เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 236

< < 151 > >

หลังจากวันนั้น โซโลม่อน หรือว่าดิลุคที่เมลเบลรู้จักก็มักจะโผล่มาหาเธอบ่อยๆ เธอกับดิลุคได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆด้วยกันมากมาย จนอาจกล่าวได้ว่าทั้งสองคนคือเพื่อนกัน

เวลาเช่นนั้นดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งเมลเบลได้หายตัวไป

….

“นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมกับท่านจอมมารได้เจอกันครับ”

ที่ห้องนอนขนาดเล็กของเบลลามีนั้นมีชีวิตสามชีวิตนอนอัดกันอย่างกลมกลืน ประหนึ่งว่าเป็นกลุ่มเพื่อนเด็กน้อยที่มาค้างบ้านกัน

แอสโมเดียสนอนบนเตียง เบลลามีนอนบนฝูกตรงพื้น บิลเซบับนอนบนพื้นด้วยผ้าห่มถัดจากเบลลามี

“เป็นการพบเจอกันที่มีค่ามากครับ”

“แอสโมเดียสเข้าไปจีบท่านจอมมารน่ะค่ะ ก่อนจะโดนด่าจนร้องไห้”

“….”

“จากนั้นท่านเบลลามีก็ถามเรื่องของฉัน แอสโมเดียสก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง ทำให้ทราบว่าฉันโดนพ่อนิสัยไม่เอาถ่านจับแต่งงานกับคนอื่นเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้หลายหน่วยที่เขาแอบๆไว้”

เบลลามีได้ยินก็ผุดสีหน้าเอือมระอาออกมา

“พ่อคนจริงเหรอ?”

“ค่ะ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ฉันก็ต้องจำยอม”

พูดถึงตรงนี้ บิลเซบับก็อมยิ้มเล็กน้อย

“ในงานวันแต่ง ท่านเบลลามีก็บุกเข้ามาในงานแต่ง พร้อมกับแฉเรื่องผิดกฏสวรรค์ที่พ่อของฉัน และฝ่ายเจ้าบ่าวได้กระทำไว้ ทุกคนในที่นั้นถูกรวบตัวไป แน่นอนว่าฉันเองก็ด้วย แม้จะไม่รู้เห็นแต่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว”

“ตอนนั้นน่ากลัวจริงๆครับ พวกข้ารับใช้เทพบนสวรรค์บุกเข้ามาได้โหดมาก”

“ทว่า ในขณะที่ฉันกำลังจะโดนพาตัวไป EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq

“แล้วก็บังเอิญคว้ามือผมไว้ด้วย บอกว่าให้ผมอุ้มบิลเซบับแล้ววิ่งสุดแรงที”

….

“ด้วยความฉลาดของท่านเบลลามี ทำให้พวกเราหนีออกจากความวุ่นวายได้ค่ะ”

“จากนั้น พวกเรากลายเป็นบุคคลผิดกฏสวรรค์ และโดนออกหมายจับครับ ทำให้ผม–กลับบ้านไม่ได้แล้วครับ”

เบลลามีสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่มีน้ำโหอยู่หน่อยๆของแอสโมเดียสที่ยิ้มแย้ม

“ขอโทษนะ”

“ไม่หรอกครับ นึกแล้วก็ไม่ได้โกรธอะไรเลยครับ ผมแค่ต้องจำยอมเดินทางกับทั้งสองคนไปด้วย”

“เห้ย แอสโมเดียส รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง หยุดตำหนิท่านเบลลามีได้แล้ว”

“อ๊ะ เผลอตัวไป ขอโทษจริงๆนะครับท่านจอมมาร”

เบลลามีส่ายหัวตอบกลับ

“ไม่เป็นอะไรหรอก แล้วต่อจากนั้นล่ะ?”

“จากนั้นพวกเราสามคนก็ออกเดินทางไปเมืองต่างๆ พลางหลบหนีการจับกุมไปด้วย รู้สึกว่าผ่านไม่ประมาณเดือนกว่าๆได้พวกเราก็ไปแอบในถ้ำแห่งหนึ่ง และได้เผอิญไปเจอกับเผ่า ‘อสูร’ เข้าละค่ะ”

“เผ่าอสูร? ..แมมม่อน”

“ใช่ค่ะ คนต่อมาที่ท่านเบลลามีได้พบก็คือ–ไอ้เฮงซวยที่ไม่รู้ต่ำสูงคนนั้น”

 

****

“เผ่าอสูร แบบนี้นี่เอง

รู้สึกว่าในนิยายต้นฉบับ หนึ่งในเจ็ดปีศาจมหาบาปนั้นมีอยู่คนเดียวที่เป็นเผ่าอสูร นั่นก็คือ ‘แมมม่อน’ บาปแห่งความโลภ

“ต่อจาก บิลเซบับ แอสโมเดียส ก็เป็นแมมม่อน”

“ใช่ค่ะ ว่าแต่คุณเรเซอร์พอทราบหรือเปล่าคะว่าเผ่าอสูรนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

รู้อยู่ เพราะในนิยายต้นฉบับเคยเล่าเกี่ยวกับแมมม่อนอยู่

“เป็นเผ่าที่กินเลือดเป็นอาหาร แล้วก็ตอนเช้าจะเก่งด้านการใช้เวทมนตร์ ตอนกลางคืนจะเก่งด้านการใช้พลังกาย นอกจากนั้นก็มีขีดจำกัดสายเลือดคือโลหิตลักษณะพิเศษ”

รู้สึกว่า ..

“ใช้เลือดของตัวเองคลุมร่างกายตัวเองเอาไว้เสมือนกับลอยสัก จากนั้นทั้งพลังกายและพลังเวทย์ก็จะพรุ่งปรี๊ดอย่างมหาศาล โดยไม่เกี่ยงเช้าหรือกลางคืนตามอย่างที่เผ่าอสูรจะเป็น เป็นการเร่งขีดจำกัดของตัวเองชั่วขณะโดยแลกกับการที่ต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมาก และต่อให้มีเลือดมากพอจะใช้งานร่างนี้นานๆ วิญญาณก็จะได้รับผลกระทบถ้าเกิดฝืนมากเกินไป ไม่ว่าจะเสียสติหรือผลค้างเคียงเกี่ยวกับอายุขัย หรือก็อาจจะตายทันทีเลยก็ได้ถ้าฝืนมากไป”

แต่ก็นั่นแหละ เป็นพลังที่โกงมาก ตามนิยายต้นฉบับ แมมม่อนใช้พลังนี้ในการกำจัดเรย์ที่ได้วิชาดาบขี้โกงมาแบบง่ายๆ พร้อมกับใช้ความสามารถของแมมม่อนขโมยทักษะของเรย์มาซะเพียบ จนเรย์ไม่มีอะไรให้ใช้นอกจากวิชาดาบขี้โกง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เพราะวิชาดาบขี้โกงจะโกงก็ต่อเมื่อใช้ร่วมกับวิชาอื่น

เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การเนิร์ฟพระรองที่บัดซบสุดๆ

“แต่ก็มีบ่อยครั้งที่เผ่าอสูรไม่อาจควบคุมโลหิตลักษณะพิเศษของตัวเองได้ จนใช้โดยไม่รู้ตัวและทำให้คนหลายคนต้องตาย กลายเป็นว่าเผ่าอสูรก็ต้องถูกล่าและค่อยๆหายสาบสูญไปในที่สุด ระดับที่ยุคโบราณเวลานั้น เผ่าอสูรก็ใกล้สูญพันธ์เป็นที่เรียบร้อย”

จะมีเหลือก็แค่แมมม่อนคนเดียวสินะ

“แมม่อนเวลานั้นเองก็ควบคุมโลหิตพิเศษของตัวเองไว้ไม่อยู่ และออกอาละวาดไปทั่ว ถูกไล่ล่าจนต้องมาแอบอยู่ในถ้ำ”

ผมพยักหน้ารับพลางมองภาพเหตุการณ์ที่ฉายไปเรื่อยๆ

“แล้วก็จำไม่ผิด แมมม่อนตกหลุมรักจอมมารด้วยนะ”

“…เนื้อหอมจริงๆนะ เบลลามีเนี่ย”

 

****

ภายในถ้ำเกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับเสียงร้องอันน่าหวาดกลัวที่มาพร้อมกับแสงสีเลือด

ตรงหน้าของทุกคนคือผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์ราวสองเมตรที่มีผมปิดหน้าปิดตายาวถึงเอว ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยสักสีเลือด ร่างถูกห่อหุ่มด้วยโลหิตจำนวนมหาศาล

“อ๊ากกกกกกกกกก—-”

ชายร่างยักษ์ร้องตะโกนราวกับกำลังถูกดูดบางอย่างไปจนจะขาดใจตาย ขณะเดียวกัน อีกฝั่งที่เฝ้ามองนั้นกลับมีคนหนึ่งที่ชิลเกินขาด

“เร่งขีดจำกัดร่างกายได้ขนาดนี้เลยสินะ เผ่าอสูรเนี่ย น่าสนใจจริงๆ”

“ดะ เดี่ยวสิๆ! ใช่เวลามาชิลมั้ยครับเนี่ย!?”

“ท่านดิลุคหนีเถอะค่ะ นั่นเผ่าอสูรเชียวนะคะ เผ่าอสูรที่ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่สุดบนโลก! ระดับที่ข้ารับใช้บนสวรรค์ต้องลงมาปราบเชียวนะคะ ถึงจะหายสาบสูญไปกันจะหมดแล้วแต่–ก็ยังน่ากลัวอยู่ดีค่ะ!”

“ใช่ไง เพราะอย่างนั้นเลยใกล้หายสาบสูญ และหาดูได้ยาก แปลกตรงไหนที่เราจะอยากมองดู”

ในขณะที่ดิลุคกำลังปลื้มกับเผ่าอสูรนั้น เมลเบล หรือ บิลเซบับในอนาคต และ อันเดียอัส หรือ แอสโมเดียสในอนาคตได้แต่ยืนตัวสั่นอย่างกับลูกกว้างพึ่งเกิด

ขี้ขลาด? ไม่ใช่ มันคือสถานะที่คนสติดีๆเขามีกันเมื่อเจอกับเผ่าอสูร ซึ่งอาจบอกได้ว่าดิลุคสติไม่ค่อยดี

ดิลุคค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อสูรตนนั้น 

“อัลโล ได้ยินรึเปล่า หนุ่มน้อยเผ่าอสูร ..อือ ไม่ได้ยินสินะ นั่นสินะ ควรจะเป็นอย่างนั้น”

หนุ่มน้อย? EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq

“หนุ่มน้อยเหรอคะ? ดูยังไงก็หนุ่มล่ำที่ดูน่ากลัว”

“เผ่าอสูรน่ะเป็นเผ่าคนตัวเล็ก แต่เมื่อใช้ขีดจำกัดสายเลือดของตัวเอง ร่างจะขยายขึ้นพร้อมกับรอยสักสีเลือดตามตัว ทั้งพลังกาย ทั้งพลังเวทย์จะเพิ่มขึ้นมหาศาล แลกกับวิญญาณที่เกิดการสั่นสะเทือน และสติปัญญา แน่นอนว่าไม่มีทางอยู่ร่างนี้ได้นาน และแน่นอนว่าถ้าฝืนอยู่นานก็จะค่อยๆตายไปอย่างไม่น่าดู”

ดิลุคเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหนุ่มน้อยเผ่าอสูร

“ดูจากสภาพแล้ว เวลาน่าจะเหลือไม่มาก”

ดิลุคยื่นมือเข้าไปแตะหน้าอกของหนุ่มน้อยเผ่าอสูร

“เอาเป็นว่าใจเย็นๆนะ ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว ..เราไม่ใช่ศัตรู”

เลือดพุ่งปาดแขนของดิลุค

“ท่านดิลุค!!”

“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เหมือนกับการสนทนากับสุนัขคลั่งครั้งแรกนั่นแหละ ..”

สุดท้ายมือก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอกของเด็กน้อยเผ่าอสูร

สัมผสที่อ่อนโยนทำให้หนุ่มน้อยเผ่าอสูรร่างกายค่อยๆหดลง พร้อมกับรอยสักสีเลือดที่สลายไป จากชายร่างใหญ่ ได้กลายเป็นชายร่างเล็กที่สูงราวๆ 140 กว่าๆเพียงเท่านั้น

เด็กหนุ่มล่วงลงพื้น ดิลุครับร่างนั้นไว้และค่อยๆวางลงพื้น

“เมลเบล ให้เด็กคนนี้นอนหนุนตักทีสิ”

“เอ๋ ทำไมต้องฉันล่ะคะ?”

“คิดว่าถ้าตื่นมาจากฝันร้ายแล้วได้นอนหนุนตักใครสักคนเข้า จะมีความสุขน่ะ”

“ไม่ไหวค่ะๆ ฉันกลัวเผ่าอสูรจะตายไป”

“ถ้านั้นอันเดียอัสก็ได้”

“เอ๋ ถามจริงสิครับ เป็นผมนะ ถ้าตื่นมาพบว่านอนหนุนตักผู้ชายเข้า ผมโกรธจริงๆนะครับ ทำไมท่านดิลุคไม่ให้เขานอนตักเองเลยละครับ”

ดิลุคหรี่ตามองหนุ่มน้อย ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนตอบ

“อยากเก็บไว้ให้คนรักน่ะ”

“ “มะ มุมมองสาวน้อยสุดๆ” ”

“เห็นแบบนี้แต่เราก็ปราถนาในเรื่องความรักอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไว้หลังจากนี้อีกสักหลายหมื่นปีข้างหน้า”

“นี่คิดอยู่ยังโลกแตกเลยเหรอครับเนี่ย”

ดิลุคเมินอันเดียอัสที่ชอบตบมุก แล้วลงมานั่งกับพื้นและยื่นขาไปหนึ่งข้างในหนุ่มน้อยหนุน

“พวกเธอเองก็ยื่นขามาคนละข้างทีสิ เราจะให้หนุนขาสามคนทีเดียวสามข้างเลย”

“ไม่ใช่หนุนตัก แต่เป็นหนุนขา แถมทีเดียวสามคน แล้วคนละข้างด้วย นี่มัน..น่ากลัวแฮะ”

“เอ่อ เข้าใจแล้วค่ะ”

แม้จะไม่อยากเท่าไหร่แต่ก็ยอมทำกันในที่สุด ทำให้เกิดภาพสยองมากกว่าอบอุ่นขึ้น คนสามคนยื่นขาคนละข้างมาให้หนุ่มตัวเล็กหนุน

ไม่นาน เด็กหนุ่มก็ได้สติ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนหนุนขาคนสามคนอยู่ก็รีบกระโจนตัวหนีออกมา และแยกเคี้ยวใส่

“ดูกลัวสุดๆเลยนะคะนั่น”

“วิธีหนุนตักแบบนี้มันฝันร้ายชัดๆครับ”

ดิลุคถอนหายใจ

“อย่าเรื่องมากนักเลย หนุ่มน้อย ว่าแต่ชื่ออะไรรึ?”

“ำดสาำนดาไนกดไกนไกานไกไกวไกไกากาไ!!!!”

“อือ เหมือนจะไม่เข้าใจภาษาพูด นั่นสินะ เกิดมาก็ถูกล่าจนไม่ได้คุยกับใครเลยกระมัง จะไปเข้าใจอารยธรรมภาษาที่มนุษย์มีกันได้อย่างไร สภาพตอนนี้คงไม่ต่างกับพวกสุนัขคลั่งเสียเท่าไหร่”

กล่าวจบดิลุคก็ลุกขึ้นและเดินไปหาอย่างช้าๆ หนุ่มน้อยทำท่าขู่ เธอจึงลดสปีดการเดินลง และค่อยๆเดินไปช้าๆอย่างนุ่มนวลโดยที่ยืนมือไปให้ด้วย

“ครือ!!!!!!!!”

เสียงขู่ดังขึ้นอย่างน่าหวาดกลัว ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ทำให้หนุ่มน้อยคนนี้มีพลังกายมหาศาลระดับฉีกร่างของมนุษย์อย่างดิลุคออกได้ง่ายๆ ถึงกระนั้นก็ไม่มีความกังวลอยู่ในหน้าของดิลุคเลย

“ค๊ากกก!!!”

เมื่อเข้าไปใกล้มาก หนุ่มน้อยก็เข้ามากัดที่แขนของดิลุค

“นะ นี่แก!!”

เมลเบลรีบวิ่งเข้ามาจะช่วย แต่ดิลุคก็ยกมือขึ้นมาห้ามไว้

“ไม่จำเป็นหรอก ..ไม่ได้เจ็บอะไรเลย”

ระหว่างที่พูดแขนของดิลุคก็ถูกกัดไปด้วย ดิลุคค่อยๆวางมือไว้บนหัวของหนุ่มน้อย

“…ไม่เป็นอะไรนะ”

“…..”

ดิลุคยิ้มให้

“อารมณ์จะทำให้ขีดจำกัดสายเลือดถูกเปิดใช้งาน เพราะอย่างนั้น ต้องควบคุมอารมณ์ไว้ให้ได้ ก่อนอื่นก็เริ่มจากผ่อนคลาย ทางนี้ไม่ใช่ศัตรู เป็นมิตรต่างหาก มิตรเขาไม่ฆ่ากัน มิตรจะอยู่เคียงข้าง โอเครนะ?”

แม้พูดไปอีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจความหมาย แต่เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากน้ำเสียงจนผละตัวออกจากแขนของดิลุค

“ท่านดิลุค ..แขนมัน”

“เละสุดๆ”

แขนของดิลุคอยู่ในสภาพที่แหวะจากแรงกัดอันมหาศาลของเผ่าอสูร พอโดนปล่อยไปแล้วแขนก็ลอยไปมาอย่างไร้แรงควบคุม 

“เหมือนว่าแขนนี่จะใช้การไม่ได้แล้วละ”

“…”

หนุ่มน้อยมองมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เราเข้ามาในเขตุของเธอ จะโกรธ จะป้องกันตัว มันไม่ได้ผิดอะไรเลย แขนนี่น่ะ ไว้ค่อยรักษาทีหลังก็ได้ แต่ก็ต้องระวังเรื่องติดเชื้อโรคหรือว่าอะไรต่างๆนานาอีก อือ ก็เป็นปัญหานั่นแหละนะ แต่ก็ไม่เป็นไร–ให้เราจัดการเอง”

ดิลุคหันไปหาเมลเบล

“ขอผ้าที่ดีที่สุดที”

“มีแต่ผ้าคลุมที่เก็บได้ตามพื้นนี่ค่ะ”

“อือ ขอบใจ”

ดิลุครับผ้าคลุมมาและโอบร่างของหนุ่มน้อยไว้ด้วยผ้าคลุม

“ชื่อว่าอะไรหรือ?”

…..

ดิลุคชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ดิลุค”

ชี้นิ้วไปหา เมลเบล

“เมลเบล” ชี้นิ้วไปหาอันเดียสอัส “อันเดียอัส”

สุดท้ายจึงชี้มาหาตัวหนุ่มน้อย

“….”

“ไม่มี?”

หนุ่มน้อยพยักหน้ารับ ถึงจะพูดไม่ได้ก็คงพอรู้เรื่องภาษาอยู่บ้าง

“ ‘แมมม่อน’ จากนี้ไปนี่คือชื่อของนาย ถ้าไม่มีพ่อแม่ให้ชื่อ เราก็จะเป็นพ่อกับแม่ให้เอง”

“แม..”

“ม่อน”

“แม-ม่อน”

“แมมม่อน ต่างหาก ขาดเสียง ม ไปนะ อือ แต่ประมาณนี้ก็ดีแล้วละในช่วงแรก”

เมื่อพูดคุยกับหนุ่มน้อย หรือ–แมม่อน เสร็จแล้ว เธอก็มองไปที่แขนตัวเองที่สูญเสียการควบคุมไปแล้ว ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า

“ไปรักษาแขนที่ไหนได้บ้างนะ”

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset