< < 138 Sec3 > >
“ฮึก อือ..ฮึก”
มิร่ากำลังร้องไห้ เธอร้องไห้สมกับวัย อย่างไรซะ แม้จะเป็นเจ้าหญิงที่ได้รับไว้วางใจให้มาร่วมงานประชุมโลกด้วย แต่เธอก็ยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่คนใหญ่คนโตทั้งหมด เธอเป็นแค่เด็กอายุราวๆสิบสามสิบสี่เพียงเท่านั้น ย่อมยอมรับความจริงที่ต้องทิ้งเพื่อนที่พึ่งรู้จักกันไม่ได้ ทำได้เพียงฝืนใจตัวเองพาผมหนีมาตามที่คนอื่นบอก ..ตอนนี้คงจะเจ็บปวดน่าดู การที่ต้องฝืนทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กแบบเธอควรได้เจอเลย
“เรเซอร์ ..ทุกคนกำลังจะตาย”
แม้เพียงเวลาไม่นาน แต่เด็กที่ไม่ค่อยมีเพื่อนแบบมิร่าก็ได้พบเจอคนที่เรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก และทุกคนที่ว่าก็พรีกายตายเพื่อชีวิตของเธอและผม
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า
“นั่นสินะ”
“แค่นั้นเหรอ”
“เธอต้องการให้ฉันร้องไห้นั้นสินะ?”
“..เย็นชาจังเลยนะ
..ผมถอนหายใจเฮือกโต ผมภาวนาว่าขอให้การถอนหายใจนี่ไม่ใช่การถอนหายใจครั้งสุดท้าย
****
โทมิเรียมองส่งเรเซอร์และมิร่าที่ตั้งใจหนีสุดชีวิต ก่อนจะหันหน้ากลับมาเผชิญกับวินดาฟ
วินดาฟชี้เซปเตอร์เดธใส่โทมิเรีย โทมิเรียเองก็ตั้งท่าร่ายเวทย์สวน
“….”
“….”
วินดาฟยิ้มออกมา
“ตระกูลอามาเทราสึมีพรสวรรค์ทางเวทมนตร์สูงจริงๆด้วย อย่างทักษะการควบคุมเวทมนตร์ประเภทน้ำที่มีเอกลักษณ์นั่น อย่างกับว่าทักษะต่างๆถูกส่งต่อมาทางสายเลือดอย่างไรอย่างนั้นเลยนะ ถ้าเป็นคนของอามาเทราสึ บางทีอาจจะขึ้นเป็นผู้ถือครองมณีวารีก็เป็นได้”
“น่าเสียดายนะคะที่คนๆนั้นไม่ใช่ฉัน”
“นั้นรึ แสดงว่ามีผู้ถือครองมณีวารีปรากฏตัวมาแล้วสินะ”
“ใช่ค่ะ” โทมิเรียยิ้มให้ “ว่าแต่ว่า ท่านวินดาฟ เหตุใดถึงได้เป็นคนทรยศหรือคะ?”
วินดาฟได้ยินก็ลูบหนวดตัวเองและแหงนหน้ามองฟ้า
“..ความกระหายกระมัง”
“ความกระหาย?”
“ฉันกระหายในเวทมนตร์ ถึงขนาดที่ว่ายอมแลกอาณาจักรของตัวเองเพื่อความเป็นไปได้ในวิชาเวทมนตร์ต่อจากนี้ คนที่เติมเต็มความกระหายให้ฉันได้ก็คือเรน เหตุผลมีอยู่แค่นั้นเลย”
“ผลประโยชน์ส่วนตัวนั้นเหรอคะ..ท่านไม่ละอายใจในฐานะราชาจอมเวทย์เลยหรือคะ?”
วินดาฟครุ่นคิดเพียงไม่นานก็ส่ายหัวให้
“ราชาจอมเวทย์ สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่คนที่รักอาณาจักรของตัวเองจริงๆ ..สุดท้ายก็เป็นแค่คนที่ใช้เวทมนตร์ได้เยี่ยมยอดที่สุดเท่าที่ทางอาณาจักรจะหาได้ และมีข้อตกลงร่วมกันก็เท่านั้น” วินดาฟพูดต่อ “ความรักในบ้านเกิดของตัวเองน่ะ ฉันไม่มีอยู่หรอก สิ่งเดียวที่ฉันสามารถรักได้คือเวทมนตร์ มีเพียงเวทมนตร์เท่านั้นที่เป็นแสงสว่างให้แก่ชีวิตของฉัน”
กล่าวจบวินดาฟก็หัวเราะเบาหวิว
“ตัวจริงของราชาจอมเวทย์ เป็นเพียงแค่ตาแก่ที่กระหายเวทมนตร์หนักถึงขั้นทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ผิดหวังหรือเปล่าล่ะ?”
โทมิเรียส่ายหัวให้ทั้งรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อความตายเบื้องหน้า
“..ในฐานะคนสำคัญที่มีส่วนสำคัญแก่อาณาจักรฉันผิดหวังค่ะ แต่ว่าในฐานะจอมเวทย์ บางทีท่านน่าจะเป็นตัวตนที่บอกความเป็นนักเวทย์ได้มากที่สุด”
สิ่งที่บอกความเป็นนักเวทย์ได้มากที่สุดก็คือ—ความรักในเวทมนตร์
เมื่อได้ยินอย่างนั้นวินดาฟก็เงียบไป ก่อนที่มานาจะถูกส่งเข้าเซปเตอร์เดธอีกครั้ง โทมิเรียสร้างโล่น้ำขึ้นมาคลุมทั้งร่าง
“จะขอจดจำชื่อของ อามาเทราสึ โทมิเรีย ในฐานะนักเวทย์เอาไว้”
แสงพุ่งผ่านน้ำไปอย่างง่ายดาย แสงนั่นทะลุท้องของโทมิเรียไป—เวทมนตร์ทั้งหมดสลายออก ทั้งกำแพงน้ำ และอาณาจักรสายน้ำล้วนสลายไปทันทีที่ผู้ใช้งานหมดสติ
ขณะที่วินดาฟกำลังจะเดินผ่านร่างของโทมิเรียไปนั้นเอง—ราเมียร์ก็พุ่งมาจากข้างหลัง
“โห๋?”
วินดาฟพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่สนอกสนใจ
“ย๊ากกกกกกกก!!!!”
ราเมียร์แผดเสียงร้องออกมาสุดชีวิต เธอเร่งทุกอย่างเท่าที่จะเร่งได้ในร่างกาย—แขนพุ่งไปทางสีข้างของวินดาฟที่มีมณีอัคคีห้อยไว้อยู่
วินดาฟเอียงตัวหลบแบบง่ายๆ และจับเซปเตอร์เดธในท่าถือหอก ราเมียร์ที่พลาดเป้าก็ตั้งใจจะพุ่งมาอีกครั้งแต่ร่างกายก็แบกรับความเสียหายไม่ไหวจนหมดสติไปอีกครั้ง
“..เล็งมณีอัคคีไว้สินะ ..อย่าบอกนะว่านี่คือเรื่องที่หนุ่มเรเซอร์บอกให้ทำ” วินดาฟลูบหนวดของตัวเอง “ถึงได้มณีอัคคีไปแต่ถ้าใช้ไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์ ..หรือว่าจะใช้ได้? ผู้ถือครองที่แท้จริง?”
วินดาฟยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก และเดินตรงไปต่อ โดยไม่ฆ่าราเมียร์และโทมิเรียทิ้งในทันที ต่อให้สภาพตอนนี้จะไม่ต่างกับคนตายกันแล้วก็ตาม
****
“เลวร้ายที่สุด..”
มิร่าทุบไปที่เขตุแดนของอาณาจักรสายลม ..ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพยายามทำลายหรือหักล้างด้วยวิธีมากมายแค่ไหนก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมาเลย สุดท้ายก็เจอเพียงแค่ทางตัน ก่อนหน้านี้ไม่นานกำแพงน้ำและอาณาจักรสายน้ำของโทมิเรียก็พึ่งสลายไปด้วย หมายความว่าโทมิเรียเองก็แพ้ให้แก่วินดาฟแล้ว
“..ขอโทษนะ เรเซอร์ทั้งที่บอกว่าจะตอบแทนแท้ๆ แต่สุดท้ายฉันก็ยังทำอะไรเพื่อนายไม่ได้อยู่ดี ..สุดท้ายก็ใช้โอกาสที่ได้รับมาอย่างสูญเปล่า ..”
ใบหน้าของมิร่าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเกิน ในสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเสียสติกันไปแล้วก็เป็นได้
“ต่อให้เป็นโทมิเรียหรือว่าราเมียร์ก็คลายอาณาจักรสายลมไม่ได้หรอก”
“แล้วทำไมถึง!?”
“ง่ายจะตายไป มันแค่มีความเป็นไปได้อยู่ก็เท่านั้น ..ในเวลาที่ไม่มีอะไรจะเสีย อย่างน้อยได้ลองทำก็ดีกว่าไม่ได้ลอง” ผมหันไปมองข้างหลังและอดที่จะยิ้มไม่ได้ “มาเร็วจริงๆนะ”
วินดาฟลอยมาด้วยเวทย์ลม—มิร่าหันหลังกลับไป และเอาตัวมาบังผมไว้
“หนีไป!”
“ฝากด้วย”
วินดาฟเผชิญหน้ากับมิร่าที่สั่นกลัว
“ไม่จำเป็นต้องฝืนหรอกนะ บุตรสาวของอัลเบโด้”
“ฉันชื่อว่ามิร่า–ต่างหากย่ะ!!!”
มิร่าร่ายเวทย์เพลิงที่ถนัดเข้าใส่วินดาฟ
“[ไฟเยอร์บอล]”
“[ไฟเยอร์บอล]”
วินดาฟจงใจใช้เวทย์เดียวกันเข้าปะทะ และแน่นอนว่าผู้ชนะคือวินดาฟ มิร่าปลิวไปกับแรงปะทะนั่น ร่างกายเต็มไปด้วยแผนไฟไหม้ แต่ไม่ได้สาหัสถึงขั้นเคลื่อนไหวไม่ได้ เธอจึงลุกขึ้นมาใหม่และเริ่มร่ายเวทย์อีกครั้ง
ไม่ได้กะชนะ ไม่ได้คิดว่าจะสู้ได้ แค่ทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนเราทำได้แค่นี้แหละ ..
“[ไฟเยอร์บอล]!!”
มิร่าตะโกนจนคอแหบ เวทมนตร์พุ่งออกไปได้แรงที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยทำได้–คราวนี้วินดาฟไม่ตอบโต้ ใช้เพียงส่วนหอกของเซปเตอร์เดธแทงเข้าแกนกลางของบอลเพลิงและจับมันเหวี่ยงขึ้นฟ้า เห็นอย่างนั้นมิร่าก็หน้าซีดแต่ก็ยังไม่หยุดกระหน่ำเวทมนตร์
“[ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] ..[ไฟเยอร์บอล]!!!!!!!!!”
“[ไฟเยอร์บอล]”
บอลเพลิงนับสิบลูก ถูกบอลเพลิงเพียงลูกเดียวหักล้าง
“..คึก! [ไฟเยอร์บอล]”
ได้แต่ใช้เวทย์ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้–วินดาฟพุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมกับหลบบอลเพลิงไปด้วย
“ฮึย!”
มิร่าจะถอยหนีแต่ก็ช้าไป เธอถูกปลายของเซปเตอร์เดธแทงเข้าที่หน้าท้องจนทะลุ ..โลหิตไหลออกจากริมฝีปาก มิร่าจ้องตาวินดาฟตรงๆก่อนที่สติจะวูบหายไปอย่างที่ควรจะเป็น วินดาฟดึงปลายของเซปเตอร์เดธออกจากร่าง และปล่อยให้ร่างนั้นกระแทกลงพื้นไป–ทว่าผมก็ออกตัวรับร่างของมิร่าเอาไว้ก่อน
“..สาวน้อยคนนี้ยอมสละชีวิตเพื่อยืดชีวิตเธอเลยนะ หนุ่มเรเซอร์ เธอกลับหันหลังกลับมาแล้วทำให้ทุกวินาทีที่เธอมอบให้สูญเปล่า” วินดาฟหรี่ตามองมิร่า “ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสงสาร”
“เธอพยายามได้ดีมากจริงๆ ..ถ้าไม่ใช่เพราะคุณวินดาฟเล่นกับเธอละก็–เรื่องมันคงจบไปง่ายๆแล้วแท้ๆ”
“หมายความว่ายังไงรึ?”
“ติดเล่นเกินไปแล้วครับ คุณน่ะ”
ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะจับจุดได้ แต่ก็ได้แล้วละ เท่านี้ก็–ฟื้นคืนทุกอย่างกลับมาอีกครั้งได้แล้ว
ฟู่ว …เปลวเพลิงสีทองปกคลุมทั่วทั้งร่างของผม วินดาฟถอยหลังไปเมื่อได้พบกับเพลิงปริศนานี่
“สิ่งนั้น..มันอะไรกัน”
บาดแผลทั้งหมดได้รับการรักษา ไม่ใช่แค่นั้น–มานาที่หายไป วงจรเวทย์ที่เสียหาย ร่างกายที่อ่อนล้า ทั้งหมดได้รับการฟื้นฟูภายในพริบตาเดียว
ร่างกายกลับมาสมบูรณ์ วงจรเวทย์และมานาที่ไม่มีแม้แต่หน่วยเดียวก็ฟื้นฟูกลับมาเท่ากับตัวผมก่อนที่จะเริ่มต่อสู้ กล่าวคือผมอยู่ในสภาพร่างกายเช่นเดียวกับเมื่อตอนเช้าของวันนี้ โดยที่ใช้เวลาไม่กี่วิในการเรียกทั้งหมดกลับคืนมา
ไม่เคยเห็นมาก่อน–แหงอยู่แล้วแหละ เหมือนกับจอมมารดิลุค ผมเองก็เป็นจอมมารเช่นกัน
หากจอมมารเป็นเพลิงสีขาว ผมก็คือเพลิงสีทอง
ผมนั่งคุกเข่า สัมผัสไหล่ของมิร่าและทำการเผาเธอด้วยเพลิงสีทอง
ร่างกายของมิร่าได้รับการรักษาภายในพริบตาเดียว ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนปกติ–วินดาฟมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลากหลายความรู้สึก ทั้งตกใจ ทั้งตื่นกลัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งชื่นชม ในฐานะนักเวทย์ที่กระหายเวทมนตร์ยิ่งกว่าใครๆ เขาอยากจะรู้จักสิ่งนี้จนไม่เข้ามาโจมตีผมก่อน
“..มันคืออะไรกัน ไม่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อนเลย ในหน้าประวัติศาสตร์เวทมนตร์เองก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน”
“ผมครุ่นคิดมาโดยตลอดว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองขาด อะไรคือสิ่งที่ควรพัฒนา อะไรคือความแข็งแกร่งที่ตัวเองมี มีอะไรที่ตัวเองทำได้บ้างต่อจากนี้” ผมลูบหัวมิร่าที่หลับปุ๋ยไปอย่างเอ็นดู “คำตอบของคำถามคือทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ..เรียนรู้เรื่องราวให้มากกว่านี้ ทำความเข้าใจกับศัตรูให้มากกว่านี้ และลุกขึ้นสู้เรื่อยๆให้มากกว่านี้ สิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้คือทำเหมือนเดิมให้มากกว่าเดิม เพราะอย่างนั้นในตัวของผมจึงต้องมีเพลิงที่ไม่มีวันดับอยู่”
ผมผละตัวออกจากร่างของมิร่า และหันไปเผชิญหน้ากับวินดาฟ
“เปลวเพลิงนี่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย ไม่ได้มีพลังทำลายล้างเหมือนเพลิงมหามังกรรึเพลิงของจอมมารอย่างดิลุค มันก็แค่เปลวเพลิงที่จะช่วยให้ผมลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเสมอๆ ..นี่คือ [วิหคอมตะ] เพลิงอมตะที่จะฟื้นฟูทุกอย่างขึ้นมาได้เสมอ ต่อให้มานาจะเหลือเพียงแค่ศูนย์ ผมก็สามารถเค้นก้นบึ้งของก้นบึ้งเร่งให้มานาเพิ่มขึ้นเพียงหน่วยเดียว ก็เอาออกมาใช้ได้ ขอเพียงแค่จุดติด แม้จะเล็กน้อย ร่างกายและมานาก็จะได้รับการฟื้นฟู เมื่อได้รับการฟื้นฟูแล้ว ร่างกายนี้ก็สามารถสร้างเพลิงอมตะที่มากกว่าเดิมได้ หลักการณ์มันก็ง่ายๆเลย ..ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ฉันก็จะลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ”
นั่นแหละคือ [วิหคอมตะ]
“เพลิงที่หักล้างการทำงานของเซปเตอร์เดธได้ ..นี่มันเวทมนตร์ประเภทไหนกันแน่”
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ใบหน้าของวินดาฟเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่ปลื้มปิติ
“วิหคอมตะคอนเซปต์ไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการฟื้นฟูทุกอย่างกลับไปดั่งเดิม มานาที่หายไป อาการง่วงนอน ภาวะร่างกายเป็นอะไรสักอย่าง ขอเพียงแค่ใช้วิหคอมตะทุกอย่างก็จะหายไป มันจึงสามารถล้างคำสาปได้ด้วย คำสาปประเภทห้ามฟื้นฟูเองก็ทำได้”
“..การฟื้นฟูที่เข้าขั้น ‘อมตะ’ สินะ ไม่ใช่แบบพวกกึ่งอมตะ การฟื้นฟูระดับเดียวกับมหามังกร ไม่สิ มองในแง่การฟื้นฟูอย่างเดียวอาจจะเหนือกว่ามหามังกรด้วยซ้ำ”
พูดว่าอมตะก็ไม่เชิง เพราะถ้าผมตายรึหมดสติก่อน ก็ใช้งานมันไม่ได้แล้ว ถึงจะจริงก็เถอะเรื่องที่ว่ามันมีการฟื้นฟูที่เหนือกว่าของมหามังกร แต่ยังเทียบความอมตะที่แท้จริงของมหามังกรที่เกิดจากความว่างเปล่าได้ไม่ได้อยู่ดี ..แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะต่อจากนี้ผมไม่มีวันหมดสติเอาง่ายๆหรอก
“เพลิงนี่คือเวทมนตร์นั้นรึ?”
“ก้ำกึ่งน่ะนะ แต่วิธีใช้มันก็ไม่ต่างกับเวทมนตร์หรอก”
เพราะต้องใช้มานาเป็นน้ำมันในการจุดไฟน่ะนะ
“..น่าสนใจจริงๆ เรเซอร์ ดราแคล์ นักเวทย์ผู้ถือครองเพลิงอมตะ”
ผมหยักไหล่ตอบวินดาฟ ก่อนจะส่งมานาเข้าไปให้ถุงมือเวทมนตร์และทำให้ ‘การาวิเทีย’ ส่องแสงอีกครั้ง
“เพราะก่อนหน้านี้มานาไม่มีเลย กว่าจะได้มานากลับคืนแค่เศษเดียวก็ต้องใช้เวลาหลายนาทีเลยแหละ ..ก่อนหน้านั้นถูกคุณวินดาฟดูแลไว้ซะเยอะเลยนะ จำเป็นต้องตอบแทนจากใจจริง”
“อยากเห็นมากกว่านี้จริงๆ ในฐานะนักเวทย์นั่นคือเปลวเพลิงที่มนุษย์ไม่มีทางจะคว้าเอาไว้ได้!”
ใช่แล้ว เพราะมันเป็นสิ่งที่มีเพียงแค่ผมที่ถือครอง ‘ข้อผิดพลาด’ เอาไว้ที่ใช้ได้ ..มันคือเพลิงที่แหกกฏของโลกใบนี้เช่นเดียวกับเพลิงสีขาวของจอมมาร แค่ทำงานและมีผลลัพธ์ต่างกันก็เท่านั้น
“สิ่งนี้คือเพลิงที่จะพลิกวงการณ์เวทมนตร์ได้ไม่ผิดแน่”
เสียใจด้วย มันจะไม่มีเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นแน่นอน
“อยากได้มาครอบครองเหลือเกิน”
จะไม่มีทางให้ได้ไปเด็ดขาด
“ถ้าหากใช้สิ่งนั้นได้ละก็–บางที ฉันอาจจะใช้งานมณีอัคคีได้ก็เป็นได้”
น่าเสียดาย คนๆเดียวที่ใช้มณีอัคคีได้คือทางนี้ต่างหาก ..
วินดาฟตั้งท่าต่อสู้ เขาชี้เซปเตอร์เดธใส่ผม ผมเองก็เตรียมใช้งานการาวิเทีย
คนๆนี้ ราชาจอมเวทย์ตั้งใจจะช่วงชิงเวทมนตร์ไปจากผม เขาตั้งใจจะเรียนรู้ทุกอย่างที่ผมใช้ กลับกัน ผมเองก็ด้วย ผมเองก็ตั้งใจจะช่วงชิงเวทมนตร์ของชายคนนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ต่างคนต่างเรียนรู้อีกฝ่าย โดยที่เป้าหมายสูงสุดคือ—การฆ่าอีกฝ่าย
ผมจับมิร่าโยนไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้เวทย์ลมอ่อนๆอุ้มเอาไว้ไม่ให้เจ็บหนัก จากนั้นก็พุ่งตัวออก วินดาฟเองก็พุ่งตัวออกเช่นกัน–ผมโพล่งประโยคมากมายออกมาสุดเสียง
“เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมสติปัญญา] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริมระยะมองเห็น] [เสริมความเร็ว] [เสริมความเร็วการร่ายเวทย์] [เสริมการลงดาบ] [เสริมการวิ่งหนี] [เสริมการวิ่งเข้าใส่] [เสริมกล้ามเนื้อ] [เสริมการทรงตัว]”
“[เฟลมบาสเตอร์]!!”
เวทย์เพลิงขั้นบรรลุพุ่งใส่ผม—ถุงมือการาวิเทียเลืองแสง ร่างของผมถูกยกหนีขึ้นฟ้าด้วยแรงโน้มถ่วง จากนั้นตัดมิติได้พุ่งผ่านร่างผมเกิดเป็นรอยกระจกแตก พร้อมกับออร่าเสริมพลังอันมหาศาลที่พวยพุ่งออกจากตัว
“[ทลายขีดจำกัด]!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้วละ เข้าใจแล้ว!! หนุ่มเรเซอร์ เป็นเธอจริงๆด้วยสินะ—-ผู้ถือครองมณีอัคคีที่แท้จริงน่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ให้ได้แบบนี้สิ จะช่วงชิงมาให้ได้เลยคอยดู สิทธิ์พิเศษของเธอ พรสวรรค์ทั้งหมดของเธอ จะช่วงชิงมาไม่ให้เหลือสักอย่างเลยคอยดู!!”
ในที่แห่งนี้ไร้ซึ่งศีลธรรม ไร้ซึ่งความถูกต้อง ไร้ซึ่งพันธมิตร ไร้ซึ่งอำนาจ ไม่มีอะไรที่บนสังคมควรจะมีอยู่
“ทางนี้ต่างหากโว้ย!!!!!! จะช่วงชิงพรสวรรค์อันน้อยนิดของแกจนทำให้มันกลายเป็นศูนย์เลยคอยดู!”
ที่แห่งนี้จะมีก็แค่—นักเวทย์สองคนที่เข้าห้ำหั่นกันด้วยทุกอย่างที่ตัวเองมี เพื่อช่วงชิงทุกอย่างของอีกฝ่าย