เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 212

< < 138 Sec2 > >

อาณาจักรแห่งสายลมได้เข้าปกคลุมทุกคนในที่แห่งนี้ พวกเราถูกสายลมดูดเข้าไปภายในโลกแห่งอาณาจักรซึ่งเป็นห้องปิดตาย 

พื้นหญ้าสีเขียว ประดับไปด้วยก้อนหินที่สวยงาม ท้องฟ้าแจ่มใสไร้วี่แววว่าฝนจะตก มองดูเผินๆจะเหมือนว่าพื้นที่แห่งนี้นั้นที่ซึ่งจุดสิ้นสุด แต่หากมองดีๆที่แห่งนี้มีพื้นที่จำกัดเอาไว้อยู่

สายลมอ่อนๆลอยผ่านตัวไปอย่างเงียบสงบและเย็นสบาย ถึงกระนั้นพวกเราก็สัมผัสได้ถึงความอันตรายและวินาทีที่ชีวิตอยู่บนเส้นด้าย แม้จะยืนอยู่ในที่ที่อากาศดีประหนึ่งอุดมคติ แต่ในหัวก็แทบจะระเบิดออกมาซึ่งขัดกับบรรยากาศของที่แห่งนี้

ทำไมกัน ทำไมถึงได้รู้สึกแบบนี้ ทำไมจึงได้หวาดกลัวขึ้นมากัน ..เหตุผลนั้นแสนจะง่ายดาย

วินดาฟหรือราชาจอมเวทย์ชี้เซปเตอร์เดธมาทางพวกผม เขาชายมองทุกคนด้วยใบหน้าที่แสนจะเย็นชา ต่างกับตัวเขาก่อนหน้านี้ลิบลับ

“..แกนะแก…แกนะแก วินดาฟ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ราเมียร์แผดเสียงตะโกนออกมาด้วยโทสะอันมากมาย เมื่อวินดาฟได้ยินเสียงแหกปากสุดอลังการนั่นเขาก็วางเซปเตอร์เดธลง

“มันหมายความว่ายังไงกันหา!!?”

“ตามอย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้เลย เรเซอร์ ดราแคล์ เป็นตัวตนที่อันตราย ฉันจำเป็นต้องรีบกำจัดให้เร็วที่สุดเพื่อให้แผนการณ์ดำเนินไปได้อย่างลุล่วง” วินดาฟหรี่ตามอง “เพระอยากเห็นพลังทำลายล้างสุดเหนือสามัญสำนึกที่เรนได้บอกไว้ ฉันเลยรอดูก่อนค่อยเคลื่อนไหว ..บอกได้แค่ว่าประมาทเกินไปล่ะนะ วินาทีที่สิ่งนั้นโผล่ออกมา ฉันก็รู้สึกได้ทันทีเลยว่าตัวเองไม่ควรเคลื่อนไหวอะไรมากเกินจำเป็น”

วินดาฟหันมามองหน้าผม และแผ่จิตสังหารออกมาอย่างมหาศาล

“ถ้าเกิดตอนนั้นยกเซปเดอร์เดธขึ้นมายิงละก็ คงไม่ใช่แค่ต้นไม้โลกที่หายไป ตัวฉันเองก็คงโดนลบหายไปพร้อมกับต้นไม้โลกด้วย หากพลาดตรงไหนก็น่าจะพลาดที่ไม่เล่นงานหนุ่มเรเซอร์ก่อนที่จะเรียกพลังนั่นออกมา..ดาบเล่มนั้นมันอะไรกัน สมบัติของสวรรค์นั้นรึ?”

สมบัติสวรรค์? อะไรละนั่น

“..ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่ใช่สินะ ดีแล้วละ”

“เดี่ยวก่อนสิ สมบัติสวรรค์ที่พูดถึงคืออะไรกัน”

“อยากรู้นั้นรึ? ถ้าอยากรู้ก็ฆ่าฉันแล้วอ่านความทรงจำเอาสิ”

….

“นั่นสินะ สภาพแบบนี้คงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะเอาชนะฉันได้”

ใช่แล้ว ผมในตอนนี้อย่าว่าแต่ [ไฟเยอร์บอล] ทั่วๆไปเลย กะอีแค่เวทย์ขั้นต้นทั่วๆไปก็ไม่มีมานาพอจะร่ายมันออกมาด้วยซ้ำ แค่นั้นไม่พอ ร่างกายก็ล้าเกินกว่าจะเคลื่อนไหวสำหรับต่อสู้ได้

ผมอยู่ในสภาพไม่ต่างกับคนที่สิ้นสภาพการต่อสู้ ตัวผมในตอนนี้ไม่มีทางสู้วินดาฟที่เป็นถึงราชาจอมเวทย์ได้แม้แต่นิดเดียว—ไม่มีทางเลย

..อย่างน้อยๆถ้ามีมานาเหลืออยู่แค่เศษๆก็ยังพอไหวแท้ๆ

ควรทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี? ไม่มีทางสู้ได้แน่ๆ ..

“เข้าใจแล้ว อยากให้ผมเข้าร่วมกับเรนสินะ เข้าใจแล้วๆ จะเข้าร่วมด้วย จะพยายามทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้ เพราะนั้นขอร้องละ ไว้ชีวิตผมเถอะนะ”

“เดี่ยวสิ เรเซอร์!”

ผมยิ้มให้วินดาฟ แต่เจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีสนใจข้อเสนอเลย

“ลูกไม้เดิมกับที่ใช้กับเรนครั้งก่อนไม่ใช่หรือไง”

เล่าให้วินดาฟฟังหมดเลยสินะนั่น ..

“การเจรจากับหนุ่มเรเซอร์ คิดว่ามีแต่จะโดนหักหลังเอาทีหลังนะ”

“..ไม่ไว้ใจกันเลยนะ ขนาดผมยังไว้ใจคุณมาตั้งนานจนจู่ๆก็โดนวาร์ปมาฆ่าทิ้ง”

วินดาฟหยักไหล่ให้ แม้ผมจะพูดยังไงก็ไม่มีท่าทีว่าวินดาฟจะผ่อนเลย เขาตั้งใจฆ่าผมทิ้งอย่างที่บอกไว้อย่างแน่นอน ไร้ความสองจิตสองใจที่ผมจะสามารถเอามาต่อรองได้ เดิมทีวินดาฟก็ไม่ใช่คนที่โลภจัด ได้คืบจะเอาศอกแบบเรนอยู่แล้วด้วย เขาเป็นพวกที่คิดว่าอะไรดีก็จะยึดแนวนั้นไปจนสุดทาง กับเขาที่เป็นแบบนี้และมีความเห็นในใจอยู่แล้ว ย่อมไร้ซึ่งหนทางเจรจา

สู้นั้นเหรอ? จะสู้ยังไงให้ชนะ ราเมียร์? โทมิเรีย? มิร่า?

ผมหันไปมองคนที่พึ่งด้านนี้ได้มากที่สุดอย่างราเมียร์ 

“ที่เหลือข้าจะรับไม้ต่อเอง..อะไรกันสีหน้าแบบนั้น? ข้าไม่คิดว่าข้าจะแพ้หรอก วางใจได้”

ราเมียร์ตบไหล่ผมก่อนจะเดินมาอยู่ข้างหน้า เธอบังผมเอาไว้จากสายตาของวินดาฟ

“ข้ามีหวานใจรออยู่ที่จักรวรรดิตั้งสองคน เพื่อกลับไปหาพวกนาง ความคิดที่ว่าอาจจะตายก็ได้ไม่มีอยู่ในหัว”

..นั้นเองเหรอ แอบคล้ายกับผมอยู่แฮะ

“ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่มีคู่ครองเป็นตัวเป็นตนเรอะ?”

“ทั้งสองเป็นคู่ครองแบบไม่เป็นทางการ เพราะเป็นแค่สามัญชนน่ะนะ ถึงอย่างนั้นก็เป็นมนุษย์ที่ข้าตกหลุมรักที่สุดจากผู้ชายและผู้หญิงที่ข้าเคยพบเจอมานับร้อย ข้าเลิกมั่วก็เพราะพวกนางสองคนนี่แหละ แม้ว่าจะยังตามจีบไม่ติด แต่คิดว่าเร็วๆนี้น่าจะติด”

พอพูดถึงเรื่องของสองนางราเมียร์ก็ยิ้มออกมาอย่างงดงาม ..จะว่าไปนี่เล่นจีบทีเดียวสองคนเลยสินะ สมกับเป็นนักล่าแห่งจักรวรรดิราชามังกร

“ขอฝากอีกหนึ่งเรื่องได้มั้ย”

“ว่ามา”

ผมฝืนลุกขึ้นไปกระซิบให้ราเมียร์ฟัง ..

“เข้าใจแล้ว ถ้าทำได้ข้าจะทำ”

กล่าวจบราเมียร์ก็เดินออกจากผม และตรงไปหาวินดาฟด้วยท่าทางสุดมั่น

แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นานที่ได้รู้จักกับราเมียร์ แต่คิดว่าผมกับราเมียร์เข้ากันได้ดีทีเดียว ในฐานะเพื่อน เพราะเธอมีนิสัยที่คล้ายผู้ชายเป็นพิเศษ แล้วก็เป็นพวกที่คิดอะไรอยู่ก็จะพูดออกมาเลย จุดนี้ทำให้ถ้ารับนิสัยหล่อนได้ก็สนิทกันได้ไม่ยากน่ะนะ

เมื่อราเมียร์เดินออกไปแล้ว โทมิเรียและมิร่าก็เตรียมร่ายเวทย์จากระยะไกล

“ไม่คิดจะฝากฝังฉันหน่อยเหรอคะ?”

มิร่าทักแบบงอลๆ โทมิเรียยิ้มให้ผมโดยไม่พูดอะไร

“..ฝากด้วยนะ ฉันในตอนนี้เป็นได้แค่ภาระ”

“เข้าใจแล้วค่ะ ในฐานะแฟนคลับของท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งหาร ฉันจะพาท่านกลับไปหาท่านเบ็นจิโร่ให้ได้”

“เอ่อ เรื่องนั้นไม่ต้องก็ได้นะ ยัยนั่นคงไม่ได้อยากเห็นหน้าฉันสักเท่าไหร่หรอก”

“ด้วยความยินดีค่ะ”

..ไม่ฟังกันเลยไม่ใช่เหรอนั่น

“จะใช้โอกาสคราวนี้ ..ตอบแทนเรื่องที่นายเคยช่วยท่านพ่อเอาไว้” มิร่าพูดแบบเขินๆ “แล้วก็เรื่องที่อุตส่าห์ยอมช่วยพี่สาวด้วย พอหลังจากจบเรื่องคราวนั้นฉันก็รู้สึกว่า..พ่อ ..หมายถึงราชาอัลเบโด้เขามองมาที่ฉันบ้างแล้ว ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองก็มีความสำคัญในมุมมองของท่านอยู่”

ทั้งหมดที่ทำ ผมตั้งใจช่วยแค่หนิงก็เท่านั้น เรื่องของมิร่า เรื่องของอัลเบโด้ หรือเรื่องของคนอื่นๆไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย ว่าตามตรง ถ้ามิร่ากับอัลเบโด้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว แม้แต่ตอนนี้ ความผูกพันธ์ก็ไม่ได้มีให้ขนาดนั้น ถ้าตายไปผมก็ไม่น่ารู้สึกอะไรมากไปกว่าเสียดายที่คนรู้จักตาย

แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าโชคดีแล้วจริงๆที่มิร่าไม่ได้ตาย

“ฝากด้วย”

ทั้งสองเดินออกมาข้างหน้าผม

โทมิเรียภาวนาอธิษฐาน บนพื้นเกิดเป็นแสงสีฟ้าขึ้นเข้าแย่งชิงพื้นที่จากอาณาจักรเปลวเพลิงไปครึ่งหนึ่ง เพียงไม่นานมันก็เริ่มปรากฏร่าง

“[อาณาจักรแห่งสายน้ำ]”

ราวกับอยู่ในใต้ทะเล พื้นที่โดยรอบมีแต่ฟองน้ำ อีกทั้งบนฟ้ายังมีพระอาทิตย์ส่องลงมาจากผิวน้ำคล้ายว่ากำลังดำน้ำอยู่

“เวทมนตร์ขั้นบรรลุที่ใช้ได้ยากที่สุดไม่ใช่รึไง พวกตระกูลอาณาจักรนั่นน่ะ”

“ถึงจะเป็นเจ้าหญิงแต่ฉันก็ได้รับการสอนโดยตรงจากผู้บรรลุแก่นแท้แห่งสายน้ำเชียวนะคะ”

ผู้บรรลุแก่นแท้แห่งสายน้ำ? หมายถึงผู้ถือครองมณีวารีนั้นเหรอ?

พอเห็นว่าผมทำหน้างงๆ โทมิเรียก็ช่วยอธิบาย

“ท่านเบ็นจิโร่สอนฉันเองกับมือเลยค่ะ”

คุณพระ นี่มันข้อมูลใหม่ที่แสนน่าอัศจรรย์

ที่ว่าเข้าถึงมณีวารีได้ก็แปลว่าสามารถใช้อาณาจักรวารีได้ และเป็นผู้สอนวิชานี้ให้โทมิเรียเองกับมือด้วย กับยัยนั่นเมื่อตอนนั้นยังเป็นแค่นักธนูปากเสียเองแท้ๆ

“เบ็นจิโร่ ..นั้นเองเหรอ ระหว่างที่แยกกันตั้งหลายปี พัฒนาขึ้นตั้งขนาดนี้แล้ว” ผมถอนหายใจเอือกโต “ก็สมกับเป็นคู่แข่งของฉันน่ะนะ”

“คะ คู่แข่ง!? ไม่ใช่ว่าเป็นคู่หูกันเหรอคะ!?”

“ว่าไงดี ผมกับยัยนั่นมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนน่ะนะ”

“ซับซ้อน!! ตายตาหลับแล้วค่ะ!”

“เอาเป็นว่าอย่าพึ่งตายนะ”

“ค่ะ สู้ตายค่ะ!”

จู่ๆโทมิเรียก็ได้บัฟพิเศษมาจนคึกได้ที่ มิร่าเห็นก็ทำสีหน้าเอือมๆ

ผมหันไปมองวินดาฟ ดูเหมือนว่าเขาจะมารยาทดีรอพวกเราคุยกันด้วย

คิดอะไรอยู่กันนะ?

“อาณาจักรสายน้ำ พึ่งเคยได้เห็นครั้งแรกนี่แหละ น่าประทับใจจริงๆ”

แววตาของวินดาฟเป็นประกายสดใสราวกับเด็กที่หลงใหลในบางอย่าง ..อย่าบอกนะว่า แรงจูงใจของวินดาฟคือ—-วินดาฟยกเซปเตอร์เดธขึ้นมาไว้บนบ่า จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างกวักมือเรียกทุกชีวิตในที่แห่งนี้

“นามของฉันคือ ‘วินดาฟ’ จอมเวทย์ผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างเรียนรู้ หากไม่รังเกียจ ช่วยมอบบทเรียนให้ฉันทีสิ”

“นามของข้าคือ ‘ราเมียร์’ บุตรสาวแห่งราชันย์มังกร นักรบแห่งจักรวรรดิราชันย์มังกร ข้าขอใช้วิญญาณของข้าเป็นเดิมพันในการดวลกับเจ้า และขอสาบานว่าจะทุ่มทุกอย่างที่มีในการต่อสู้นี้ และขอให้คำสัญญาว่าไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ข้าก็จะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และจะเฝ้ารอวันที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้งในฐานะสหาย”

ธรรมเนียมของนักรบ—คือคำสาบานที่จะมอบให้แก่ผู้ที่ตัวเองคิดว่าแข็งแกร่ง เมื่อจบการต่อสู้ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเศษสวะหรือว่าคนทรยศ ทั้งสองก็จะกลายมาเป็นสหายกันในที่สุด แน่นอนแม้ว่าจะฆ่าอีกฝ่ายไปก็ยังคงนับว่าอีกฝ่ายเป็นสหายอยู่ดี

กล่าวจบร่างของราเมียร์ก็มีเกล็ดสีขาวขึ้นมา เพียงไม่นาน—พื้นที่แห่งนี้ก็มีมังกรสีขาวที่ดูสง่างามขนาดใหญ่ราวๆห้าเมตรปรากฏตัวขึ้น

“เข้ามาเลย”

 

****

เปลวเพลิงพุ่งออกมาจากลำคอของราเมียร์—ปริมาณเพลิงที่มหาศาลรวมถึงพลังทำลายล้างระดับมังกร ตามปกติแล้ว ควรจะกระโดดหลบแทนที่จะเข้าแลกพลังตรงๆ ทว่าวินดาฟกลับไม่สนสิ่งที่ควรจะต้องทำ

เจ้าตัวชี้เซปเตอร์เดธใส่เปลวเพลิงที่พุ้งเข้ามา และปลดปล่อยมานาของตัวเองเข้าสู่คทาเวทมนตร์ในตำนาน

“[วินด์วอล์(กำแพงลม)]”

สายลมพุ่งออกมาจากพื้นดิน มันปัดเป่าเอาเพลิงของราเมียร์ไปจนหมด

‘เซปเตอร์เดธ’ คทาเวทย์ในตำนาน คทาเวทย์ของราชาจอมเวทย์ หนึ่งในคทาเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดบนโลก เวทมนตร์รุนแรงขึ้นสิบเท่า ร่ายได้พร้อมกันสิบบท ปลดปล่อยมานาได้เร็วขึ้นสิบเท่า อีกทั้งยังมีพลังในการสั่งตายคู่ต่อสู้ได้ 

ถูกสร้างขึ้นโดย ‘แซ็ค’ ช่างตีเหล็กที่นำเอาเก้าคทาเวทย์ของ ‘คานเทีย’ ผู้สร้างคทาเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดบนโลก นำมาผสมกันเป็นคทาเวทย์ที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมเพียงหนึ่งเดียว บ้างก็ว่าแซ็คไม่ได้ใช้แค่เก้าคทาเวทย์ของคานเทีย แต่เขาได้ใช้หัวใจของสัตว์ในตำนานมาผสมกันเป็นผลึกเวทย์ของเซปเตอร์เดธ บ้างก็ว่าแซ็คไม่ใช่ผู้สร้าง หากแต่เป็นคนอื่นที่ไม่ระบุชื่อ

หลากหลายเรื่องราว หลากหลายความสามารถ ประวัติศาสตร์นับพันปีถูกบันทึกไว้ในคทาเวทย์นี่ แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาได้เป็นพันปีแล้ว แต่มนุษย์ก็ไม่อาจยกระดับการสร้างคทาเวทย์ขึ้นมาอยู่ในขั้นๆเดียวกับสิ่งนี้ได้อีกเลย

ต่างกับเจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเจตจำนงศ์ สิ่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ จึงกล่าวได้ว่า—นี่คือภูมิปัญญาของมนุษย์ เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงจุดสูงสุดของมนุษย์ และสิ่งนี้ก็บังเอิญได้มาอยู่ในมือของชายที่กล่าวได้ว่าพัฒนาไปถึงจุดๆที่มนุษย์ไปได้มากที่สุดแล้ว อย่าง–ราชาจอมเวทย์

ราเมียร์ในร่างมังกรตัดสินใจพุ่งเข้าชนใส่วินดาฟแทน–วินดาฟตอบรับโดยการร่ายเวทย์ขึ้นมาพร้อมกันแปดบท

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [เฟลมบลาสเตอร์]

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [ไลท์บลาสเตอร์]

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [ไอซ์บลาสเตอร์]

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [เอิร์ธบลาสเตอร์]

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [วินด์บลาสเตอร์]

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [วอเธอร์บลาสเตอร์]

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [ธันเดอร์บลาสเตอร์]

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ  [ไอซ์เอดจ์]

น้ำแข็งพวยพุ่งออกมาจากพื้น มันพุ่งมาหมายจะแช่แข็งทุกแห่งในที่แห่งนี้—โทมิเรียใช้ข้อได้เปรียบจากอาณาจักรวารี ควบคุมน้ำเป็นปริมาณมากลากเวทย์น้ำแข็งออกจากจุดที่ตัวเองอยู่ ..ถึงกระนั้น

เวทมนตร์ขั้นบรรลุ ตระกูล [บลาสเตอร์] ที่ขึ้นชื่อเรื่องพลังทำลายล้าง ทั้งหมดก็พุ่งเข้าใส่ราเมียร์เพียงคนเดียว

 

ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

 

ราเมียร์กลับคืนร่างมนุษย์ และดิ่งลงพื้นในสภาพไร้ซึ่งสติ—เขตุของอาณาจักรสายลม บนพื้นได้ปกคลุมด้วยน้ำแข็งจาก [ไอซ์เอดจ์] และเลื่อมๆกับเขตุของอาณาจักรสายน้ำก็มีน้ำแข็งจากเวทมนตร์ขั้นบรรลุนี่อยู่ด้วย ..

ราเมียร์หมดสภาพภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ..พูดให้ถูกคือการโจมตีพร้อมกันเจ็ดบทด้วยเวทมนตร์ขั้นบรรลุ

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร หากต้องรับการโจมตีนี่ตรงๆ คงยากที่จะมีคนที่รอดชีวิตได้ ต่อให้เป็นมหามังกรร่างสมบูรณ์ก็คงจะเจ็บหนักหรือไม่ก็พ่ายแพ้ไปเหมือนอย่างที่ราเมียร์พ่ายให้แก่วินดาฟ ..ร่างมนุษย์ที่ไร้สติค่อยๆดิ่งลงพื้น

มิร่าใช้เวทย์ลมดึงตัวราเมียร์กลับมาที่ปลอดภัย ถึงกระนั้นสภาพของราเมียร์ตอนนี้ก็ยับเยินอย่างน่าเป็นห่วง

บาดแผลขนาดใหญ่ตามร่างกายกว่าสามจุดที่มีอยู่มากพอจะทำให้ราเมียร์เลือดไหลตายได้ในไม่นานต่อจากนี้ ..

“คะ คุณราเมียร์!”

มิร่าพยายามใช้ [ฮิล] สุดความสามารถ แต่ก็ไม่เป็นผล เวทย์ฮิลไม่สามารถใช้รักษาราเมียร์ได้จนกว่าผู้ถือครองเซปเตอร์เดธจะจะตายจากไป นี่คือคอนเซปต์ของคทาเวทย์แห่งความตาย

โทมิเรียมองไปที่ราเมียร์ด้วยสายตาที่เป็นห่วง ก่อนจะหันกลับไปมองทางวินดาฟแทน

“ฉันจะหาทางถ่วงเวลาให้ค่ะ ระหว่างนั้นท่านมิร่าช่วยหาทางหนีให้ท่านเรเซอร์ด้วย”

ในสถานการณ์จริงจัง โทมิเรียเลิกเรียกผมด้วยชื่อยาวๆที่มาจากฉายา ..

“ทางหนี? จะหนียังไงล่ะ!? แล้วคุณราเมียร์ล่ะ?”

“..น่าเศร้าแต่คงต้องปล่อยไปค่ะ เซปเตอร์เดธมีความสามารถในการทำลายล้างการรักษาทุกรูปแบบ ฮิลไม่สามารถใช้ได้ พลังการรักษาของมังกรก็ใช้งานไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ทำได้แล้วค่ะ เคลื่อนไหวแค่สองคนสะดวกกว่าด้วยค่ะ” 

โทมิเรียกัดริมฝีปากตัวเอง เธอรู้สึกเจ็บใจไม่ผิดแน่ ..

“ตะ แต่ว่า จะปล่อยให้คุณมาเรียร์ตายแบบนี้ได้ที่ไหน”

“ดีกว่าตายคนเดียวค่ะ”

พอได้ยินอย่างนั้นมิร่าก็เดือดขึ้นมา

“เรเซอร์ยอมให้เป็นแบบนั้นดีจริงๆเหรอ!?”

ไม่มีทางอยู่แล้ว

“แน่นอนไม่อยู่แล้ว แต่–ฉันทำอะไรได้ที่ไหน”

“..เรเซอร์”

“ฉันไม่ใช่ยอดมนุษย์สักหน่อย ..มีขีดจำกัดที่ชัดเจน ไม่ได้มีลูกบ้าที่แค่วิกฤตก็เพิ่มพลังได้มหาศาล ไม่ได้มีขีดจำกัดสายเลือด มานาหมดก็คือหมด วงจรเวทย์พังก็คือพัง ร่างกายไม่ไหวก็คือไม่ไหว ถ้าอยากให้ลุกขึ้นมาสู้ได้ก็ต้องได้รับการฟื้นฟูซะก่อน ..ใช่ ขอแค่ได้รับการฟื้นฟูก็พอ”

นี่แหละความจริง แต่ดูเหมือนมิร่าจะไม่อยากยอมรับ ในส่วนลึกของเธออาจมองเห็นผมเป็นยอดมนุษย์ที่พลิกวิกฤตได้กระมัง

“นายกำลังบอกให้ทิ้งโทมิเรียกับราเมียร์ไว้เหรอ?”

ผมไม่ได้ตั้งใจบอกแบบนั้น แต่ว่าทางเลือกมีไม่มาก ต่อให้ทิ้งทั้งสองไปก็ใช่ว่าจะหนีพ้น เพราะเราก็ต้องไปตายเอาดาบหน้าอยู่ดี—ถึงกระนั้นมันก็มีทางเลือกที่ดีที่สุดอยู่

“ใช่”

มิร่าหันไปมองที่ราเมียร์ก่อนจะสลับมามองโทมิเรีย—เธอพาดแขนผมไว้ตรงไหล่ และออกแรงเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“จะพยายามถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุดนะคะ ..ท่านเรเซอร์”

ผมหันไปมองโทมิเรียที่ยิ้มส่งผม

“อย่าลืมกลับไปหาท่านเบ็นจิโร่ด้วยนะคะ ท่านเบ็นจิโร่คิดถึงท่านนะ”

“..”

ในทีแรกผมไม่คิดจะกลับไปพบเบ็นจิโร่ เพราะก่อนที่จะแยกจากกัน พวกเราได้ทะเลาะกันอย่างหนักหน่วง บางทีอาจจะเข้าขั้นตัดเพื่อนกันไปแล้วก็เป็นได้ แต่ว่า ..เข้าใจแล้ว จะกลับไปพบให้ได้

แต่ว่าไงดี ให้คนที่เคยทะเลาะกันไปเจอกัน มันชวนเรียกบรรยากาศมาคุมายังไงไม่รู้ชอบกล ได้มีปากเสียตอนเจอกันครั้งแรกแหงๆ 

“องค์หญิงช่วยพาผมไปพบเธอทีสิ”

แล้วก็ถ้าโทมิเรียตายไป ยัยนั่นอาจคิดว่าผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โทมิเรียตาย แล้วก็ทะเลาะกันหนักกว่าเดิมอีก

“เรื่องนั้นคงยากค่ะ”

“องค์หญิงโทมิเรีย..ถ่วงเวลาให้นานที่สุด แล้วก็อย่ารีบตายละ”

ไม่ใช่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดโดยแลกกับชีวิตตัวเอง แต่เป็นถ่วงเวลาให้นานที่สุดโดยที่ห้ามตาย—โทมิเรียพยักหน้ารับ ทันใดนั้นกำแพงน้ำก็ถูกสร้างขึ้นขวางทางวินดาฟและโทมิเรีย

ผมที่ต้องพึ่งแรงมิร่าในการหนีได้แต่พยายามทำให้ตัวเองเบาที่สุด ..

 

ป.ล.เม้าท์ยาวเกินครึ่งตอน > รวบรวมพลังมิตรภาพ > เจอของใหญ่ > แตกพ่าย (ฮา)

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset