียว ‘บาคุนาว่า’
“เพราะอยู่ใกล้ด้วยเลยไม่ใช่เรื่องยากอะไร ..อย่างไรซะมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจสักเท่าไหร่ เพราะกว่าจะแยกได้ว่านี่คือที่ๆตัวก่อเหตุอย่างพวกแกอยู่ก็ปาไปตั้งหลายนาที”
จากที่กล่าวมา ทันทีที่ถูกส่งไปจุดต่างๆภายในงานประชุมที่บิดเบือน ไรเดน อาคาสะ ก็ได้ตรวจสอบหาที่อยู่ของเรนจนพบ และรีบตรงมาทางที่เรนอยู่ด้วยคนเดียวทันที
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาที นั่นคือเรื่องที่..ธรรมดา สำหรับไรเดน อาคาสะคนนี้ การจะทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นแต่อย่างไร
“กับจุดที่ผมคนนี้กางเขตุปิดการรับรู้เป็นพิเศษเนี่ยนะ? ในเวลาไม่กี่นาทีด้วย ..หึ เอาเถอะ ฉันคนนี้ที่ได้พบเจอกับสัตว์ประหลาดของจริงมาแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกกลัวอะไรอีกต่อไป”
เรนจ้องหน้าไรเดนตรงๆโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
“แล้วยังไงต่อ? คิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ล่ะ?”
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น หน้าที่ของฉันคือการเด็ดหัวแกนี่คือเรื่องที่ทุกอาณาจักรทั่วทั้งโลกได้ตัดสินออกมา”
“แล้วทำไมไม่โจมตีสักที? ไอขี้ขลาดที่ไม่กล้าโจมตีเพราะกลัวทางนี้จะมีไพ่อะไรซ่อนไว้มันน่ากลัวซะทีไหน ถ้าเป็นเอเธอร์มันคงจะบุกเข้ามาโดยไม่กลัวอะไรเลยแท้ๆ ..นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าแกเป็นมนุษย์อยู่ กับมนุษย์อย่างแก ..กับมนุษย์อย่างแก ผมจะประหารให้ดู”
เรนตั้งท่าใช้วิชาไสยศาสตร์โดยมีอลิซาเบธบังข้างหน้าเอาไว้ ทางด้านไรเดนนั้นก็ชักดาบออกจากฝัก
ทันใดนั้นจิตสังหารก็พุ่งใส่เรนโดยเจาะจง
….
…
…!!!
“อร้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!”
เรนอ้วกออกมาอย่างน่าสังเวช
“ท่านเรน!”
“..บ้าอะไรวะเนี่ย..นะ นี่แก ..แรงกดดันระดับนั้น”
จิตสังหาร แรงกดดันที่มนุษย์ส่งออกมาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพลัง เพียงแค่สิ่งนี้มีอยู่มากไม่ได้หมายความว่าคนๆนี้จะแข็งแกร่ง เพียงแต่—มันก็คือเครื่องยืนยันได้อย่างหนึ่ง ว่าอย่างน้อยๆคนๆนี้ก็ไร้ความลังเลในการฆ่าคน และมีทฤษฎีที่ว่าจิตสังหารจะมากขึ้นไปตามปริมาณคนที่เคยสังหาร
หากยึดตามทฤษฎีแล้ว
ไรเดน อาคาสะ คงจะยืนอยู่บนกองศพนับล้าน ในฐานะ ‘อาวุธสงคราม’ ที่อาจจะทัดเทียมหรือเหนือกว่าอำนาจมหามังกรทั้งหลาย
“เหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ ภัยพิบัติเรน”
ดวงตาสีแดงหรี่ลงอย่างเย็นยะเยือก พร้อมกับท่าตั้งดาบที่สมบูรณ์แบบ–ท่าตั้งดาบทำให้เรนนึกถึงเทพดาบขึ้นมา
เมื่อได้เจอสิ่งนี้ เรนก็นึกขึ้นมาได้ถึงข่าวลือที่ว่า ไรเดน อาคาสะ คือหนึ่งในลูกศิษย์ของเทพดาบ
เคยถูกวิชาดาบของเทพดาบฆ่าอย่างโหดร้าย แรงกดดันที่มหาศาล ความรู้สึกที่ถูกทำให้เป็นเหมือนผู้ถูกล่ากลับมาอีกครั้ง ทั้งหมดทำให้เรนผู้แสนขี้ขลาดไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย ได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาและน้ำลายไหล คล้ายว่าสามารถช็อคตายไปทั้งอย่างนี้ได้เลย
“ที่ต้องวิเคราะห์ไม่ใช่ความสามารถของแก แต่เป็นทางหนีต่างหาก”
สีแดงจากดวงตาได้กลืนกินสติทั้งหมดของเรนไปจนหมด หัวของเรนไม่สามารถรับรู้อะไรได้แล้ว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูกแรงกดดันของไรเดนเล่นงาน และอีกส่วนหนึ่งคือหลังจากที่โดนกดดันได้เพียงวิเดียว หัวของเรนก็ได้หลุดออกจากบ่า
“….”
เรนตายแล้ว
และคงจะฟื้นชีพหลังจากที่ไรเดนได้จากไป จังหวะนี้ก็ให้อลิซาเบธหนีจากไรเดนให้รอด แค่นั้นพอ
ควรจะเป็นอย่างนั้น ทว่าไรเดนกลับยืนเฉย
“..รีบๆคืนชีพมาซะสิ”
ถูกรู้หมดแล้ว—เรนลุกขึ้นยืนพร้อมกับหัวใจที่ถูกสร้างขึ้นมากใหม่
เรนในร่างผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งเป็นร่างต้นฉบับของหัวใจที่ช่วงชิงมาได้พุ่งตัวหนีสุดแรงเกิด พร้อมกับแหกปากออกมาอย่างไม่คิดชีวิต
“หนีเร็ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว”
ป.ล.สู้เขานะกระสอบทรายคุง