< < 144 > >
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เพียงแค่พริบตาเดียว แค่กระพริบตาครั้งเดียว ป่าอาถรรพ์ก็ได้หายไปจากแผนที่บนโลกแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก บางที ทั่วทั้งป่าอาจจะหายไปตั้งแต่การระเบิดคราวแรกแล้วก็เป็นได้
ณ ที่แห่งนี้ เวลานี้ ไม่มีป่าอาถรรพ์อีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่พื้นสีดำที่มีไอร้อนละอุอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงเลย รวมถึงมีควันกรุ่นตลอดเวลาจนยากจะมองเห็นได้ชัด ประหนึ่งว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ก็ไม่ปาน
ผมมองดูพื้นสีดำนั่นจากที่สูงที่แต่ก่อนคือภูเขาของป่าอาถรรพ์ เพียงไม่นานก็พบสิ่งแปลกประหลาดอย่างเปลวเพลิงประหลาด สิ่งนั้นค่อยๆปกคลุมทั่วทั้งป่าอาถรรพ์ สลายควันทั้งหมดเผยให้เห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงของที่แห่งนี้
“เวฟ ..ยังอยู่แฮะ แต่ว่า”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
ที่เห็นใช่เวฟตัวจริงรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ละนะ
ผมกระโดดลงจากภูเขา และเดินผ่านไอร้อนที่ละอุตามพื้นทั้งหมดไปโดยใช้เพลิงวิหคอมตะปกคลุมร่างเอาไว้ ผมเดินไปช้าๆ เปลวเพลิงประหลาดที่บินไปมาก็ลอยมาทางผมก่อนที่มันจะเผยร่างตัวเองออกมา ซึ่งก็คือหนิงในร่างเปลือยเปล่า
จากการระเบิดตัวเอง ทำให้เสื้อผ้าขาดกระจุยแหละนะ นอกจากนั้นก็ ..แผนการณ์สำเร็จ
หนิงในร่างเปลือยเปล่าอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้อยู่ เด็กผู้หญิงคนนั้นนอนสลบโดยที่กอดดาบโลหิตไว้แน่น ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนแรงกอดเลย คล้ายกำลังหวงแหนสิ่งนี้เอามากๆ
“เด็กคนนั้น?”
“อานิม่า ..ตอนนี้ยังหลับอยู่ แล้วก็เหมือนจะชำระล้างความชั่วร้ายออกจากตัวจนหมดแล้วด้วย”
“นั้นเหรอ”
แทนที่จะบอกว่าชำระล้าง เรียกว่าย้ายความชั่วร้ายทั้งหมดไปให้เวฟแทนน่าจะถูกกว่า
ผมหันไปมองเวฟที่ดิ้นไปมากับพื้นอย่างไม่น่าดูนัก ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด ทั้งตัวเปื้อนไปด้วยเลือดที่เกิดจากการใช้เล็บมือของตัวเองสร้าง ข้างๆเวฟนั้น–มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่
เธอคือ ‘วาราลี่’ วิญญาณระดับเทพ หรือพี่สาวของเวฟนั่นเอง
เมื่อพบเห็นวาราลี่ ยูนาก็ถือวิสาสะปรากฏตัวออกมาเช่นเดียวกัน
วาราลี่กับยูนาจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มบทสนทนา
“ไม่ได้พบกันนานนะ”
“ค่ะ ตั้งแต่ศึกสุดท้ายระหว่างอาจารย์กับท่านวาราลี่”
ยูนาให้การยกย่องแก่วาราลี่ แม้สถานะจะเป็นศัตรูต่างสำนักกันก็ตาม วาราลี่จ้องมองยูนาตาเป็นวาว
“หืม? เหมือนจะเติบโตมาได้ดีเลยนะ ลูกศิษย์ของแรกซ์ที่มีพลังในการสะบั้นมิติ เจอกันคราวก่อนยังเป็นแค่เด็กน้อยอยู่แท้ๆ ดูตอนนี้สิ เติบโตขึ้นเป็นยอดนักรบเสียแล้ว แถมยังได้ขึ้นเป็นวิญญาณระดับเทพอย่างเดียวกับฉันอีก ..แล้ว ยัยหนูเซเนียไปไหนแล้วซะละ”
“เป็นมหาภูตปกครองอยู่ที่ป่ามหาภูตค่ะ”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ เด็กคนนั้นเนี่ยนะ”
เพราะวาราลี่อาศัยอยู่แต่ภายในป่าอาถรรพ์ทำให้เธอไม่รู้เรื่องโลกภายนอกสักเท่าไหร่ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอแปลกใจกับตัวตนของยูนารวมถึงเรื่องของเซเนียพอสมควร
วาราลี่พยักหน้าพึมพำให้กับเรื่องของยูนาและเซเนีย ก่อนที่จะหันมามองทางผม
“ถึงเวฟจะฝากฝังอานิม่าไว้กับเธอก็เถอะ แต่ฉันไม่คิดจะไปทำพันธสัญญาหรือให้ความร่วมมืออะไรกับเธอหรอกนะ บอกตามตรง ฉันเกลียดเธอ ต่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นความปารถนาของเวฟเองก็ตาม ..”
วาราลี่ลดความสนใจทางผม และชำเลืองมองเวฟที่กำลังถูกกัดกินด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี
“นี่ ..ช่วยจบทุกอย่างทีเถอะนะ ขอร้องละ”
“เข้าใจแล้ว”
ผมเดินเข้าไปหาเวฟ หมอนั่นพุ่งตัวเข้าใส่ผมทันทีที่เห็น-ผมเอียงตัวหลบการโจมตีที่ไร้ประสิทธิภาพ และหยิบมีดจากกระเป๋าคาดเอวออกมา ก่อนจะทำการแทงเข้าที่หน้าอกของเวฟอย่างสวยงาม
…ร่างของเวฟนิ่งอย่างนั้นไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เรี่ยวแรงจะค่อยๆหมดไป ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เวฟจะตายจริงๆ
“ขอบ..คุณ”
หมอนั่นกล่าวขอบคุณผมผู้ที่ช่วงชิงชีวิตของตัวเอง เป็นการขอบคุณที่พิลึกจริงๆ
“ทางนี้ต่างหาก”
ผมประคองร่างที่ไร้การควบคุมของเวฟ และเอาลงพื้นอย่างช้าๆโดยที่ให้เกียรติเจ้าตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“….”
“วาราลี่ ทางนี้จะไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น แต่เดิม เวฟก็มีชะตากรรมจะต้องตายอยู่แล้ว ต่อให้เจ้าตัวไม่ได้ปารถนาจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยอานิม่าก็ตามที”
ใช่แล้ว เพราะผม–ตั้งใจฆ่าเวฟตั้งแต่แรกแล้วยังไงละ
หากมองให้ดี การกระทำของผมคราวนี้นั้นไม่ต่างกับที่เรนจะทำกับเวฟเลย แค่ผมชิงลงมือทำก่อนก็เท่านั้น เวฟน่ะไม่ต่างกับผู้บริสุทธิ์ที่กลายเป็นจุดกลางการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผมกับเรน เป็นเพียงผู้เคราะห์ร้ายที่แต่เดิมควรจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
สุดท้าย ผมก็ได้รับความชอบธรรมในการฆ่าเวฟมาจากเจ้าตัว คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ขี้ขลาดที่สุดเลย เพราะคนบาปอย่างผมไม่สมควรได้รับความชอบธรรมใดๆทั้งนั้น ฉะนั้นแล้ว
“ฉันขอยอมรับการกระทำทุกอย่าง”
แน่นอนว่าผมไม่ได้ใจดีพอให้วาราลี่เล่นงานผมคืน ถ้าอีกฝ่ายคิดจะเอาคืน ผมก็จะเล่นกลับให้ยับ
“ไม่คิดจะสู้หรอก ..แค่ตัวเธอตอนนี้ กับผู้หญิงข้างตัว ฉันก็ไม่เห็นหนทางชนะแล้วละ แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดแย้งกับความตั้งใจของเวฟด้วย เธอต่อจากนี้เองก็ต้องดูแลอานิม่าต่อนี่–ถ้าจะมีเหตุผลให้ฉันตัดสินใจสู้กับเธออย่างไม่สนใจอะไร ขอเพียงแค่ได้ทำให้เธอลำบากที่สุดแล้วก็คงมีแค่การที่เธออาจจะไม่รักษาสัญญาของเวฟต่อจากนี้ก็เท่านั้น ..ใช่ อย่าได้ผิดสัญญาของเด็กคนนั้นเด็ดขาด”
แม้จะเป็นร่างวิญญาณที่ไร้อันตรายใดๆแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารจำนวนมากของวาราลี่ ระดับที่หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ หากเจอจิตสังหารระดับนี้ผมจะรีบใช้ตัดมิติถลายขีดจำกัด ตามด้วยบัพทั้งหมดใส่ร่างกายทันที
บ่งบอกได้ว่า–ผมห้ามผิดสัญญาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมจะได้ศัตรูเป็นผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่งที่สุดไปโดยปริยาย
“แน่นอนอยู่แล้วสิ” ผมถอนหายใจเอือกโตโล่งอก “ว่าแต่คุณจะทำอะไรต่อ แล้วก็ดาบโลหิตนี่ด้วย”
“อืม เอาดาบโลหิตไปเถอะ ส่วนฉันก็..คงจะนั่งรออยู่ที่นี่นั่นแหละนะ ไว้อานิม่าตื่นแล้วก็บอกด้วยละว่าว่างๆก็มาเยี่ยมกันได้”
“เข้าใจแล้ว ถ้านั้นก็ขอตัว”
“รีบจริงนะ”
“อ่า ..ถ้าไม่รีบกลับ อาจจะโดนคนไม่ดีดักเล่นงานเอาได้”
วาราลี่ที่ได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้นจมูก
“ศัตรูเยอะเหลือเกินนะ”
“นั่นสินะ”
รอบทิศเลยละ
ผมตัดสินใจโบกมือลาวาราลี่ เรื่องศพของเวฟให้เธอเป็นคนจัดการ พวกผมรวมอานิม่าที่สลบอยู่กับดาบโลหิตได้ออกเดินทางออกจากป่าอาถรรพ์–ไม่สิ ไม่มีอีกแล้วนี่เนอะ สถานที่ที่ชื่อว่าป่าอาถรรพ์นั่นน่ะ ไม่มีแล้ว เพราะถูกทำลายไปแล้ว โดยเจตจำนงศ์ของเวฟ
ที่แห่งนี้–ในอนาคตอันใกล้นี่ จะเติบใหญ่เป็นป่าที่งดงามที่รายล้อมไปด้วยสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติที่สวยงาม จะเป็นสถานที่ในฝันเหมือนกับที่เวฟคนนั้นเคยอาศัยอยู่กับครอบครัวของเขา
****
เดินออกจากป่าอาถรรพ์ได้พักหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ ..พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วด้วย ควรพักก่อนรึเปล่านะ หรือว่ารีบกลับให้เร็วที่สุดจะได้เอาอานิม่าไปพักผ่อนด้วยดี
ไม่มียูนาคอยพูดถามตอบด้วยสิตอนนี้ ..
ผมครุ่นคิดก่อนพักหนึ่ง ก่อนสังเกตุเห็นว่าหนิงตอนนี้ใส่แค่ผ้าคลุมสีน้ำตาลเปล่าๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้เล่นระเบิดเสื้อผ้าไปจนหมด
“มองอะไรไม่ทราบ”
“เปล่า ..แอบคล้ายฟัฟนิร์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
ฟัฟนิร์เองก็มักจะคลุมตัวเองด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลเช่นกัน ทำเอาคิดถึงเลยแฮะ
“นี่หนิง พักสักหน่อยดีรึเปล่า”
สำหรับผมยังไงก็ได้แหละนะ
“คิดว่า ….ไม่ดีกว่า”
ปฏิกิริยาหนิงดูแปลกไป ทีแรกเธอน่าจะตอบว่าพักหน่อยก็ดี ทว่าจู่ๆสีหน้าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับคำตอบ
“ทำไมล่ะ?”
“..ได้กลิ่นยูจิ”
แบบนี้นี่เอง หนิงสามารถรับรู้กลิ่นของยูจิได้ในระยะห่างเป็นกิโลเมตรเลยนี่นะ จะว่าเป็นความสามารถที่วิตถารก็ได้ แต่บางทีก็มีประโยชน์เหมือนกัน
“กลิ่นมาจากไหน”
“ข้างหลังพวกเรา แล้วก็ตรงพื้นดินมีการเคลื่อนไหวที่เร็วมากอยู่”
ขีดจำกัดสายเลือดของมหามังกรทำให้หนิงสามารถรับรู้เกี่ยวกับธรรมชาติได้ดีกว่ามนุษย์อย่างผมไม่รู้กี่ร้อยเท่า การที่มีหนิงมาคอยช่วยจิปาถะ บอกตามตรงว่าสะดวกเอามากๆ
“จะหนี หรือว่าสู้”
หนิงถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด ผมถอนายใจเฮือกโต
“หนี”
ตอนนี้ไม่ไหว
ยูจิแข็งแกร่งเกินไป ผมตัวเปล่าๆที่ไร้อาวุธ กับหนิง ต้องเผชิญหน้ากับยูจิที่แข็งแกร่งเกินไปกับเทียนหลงซึ่งๆหน้า โอกาสชนะกับโอกาสแพ้ ย่อมปรากฏมาเห็นชัดๆอยู่แล้ว
“เข้าใจแล้—”
ทว่า
พวกผมช้าเกินไป
ตึ้งงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
บอลเพลิงขนาดใหญ่กว่าสิบเมตรพุ่งผ่านต้นไม้และพื้นดินมาด้วยความเร็วสูง
การผสมกันของเวทย์เพลิงกับเวทย์ลมสินะ แถมยังใช้การควบคุมมมานาในระดับสูงมากด้วย
หนิงแบกร่างของอานิม่าไว้บนหลัง และกระโดดหนีขึ้นไปบนต้นไม้ ผมทำเช่นเดียวกันในต้นไม้ที่ห่างกับหนิงราวสามเมตร บอลเพลิงที่พุ่งมาแทนที่จะถไลกับพื้นเลยพวกผมไป มันกลับ–กำลังจะระเบิดออก
ผมรู้สึกตัวได้จากกระแสมานาแทรกซ้อนภายในบอลเพลิงนี่จึงทำการตัดมิติทำลายบอลเพลิงทิ้งในทันที
..เพลิง ลม แล้วก็ลมภายในอีก การควบคุมมานาในระดับสูง ไม่สิ นี่คือระดับเดียวกับราชาจอมเวทย์ จุดสูงสุดของศาสตร์ควบคุมมานาเลยละ
ผมหันไปมองข้างหลังที่ไกลออกไป มองไปยันเจ้าของบอลเพลิงนี่
คนคุ้นหน้า ‘ยูจิ’ กำลังเดินมาทางนี้ ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาว แล้วก็เสื้อคลุมที่ทำจากหนังสัตว์หายาก
“คนไม่ดีที่ว่ามาจนได้แฮะ”
ใครจะคิดละว่าคนๆนั้นดันเป็น–ยูจิน่ะ
แน่นอนว่าข้างๆของยูจิก็คือเทียนหลงในชุดสูทสีขาวดังเดิม
“..เรเซอร์”
“หนีไม่ไหวแฮะ–หนิงแยกกันสู้ ฉันจะสู้กับยูจิ เธอรับมือเทียนหลง ส่วนอานิม่า..”
ผมเปิดกระเป๋าเวทมนตร์ พยายามอัดมานาให้มันกางรูให้ใหญ่ที่สุด จนได้ขนาดที่พอเหมาะกับตัวอานิม่า
“โยนเข้ามาเลย!”
“หา!!? ถามจริงเถอะย่ะ!”
“เออสิ ไม่มีทางเลือกแล้ว ไม่รู้หรอกว่าในนี้จะมีออกซิเจนให้หายใจรึเปล่า แต่เป็นเทพนี่ ไม่น่าขาดอากาศหายใจตายหรอกเนอะ! ถึงตายก็เป็นอมตะด้วย”
“ไอ้บ้าเอ้ย!! ไม่สนแล้วนะถ้าโดนวิญญาณเวฟตามหลอกเข้าน่ะ”
“เออน่า!!”
หนิงทำตามที่ผมว่า โยนร่างของอานิม่าเข้ามาในกระเป๋าเวทมนตร์ จากนั้นผมก็ทำการปิดตายกระเป๋าทันที
“ยังคงวุ่นวายกันเหมือนเดิมเลยนะครับ”
ยูจิเอ่ยขึ้นจากระยะห่างที่เหลือเพียงไม่กี่เมตร-เร็วมาก
“ทางนั้นเองก็เถอะ คิดยังไงถึงมาดักรอคนอื่นอย่างนี้ล่ะ ถ้าอยากเจอหน้ากันไม่ลองนัดเจอกันดีๆ”
“ธุระของผมมันดูไม่ดีเท่าไหร่น่ะครับ”
“อ๋อเหรอ ไหนว่ามาสิ”
ยูจิเปล่งจิตสังหารออกมา—ผมกับหนิงเบิกตาโพลงกว้างและเหงื่อไหลออกมา
ก็จริงที่ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพจะไม่ได้รับผลกระทบของจิตสังหาร แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงปริมาณชัดเจน กว่าคือผมตกใจกับปริมาณจิตสังหารที่ยูจิเรียกออกมาได้ เพียงแค่ได้พบเห็นเปล่าๆในจิตใจก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
ในเวลาเพียงสั้นๆ ยูจิพัฒนาได้ขนาดนี้เลยสินะ
“ช่วยส่งเทพแห่งจิตวิญญาณ แล้วก็วิญญาณของยูนาในตัวคุณเรเซอร์มาด้วยครับ”
…
…เห้ย ..เห้ย ถามจริงเถอะวะ
“..ว่าไงนะ?”
“ช่วยส่ง–ทุกอย่างมาด้วยครับ”
ยูนา? คิดจะชิงยูนาไปนั้นเหรอ? หา? นี่แก คนสำคัญของฉัน ครอบครัวของฉัน คิดจะชิงไปต่อหน้าต่อตากันเนี่ยนะ คิดว่าแค่ขอแล้วจะให้นั้นเหรอ นี่คิดว่าทางนี้เป็นใครกัน คิดว่ายูนามีค่าแค่นั้นรึไง ยูนาต้องอยู่กับฉันสิถึงจะถูก
ราวกับโดนจี้จุดเดือด ผมในเวลานี้–โกรธยูจิมากระดับที่อาจจะพลั้งมือฆ่าไปจริงๆก็ได้
“ฝันไปเถอะ”
“ระวังตายเอานะครับ คุณเรเซอร์”
“ที่ต้องพูดมันทางนี้ต่างหากโว้ย!!! ยูจิ!!!!” ผมปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกและโพล่งขึ้นดังสนั่นทั่วทั้งป่า “[ถลายขีดจำกัด] !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
….
…
เอ๊ะ
ร่างกายทั่วทั้งร่างกระดูกหัก รู้สึกเจ็บตรงปอด ทั้งปากและจมูกมีเลือดไหลออกมาอย่างกับน้ำรั่ว ยิ่งกว่านั้นคือ–ผมลอยอยู่บนฟ้าที่กำลังบินออกจากจุดๆเดิม
เหมือนจะโดนยูจิซัดจนปลิวเข้า–ช่างมัน ก่อนอื่น
“[เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมสติปัญญา] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริมระยะมองเห็น] [เสริมความเร็ว] [เสริมความเร็วการร่ายเวทย์] [เสริมการลงดาบ] [เสริมการวิ่งหนี] [เสริมการวิ่งเข้าใส่] [เสริมกล้ามเนื้อ] [เสริมการทรงตัว]”
ร่างของผมกำลังดิ่งลงที่แม่น้ำขนาดยักษ์
“[เสริมยืนบนน้ำ]”
ผมดิ่งลงน้ำ กลิ้งอยู่สามตลบ ก่อนจะทรงตัวยืนบนน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ—พร้อมกันนั้น อะไรบางอย่างกำลังตามมาติดๆ
ผมใช้แขนสองข้างบล็อคการโจมตีล่วงหน้า—-ตึ้ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แรงกระแทกมหาศาลอัดเข้าแขนทั้งสองข้างของผม พร้อมกับเผยให้เห็นแขนของยูจิที่อัดเข้ามาที่การบล็อคของผม
แม่น้ำเกิดการสั่นไหวมหาศาลจากแรงกระแทกของหมัด
ผมกับยูจิยืนจ้องหน้ากันในระยะเผาขน
“ยอมแพ้เถอะครับ คุณในตอนนี้ชนะผมไม่ได้”
“ถ้าตอบว่าไม่ล่ะ?”
ผมถีบยูจิ เจ้าตัวถีบกลับ เท้าของพวกเราชนเข้าหากัน และดีดพวกเราสองคนออกจากกัน ในระยะห่างราวๆหกเมตรได้
ผมกับยูจิที่ยืนอยู่บนน้ำ ยืนจ้องอีกฝ่าย
“จะฆ่าครับ”
กล่าวจบ–ผมกับยูจิก็วิ่งเข้าใส่กัน และทำการแลกหมัดกัน น้ำในแม่น้ำกระเพื่อมขึ้นอีกคราเมื่อเกิดการปะทะ
“เอาสิ ถ้าทำได้ก็ลองดู”