< < 151 > >
หลังจากวันนั้น โซโลม่อน หรือว่าดิลุคที่เมลเบลรู้จักก็มักจะโผล่มาหาเธอบ่อยๆ เธอกับดิลุคได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆด้วยกันมากมาย จนอาจกล่าวได้ว่าทั้งสองคนคือเพื่อนกัน
เวลาเช่นนั้นดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งเมลเบลได้หายตัวไป
….
…
“นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมกับท่านจอมมารได้เจอกันครับ”
ที่ห้องนอนขนาดเล็กของเบลลามีนั้นมีชีวิตสามชีวิตนอนอัดกันอย่างกลมกลืน ประหนึ่งว่าเป็นกลุ่มเพื่อนเด็กน้อยที่มาค้างบ้านกัน
แอสโมเดียสนอนบนเตียง เบลลามีนอนบนฝูกตรงพื้น บิลเซบับนอนบนพื้นด้วยผ้าห่มถัดจากเบลลามี
“เป็นการพบเจอกันที่มีค่ามากครับ”
“แอสโมเดียสเข้าไปจีบท่านจอมมารน่ะค่ะ ก่อนจะโดนด่าจนร้องไห้”
“….”
“จากนั้นท่านเบลลามีก็ถามเรื่องของฉัน แอสโมเดียสก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง ทำให้ทราบว่าฉันโดนพ่อนิสัยไม่เอาถ่านจับแต่งงานกับคนอื่นเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้หลายหน่วยที่เขาแอบๆไว้”
เบลลามีได้ยินก็ผุดสีหน้าเอือมระอาออกมา
“พ่อคนจริงเหรอ?”
“ค่ะ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ฉันก็ต้องจำยอม”
พูดถึงตรงนี้ บิลเซบับก็อมยิ้มเล็กน้อย
“ในงานวันแต่ง ท่านเบลลามีก็บุกเข้ามาในงานแต่ง พร้อมกับแฉเรื่องผิดกฏสวรรค์ที่พ่อของฉัน และฝ่ายเจ้าบ่าวได้กระทำไว้ ทุกคนในที่นั้นถูกรวบตัวไป แน่นอนว่าฉันเองก็ด้วย แม้จะไม่รู้เห็นแต่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว”
“ตอนนั้นน่ากลัวจริงๆครับ พวกข้ารับใช้เทพบนสวรรค์บุกเข้ามาได้โหดมาก”
“ทว่า ในขณะที่ฉันกำลังจะโดนพาตัวไป EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq
“แล้วก็บังเอิญคว้ามือผมไว้ด้วย บอกว่าให้ผมอุ้มบิลเซบับแล้ววิ่งสุดแรงที”
….
“ด้วยความฉลาดของท่านเบลลามี ทำให้พวกเราหนีออกจากความวุ่นวายได้ค่ะ”
“จากนั้น พวกเรากลายเป็นบุคคลผิดกฏสวรรค์ และโดนออกหมายจับครับ ทำให้ผม–กลับบ้านไม่ได้แล้วครับ”
เบลลามีสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่มีน้ำโหอยู่หน่อยๆของแอสโมเดียสที่ยิ้มแย้ม
“ขอโทษนะ”
“ไม่หรอกครับ นึกแล้วก็ไม่ได้โกรธอะไรเลยครับ ผมแค่ต้องจำยอมเดินทางกับทั้งสองคนไปด้วย”
“เห้ย แอสโมเดียส รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง หยุดตำหนิท่านเบลลามีได้แล้ว”
“อ๊ะ เผลอตัวไป ขอโทษจริงๆนะครับท่านจอมมาร”
เบลลามีส่ายหัวตอบกลับ
“ไม่เป็นอะไรหรอก แล้วต่อจากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นพวกเราสามคนก็ออกเดินทางไปเมืองต่างๆ พลางหลบหนีการจับกุมไปด้วย รู้สึกว่าผ่านไม่ประมาณเดือนกว่าๆได้พวกเราก็ไปแอบในถ้ำแห่งหนึ่ง และได้เผอิญไปเจอกับเผ่า ‘อสูร’ เข้าละค่ะ”
“เผ่าอสูร? ..แมมม่อน”
“ใช่ค่ะ คนต่อมาที่ท่านเบลลามีได้พบก็คือ–ไอ้เฮงซวยที่ไม่รู้ต่ำสูงคนนั้น”
****
“เผ่าอสูร แบบนี้นี่เอง
รู้สึกว่าในนิยายต้นฉบับ หนึ่งในเจ็ดปีศาจมหาบาปนั้นมีอยู่คนเดียวที่เป็นเผ่าอสูร นั่นก็คือ ‘แมมม่อน’ บาปแห่งความโลภ
“ต่อจาก บิลเซบับ แอสโมเดียส ก็เป็นแมมม่อน”
“ใช่ค่ะ ว่าแต่คุณเรเซอร์พอทราบหรือเปล่าคะว่าเผ่าอสูรนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
รู้อยู่ เพราะในนิยายต้นฉบับเคยเล่าเกี่ยวกับแมมม่อนอยู่
“เป็นเผ่าที่กินเลือดเป็นอาหาร แล้วก็ตอนเช้าจะเก่งด้านการใช้เวทมนตร์ ตอนกลางคืนจะเก่งด้านการใช้พลังกาย นอกจากนั้นก็มีขีดจำกัดสายเลือดคือโลหิตลักษณะพิเศษ”
รู้สึกว่า ..
“ใช้เลือดของตัวเองคลุมร่างกายตัวเองเอาไว้เสมือนกับลอยสัก จากนั้นทั้งพลังกายและพลังเวทย์ก็จะพรุ่งปรี๊ดอย่างมหาศาล โดยไม่เกี่ยงเช้าหรือกลางคืนตามอย่างที่เผ่าอสูรจะเป็น เป็นการเร่งขีดจำกัดของตัวเองชั่วขณะโดยแลกกับการที่ต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมาก และต่อให้มีเลือดมากพอจะใช้งานร่างนี้นานๆ วิญญาณก็จะได้รับผลกระทบถ้าเกิดฝืนมากเกินไป ไม่ว่าจะเสียสติหรือผลค้างเคียงเกี่ยวกับอายุขัย หรือก็อาจจะตายทันทีเลยก็ได้ถ้าฝืนมากไป”
แต่ก็นั่นแหละ เป็นพลังที่โกงมาก ตามนิยายต้นฉบับ แมมม่อนใช้พลังนี้ในการกำจัดเรย์ที่ได้วิชาดาบขี้โกงมาแบบง่ายๆ พร้อมกับใช้ความสามารถของแมมม่อนขโมยทักษะของเรย์มาซะเพียบ จนเรย์ไม่มีอะไรให้ใช้นอกจากวิชาดาบขี้โกง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เพราะวิชาดาบขี้โกงจะโกงก็ต่อเมื่อใช้ร่วมกับวิชาอื่น
เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การเนิร์ฟพระรองที่บัดซบสุดๆ
“แต่ก็มีบ่อยครั้งที่เผ่าอสูรไม่อาจควบคุมโลหิตลักษณะพิเศษของตัวเองได้ จนใช้โดยไม่รู้ตัวและทำให้คนหลายคนต้องตาย กลายเป็นว่าเผ่าอสูรก็ต้องถูกล่าและค่อยๆหายสาบสูญไปในที่สุด ระดับที่ยุคโบราณเวลานั้น เผ่าอสูรก็ใกล้สูญพันธ์เป็นที่เรียบร้อย”
จะมีเหลือก็แค่แมมม่อนคนเดียวสินะ
“แมม่อนเวลานั้นเองก็ควบคุมโลหิตพิเศษของตัวเองไว้ไม่อยู่ และออกอาละวาดไปทั่ว ถูกไล่ล่าจนต้องมาแอบอยู่ในถ้ำ”
ผมพยักหน้ารับพลางมองภาพเหตุการณ์ที่ฉายไปเรื่อยๆ
“แล้วก็จำไม่ผิด แมมม่อนตกหลุมรักจอมมารด้วยนะ”
“…เนื้อหอมจริงๆนะ เบลลามีเนี่ย”
****
ภายในถ้ำเกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับเสียงร้องอันน่าหวาดกลัวที่มาพร้อมกับแสงสีเลือด
ตรงหน้าของทุกคนคือผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์ราวสองเมตรที่มีผมปิดหน้าปิดตายาวถึงเอว ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยสักสีเลือด ร่างถูกห่อหุ่มด้วยโลหิตจำนวนมหาศาล
“อ๊ากกกกกกกกกก—-”
ชายร่างยักษ์ร้องตะโกนราวกับกำลังถูกดูดบางอย่างไปจนจะขาดใจตาย ขณะเดียวกัน อีกฝั่งที่เฝ้ามองนั้นกลับมีคนหนึ่งที่ชิลเกินขาด
“เร่งขีดจำกัดร่างกายได้ขนาดนี้เลยสินะ เผ่าอสูรเนี่ย น่าสนใจจริงๆ”
“ดะ เดี่ยวสิๆ! ใช่เวลามาชิลมั้ยครับเนี่ย!?”
“ท่านดิลุคหนีเถอะค่ะ นั่นเผ่าอสูรเชียวนะคะ เผ่าอสูรที่ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่สุดบนโลก! ระดับที่ข้ารับใช้บนสวรรค์ต้องลงมาปราบเชียวนะคะ ถึงจะหายสาบสูญไปกันจะหมดแล้วแต่–ก็ยังน่ากลัวอยู่ดีค่ะ!”
“ใช่ไง เพราะอย่างนั้นเลยใกล้หายสาบสูญ และหาดูได้ยาก แปลกตรงไหนที่เราจะอยากมองดู”
ในขณะที่ดิลุคกำลังปลื้มกับเผ่าอสูรนั้น เมลเบล หรือ บิลเซบับในอนาคต และ อันเดียอัส หรือ แอสโมเดียสในอนาคตได้แต่ยืนตัวสั่นอย่างกับลูกกว้างพึ่งเกิด
ขี้ขลาด? ไม่ใช่ มันคือสถานะที่คนสติดีๆเขามีกันเมื่อเจอกับเผ่าอสูร ซึ่งอาจบอกได้ว่าดิลุคสติไม่ค่อยดี
ดิลุคค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อสูรตนนั้น
“อัลโล ได้ยินรึเปล่า หนุ่มน้อยเผ่าอสูร ..อือ ไม่ได้ยินสินะ นั่นสินะ ควรจะเป็นอย่างนั้น”
หนุ่มน้อย? EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq
“หนุ่มน้อยเหรอคะ? ดูยังไงก็หนุ่มล่ำที่ดูน่ากลัว”
“เผ่าอสูรน่ะเป็นเผ่าคนตัวเล็ก แต่เมื่อใช้ขีดจำกัดสายเลือดของตัวเอง ร่างจะขยายขึ้นพร้อมกับรอยสักสีเลือดตามตัว ทั้งพลังกาย ทั้งพลังเวทย์จะเพิ่มขึ้นมหาศาล แลกกับวิญญาณที่เกิดการสั่นสะเทือน และสติปัญญา แน่นอนว่าไม่มีทางอยู่ร่างนี้ได้นาน และแน่นอนว่าถ้าฝืนอยู่นานก็จะค่อยๆตายไปอย่างไม่น่าดู”
ดิลุคเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหนุ่มน้อยเผ่าอสูร
“ดูจากสภาพแล้ว เวลาน่าจะเหลือไม่มาก”
ดิลุคยื่นมือเข้าไปแตะหน้าอกของหนุ่มน้อยเผ่าอสูร
“เอาเป็นว่าใจเย็นๆนะ ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว ..เราไม่ใช่ศัตรู”
เลือดพุ่งปาดแขนของดิลุค
“ท่านดิลุค!!”
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เหมือนกับการสนทนากับสุนัขคลั่งครั้งแรกนั่นแหละ ..”
สุดท้ายมือก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอกของเด็กน้อยเผ่าอสูร
สัมผสที่อ่อนโยนทำให้หนุ่มน้อยเผ่าอสูรร่างกายค่อยๆหดลง พร้อมกับรอยสักสีเลือดที่สลายไป จากชายร่างใหญ่ ได้กลายเป็นชายร่างเล็กที่สูงราวๆ 140 กว่าๆเพียงเท่านั้น
เด็กหนุ่มล่วงลงพื้น ดิลุครับร่างนั้นไว้และค่อยๆวางลงพื้น
“เมลเบล ให้เด็กคนนี้นอนหนุนตักทีสิ”
“เอ๋ ทำไมต้องฉันล่ะคะ?”
“คิดว่าถ้าตื่นมาจากฝันร้ายแล้วได้นอนหนุนตักใครสักคนเข้า จะมีความสุขน่ะ”
“ไม่ไหวค่ะๆ ฉันกลัวเผ่าอสูรจะตายไป”
“ถ้านั้นอันเดียอัสก็ได้”
“เอ๋ ถามจริงสิครับ เป็นผมนะ ถ้าตื่นมาพบว่านอนหนุนตักผู้ชายเข้า ผมโกรธจริงๆนะครับ ทำไมท่านดิลุคไม่ให้เขานอนตักเองเลยละครับ”
ดิลุคหรี่ตามองหนุ่มน้อย ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนตอบ
“อยากเก็บไว้ให้คนรักน่ะ”
“ “มะ มุมมองสาวน้อยสุดๆ” ”
“เห็นแบบนี้แต่เราก็ปราถนาในเรื่องความรักอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไว้หลังจากนี้อีกสักหลายหมื่นปีข้างหน้า”
“นี่คิดอยู่ยังโลกแตกเลยเหรอครับเนี่ย”
ดิลุคเมินอันเดียอัสที่ชอบตบมุก แล้วลงมานั่งกับพื้นและยื่นขาไปหนึ่งข้างในหนุ่มน้อยหนุน
“พวกเธอเองก็ยื่นขามาคนละข้างทีสิ เราจะให้หนุนขาสามคนทีเดียวสามข้างเลย”
“ไม่ใช่หนุนตัก แต่เป็นหนุนขา แถมทีเดียวสามคน แล้วคนละข้างด้วย นี่มัน..น่ากลัวแฮะ”
“เอ่อ เข้าใจแล้วค่ะ”
แม้จะไม่อยากเท่าไหร่แต่ก็ยอมทำกันในที่สุด ทำให้เกิดภาพสยองมากกว่าอบอุ่นขึ้น คนสามคนยื่นขาคนละข้างมาให้หนุ่มตัวเล็กหนุน
ไม่นาน เด็กหนุ่มก็ได้สติ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนหนุนขาคนสามคนอยู่ก็รีบกระโจนตัวหนีออกมา และแยกเคี้ยวใส่
“ดูกลัวสุดๆเลยนะคะนั่น”
“วิธีหนุนตักแบบนี้มันฝันร้ายชัดๆครับ”
ดิลุคถอนหายใจ
“อย่าเรื่องมากนักเลย หนุ่มน้อย ว่าแต่ชื่ออะไรรึ?”
“ำดสาำนดาไนกดไกนไกานไกไกวไกไกากาไ!!!!”
“อือ เหมือนจะไม่เข้าใจภาษาพูด นั่นสินะ เกิดมาก็ถูกล่าจนไม่ได้คุยกับใครเลยกระมัง จะไปเข้าใจอารยธรรมภาษาที่มนุษย์มีกันได้อย่างไร สภาพตอนนี้คงไม่ต่างกับพวกสุนัขคลั่งเสียเท่าไหร่”
กล่าวจบดิลุคก็ลุกขึ้นและเดินไปหาอย่างช้าๆ หนุ่มน้อยทำท่าขู่ เธอจึงลดสปีดการเดินลง และค่อยๆเดินไปช้าๆอย่างนุ่มนวลโดยที่ยืนมือไปให้ด้วย
“ครือ!!!!!!!!”
เสียงขู่ดังขึ้นอย่างน่าหวาดกลัว ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ทำให้หนุ่มน้อยคนนี้มีพลังกายมหาศาลระดับฉีกร่างของมนุษย์อย่างดิลุคออกได้ง่ายๆ ถึงกระนั้นก็ไม่มีความกังวลอยู่ในหน้าของดิลุคเลย
“ค๊ากกก!!!”
เมื่อเข้าไปใกล้มาก หนุ่มน้อยก็เข้ามากัดที่แขนของดิลุค
“นะ นี่แก!!”
เมลเบลรีบวิ่งเข้ามาจะช่วย แต่ดิลุคก็ยกมือขึ้นมาห้ามไว้
“ไม่จำเป็นหรอก ..ไม่ได้เจ็บอะไรเลย”
ระหว่างที่พูดแขนของดิลุคก็ถูกกัดไปด้วย ดิลุคค่อยๆวางมือไว้บนหัวของหนุ่มน้อย
“…ไม่เป็นอะไรนะ”
“…..”
ดิลุคยิ้มให้
“อารมณ์จะทำให้ขีดจำกัดสายเลือดถูกเปิดใช้งาน เพราะอย่างนั้น ต้องควบคุมอารมณ์ไว้ให้ได้ ก่อนอื่นก็เริ่มจากผ่อนคลาย ทางนี้ไม่ใช่ศัตรู เป็นมิตรต่างหาก มิตรเขาไม่ฆ่ากัน มิตรจะอยู่เคียงข้าง โอเครนะ?”
แม้พูดไปอีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจความหมาย แต่เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากน้ำเสียงจนผละตัวออกจากแขนของดิลุค
“ท่านดิลุค ..แขนมัน”
“เละสุดๆ”
แขนของดิลุคอยู่ในสภาพที่แหวะจากแรงกัดอันมหาศาลของเผ่าอสูร พอโดนปล่อยไปแล้วแขนก็ลอยไปมาอย่างไร้แรงควบคุม
“เหมือนว่าแขนนี่จะใช้การไม่ได้แล้วละ”
“…”
หนุ่มน้อยมองมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เราเข้ามาในเขตุของเธอ จะโกรธ จะป้องกันตัว มันไม่ได้ผิดอะไรเลย แขนนี่น่ะ ไว้ค่อยรักษาทีหลังก็ได้ แต่ก็ต้องระวังเรื่องติดเชื้อโรคหรือว่าอะไรต่างๆนานาอีก อือ ก็เป็นปัญหานั่นแหละนะ แต่ก็ไม่เป็นไร–ให้เราจัดการเอง”
ดิลุคหันไปหาเมลเบล
“ขอผ้าที่ดีที่สุดที”
“มีแต่ผ้าคลุมที่เก็บได้ตามพื้นนี่ค่ะ”
“อือ ขอบใจ”
ดิลุครับผ้าคลุมมาและโอบร่างของหนุ่มน้อยไว้ด้วยผ้าคลุม
“ชื่อว่าอะไรหรือ?”
…..
ดิลุคชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ดิลุค”
ชี้นิ้วไปหา เมลเบล
“เมลเบล” ชี้นิ้วไปหาอันเดียสอัส “อันเดียอัส”
สุดท้ายจึงชี้มาหาตัวหนุ่มน้อย
“….”
“ไม่มี?”
หนุ่มน้อยพยักหน้ารับ ถึงจะพูดไม่ได้ก็คงพอรู้เรื่องภาษาอยู่บ้าง
“ ‘แมมม่อน’ จากนี้ไปนี่คือชื่อของนาย ถ้าไม่มีพ่อแม่ให้ชื่อ เราก็จะเป็นพ่อกับแม่ให้เอง”
“แม..”
“ม่อน”
“แม-ม่อน”
“แมมม่อน ต่างหาก ขาดเสียง ม ไปนะ อือ แต่ประมาณนี้ก็ดีแล้วละในช่วงแรก”
เมื่อพูดคุยกับหนุ่มน้อย หรือ–แมม่อน เสร็จแล้ว เธอก็มองไปที่แขนตัวเองที่สูญเสียการควบคุมไปแล้ว ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า
“ไปรักษาแขนที่ไหนได้บ้างนะ”