< < 154 Sec1 > >
ภายในห้องเช่าเล็กๆ ณ เมืองกลางป่าเขาที่เหล่ามนุษย์ครึ่งสัตว์อาศัยอยู่กันนั้น มีหญิงสาวสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันและขยับมือไปมาแบบแปลกๆ
‘ดิลุค’ บุตรแห่งพระเจ้า ผู้ถือครองปัญญาพระเจ้า เธอควบคุมลมหายใจตัวเองอย่างบรรจง เพียงไม่นาน เปลวเพลิงน้อยๆก็ผุดขึ้นจากฝ่ามือ และพริบตาเดียวมันก็ขยายใหญ่ขึ้นขนาดเทียบเท่ากับแขนของเธอ ‘ลิเวียธาน’ มังกรน้ำผู้สวยแต่รูป จูบไม่หอม พยักหน้าพึมพำเมื่อเห็นดิลุคใช้เวทมนตร์
“ไม่เลวนี่ สำหรับมือใหม่แล้ว”
‘เกินคำว่าไม่เลวไปเสียด้วยซ้ำ ..ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ แต่ยัยนี่เซนส์ดีจริงๆ’ ลิเวียธานคิดในใจอย่างหงุดหงิด
“..นี่น่ะเหรอเปลวเพลิงที่ถูกสร้างจากสะสารในร่างกาย”
“พรจากพระเจ้าต่างหากค่ะ สะสารอะไรกันไร้สาระ”
“ร่างกายนั้นเป็นของเรา มิใช่ของทวยเทพรึว่าของใครทั้งนั้น”
“เป็นแค่มนุษย์ชั้นต่ำ แต่ยกตัวเองสูงน่าดูนะ ถ้าเป็นดิฉันก็ว่าไปอย่าง”
‘เมลเบล’ มนุษย์ธรรมดาของจริง มองมาที่ทั้งสองอย่างหน่ายใจ พลางคิดว่า ‘จะทะเลาะกันอีกแล้ว’
คนหนึ่งก็หลงตัวเอง อีกคนก็พูดตรงเกินไป ผลลัพธ์คือทะเลาะกันซะทุกวัน
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น เด็กชายสองคนเดินเข้ามาในห้อง
‘อันเดียอัส’ หนุ่มนักรักโบกไม้โบกมืออย่างร่าเริง
“คุณลิเวียธาน ไปเดทกันเถอะครับ!”
“เอามาห้าเหรียญทอง แล้วจะไปด้วย”
“มะ มีไม่ถึงหรอกครับ เงินขนาดนั้น”
“ถ้านั้นก็ฝันไปเถอะ ไอ้จน คาก ถุ้ย เช็ดน้ำลายให้ด้วย”
“อ๊ะ ครับ”
ตั้งแต่ที่เจอกันวันแรก อันเดียอัสคนนี้ก็พยายามเข้าหาลิเวียธานอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งผลที่ได้ก็คือสถานะเจ้านายและคนรับใช้แทน
ระหว่างที่อันเดียอัสเช็ดน้ำลายให้ลิเวียธานนั้น ‘แมมม่อน’ หนุ่มน้อยเผ่าอสูรก็เดินเข้ามานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างดิลุคและลิเวียธาน
“คุณดิลุค พัฒนาไปได้ไกลมาก”
“ก็ธรรมดานี่ ดิฉันสมัยอายุเท่ากันน่ะสุดยอดกว่าเยอะ”
“..ไม่มีใครสุดยอดกว่าคุณดิลุคแล้ว เชื่ออย่างนั้น”
ลิเวียธานได้ยินก็หัวเราะขึ้นจมูกอย่างดูถูก ฝั่งแมมม่อนไม่ได้ใส่ใจอะไร เรียกว่าเมินก็คงได้
เมลเบลมองภาพที่เหมือนกับทุกๆวัน นับจากที่เจอกับลิเวียธานก็ผ่านมาได้ราวสี่เดือนแล้ว ในช่วงแรกเธอสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรของลิเวียธาน แน่นอน ตอนนี้ก็ยังมี แต่มันต่างจากวันแรก ว่ายังไงดีนะ ..มันให้ความรู้สึกเหมือนว่า ไม่เป็นมิตรเพราะไม่ไว้ใจ กับไม่เป็นมิตรเพราะนิสัยใจคอ มันแตกต่างกัน
ช่วงแรกลิเวียธานคืออย่างแรก แต่หลังๆมานี้คืออย่างที่สอง ที่ดูไม่เป็นมิตร เป็นเพราะนิสัยเง่าๆของเธอล้วนๆเลย
พัฒนาการณ์? ถ้าใช่ ก็ดูเป็นการพัฒนาที่ดูน่าเศร้าอย่างไรชอบกล คล้ายจะบอกว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ ลิเวียธานคนนี้ก็จะมีนิสัยหมาไม่แดกตลอดไปนั่นแหละ
นอกจากเรื่องของลิเวียธานแล้ว แมมม่อนก็ดูเป็นคนมากขึ้น ข้อสันนิฐานที่ว่าแมมม่อนนั้นฉลาดก็ดูจะจริงด้วย หลังๆมานี้แมมม่อนสามารถพูดได้เยอะมาก อ่านหนังสือได้คล่องกว่าเมลเบลแล้วก็อันเดียอัส ทำอะไรหลายอย่างได้ดีมากกว่าตัวเองเยอะเลย แล้วก็เริ่มเรียกดิลุคนำหน้าว่า ‘คุณ’ แล้วด้วย นอกจากดิลุค ก็เรียกทุกคนห้วนๆ พฤติกรรมอาจไม่ถึงกับแย่ แต่ก็ดูออกได้เลยว่าแมมม่อนปฏิบัติกับทุกคนต่างกับดิลุคมากโขทีเดียว
แน่นอนว่าอย่างน้อยก็ดีว่าลิเวียธานละนะ
แล้วก็เหมือนว่าดิลุคจะได้เรียนรู้เวทมนตร์กับลิเวียธานเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนี้เธอไม่ต่างกับนักเวทย์ที่มีฝีมือเลย ถึงกระนั้นแขนข้างที่ใช้ไม่ได้ก็ยังคงใช้ไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เมืองต่อกี่เมือง ก็ไร้ซึ่งผู้พิเศษที่สามารถรักษาแขนให้ดิลุคได้ ไม่ว่าจะเผ่าพันธ์ุชั้นสูงในหมู่มนุษย์ชั้นต่ำอย่างเผ่ามังกรน้ำ หรือเผ่าต่างๆก็ไม่มีใครที่รักษาได้ เพราะการรักษา คือพรวิเศษบนโลกใบนี้ เวทมนตร์ไม่สามารถใช้รักษาได้ (ณ ยุคโบราณ) นี่คือเรื่องน่าเสียดายเดียวในหมู่เรื่องน่ายินดีทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ..ชีวิตตอนนี้ก็ดีพอแล้วละ
ดิลุคคุยเรื่องเวทมนตร์พลางแซะกับลิเวียธานไปมา แมมม่อนนั่งฟังอยู่ข้างๆ อันเดียอัสไปเกาะแกะลิเวียธาน แล้วก็เมลเบล คอยเฝ้ามองภาพๆนี้ แล้วก็เข้าไปห้ามในจังหวะที่น่ากลัว–ภาพเหล่านี้คือภาพที่ได้เห็นในทุกๆวัน เป็นชีวิตปกติของพวกเรา
“ทุกคนได้เวลาอาหารแล้วนะคะ”
พักหลังๆมานี้ เมลเบลจะรับหน้าที่ทำอาหารให้ทุกคนแทน แน่นอน แมมม่อน ดิลุค รวมถึงอันเดียอัสนั้นทำอาหารเก่งกว่าเธอ แต่เธอก็ได้รับหน้าที่นี้เพราะไม่มีใครอยากทำเท่าไหร่
อนึ่ง ลิเวียธานทำอาหารได้ห่วยแตกมาก
“เข้าใจแล้ว ถ้านั้นพอแค่นี้ก่อนละกัน ลิเวียธาน”
ลิเวียธานลุกขึ้นไปหยิบถ้วยมาก่อนใครเพื่อน
“หิวจะตายอยู่แล้ว ชักช้าจริงๆเลยนะ”
“โทษทีนะ ก็วันนี้ทำของยากนิดหน่อย”
สตูว์เห็ด
“ชอบทำอะไรไม่ดูความสามารถตัวเองเลย รีบๆตักใส่ถ้วยให้ดิฉันได้แล้ว”
ถึงจะทำปากเสีย แต่ลิเวียธานชอบอาหารที่เมลเบลทำ เรื่องนี่ทำให้เธอดีใจเล็กน้อย
“ไม่อิ่มขอเพิ่มได้นะคะ”
“เออ”
ดิลุคทำท่าจะเดินมาเป็นคนที่สอง แต่จู่ๆก็หยุดเดินลงก่อน เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
“วันนี้ว่าจะไปสำรวจรอบๆหอคอยหน่อยน่ะ มีใครจะไปบ้าง”
….
“คุยกันแล้วไม่ใช่รึไงว่าระดับในหอคอยมันสูงเกิน แม้แต่ดิฉันถ้าเข้าไปก็คงตายแน่นอน ถ้าจะรักษาแขนใช้วิธีอื่นนอกจากพิชิตหอคอยดีกว่า”
“แค่จะเก็บข้อมูลเผื่อไว้สำหรับอนาคตเท่านั้น”
ดิลุคจ้องตากับลิเวียธาน
“เรารู้ขีดจำกัดตัวเองดี ไม่ทำอะไรบ้าๆหรอก”
“รู้ตัวก็ดี”
“พูดเช่นนี้ เป็นห่วงนั้นรึ?”
“อย่ามาบ้า”
****
หอคอยยักษ์ที่ตั้งอยู่บริเวณป่านอกตัวเมืองมีขนาดยาวนับกิโลเมตร และว่ากันว่าภายในหอคอยนั้นมีมอนสเตอร์อยู่เป็นจำนวนมาก เพราะมอนสเตอร์มักจะออกมาจากหอคอยมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ภายในป่า ทั้งมอนสเตอร์ที่อ่อนแอ และแข็งแกร่ง
นอกจากนั้นก็มีข่าวลือว่าหากเคลียร์หอคอยได้ก็จะขอพรกับภูตในหอคอยได้หนึ่งอย่าง ซึ่งบนโลกที่ไร้ซึ่งเวทมนตร์รักษาแล้ว เราก็จะสามารถขอพรให้รักษาร่างกายให้ตัวเองได้ หากเคลียร์ได้สำเร็จ ต่อให้เป็นข่าวลือก็ตาม
เพราะอย่างนั้น จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ที่จะเข้าไปเสี่ยง แม้ว่าตอนแรกจะถูกลิเวียธานหลอกว่าแค่เข้าไปในหอคอยก็รักษาร่างกายได้แล้วก็ตาม ..แต่ภายหลัง เหมือนเจ้าตัวจะกลับใจ และอธิบายทุกอย่างให้ฟังโดยระเอียด
จุดนี้อาจมองว่าทีแรก ลิเวียธานมีเจตนาหลอกดิลุคไปกระทำชำเราก็เป็นได้ ..นิสัยช่างน่าอัศจรรย์อะไรขนาดนี้กันนะ
ด้วยเหตุนี้เอง ดิลุคจึงตัดใจจากหอคอยไป เพราะอันตรายแล้วก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้นด้วย
แต่ด้วยความว่างหรือว่าอะไรก็ไม่รู้ ดิลุคดันอยากจะสำรวจรอบๆหอคอยดู แต่ก็ใช่ทุกคนที่จะว่าง
อันเดียอัสไม่รู้ไปทำอะไร แต่คงจะไปจีบสาวในเมืองแล้วคงนกกลับมาตามเคย
จึงเหลือราวสี่คนที่ไปด้วย
“ปากบอกว่าจะจีบลิเวียธานแท้ๆเชียว แต่ดันไปเดินตามตูดผู้หญิงคนอื่นเอาซะทุกวัน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่”
ดิลุคพึมพำขึ้นมาขณะเดินอยู่ในป่า ทุกคนต่างเงียบรอการตอบกลับของลิเวียธาน
“..อ๋อ จะว่าไปหมอนั่นไม่ได้มาด้วยนี่นา”
ไม่รู้สึกถึงตัวตนเลย
“ทางนี้คาดหวังปฏิกิริยาน่ารักไว้แท้ๆเชียว”
“อย่าได้คาดหวังกับอะไรแปลกๆเลย ดิฉันน่ะอยู่ในฐานะผู้ล่า มิใช่ผู้ถูกล่า ไอ้การหึงน่ะมันก็แค่ความรู้สึกนึกคิดของผู้ถูกล่าที่กลัวจะถูกแย่งของๆตัวเองไปก็เท่านั้น เป็นการกระทำที่ไม่เข้ากับดิฉันผู้สูงส่งเลยสักนิด แล้วก็ผู้ชายพรรค์นั้นใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ”
ออกความเห็นได้อย่างตรงประเด็น สมแล้วที่เป็นคนที่นิสัยไม่น่าคบที่สุดเท่าที่เคยรู้จักมา
“ว่าแต่ว่า ท่านดิลุคสงสัยอะไรในตัวหอคอยหรือคะ? เห็นมาสำรวจแถวๆนี้บ่อยมากเลย”
ทั้งที่ตัดสินใจจะไม่เข้าไปลุยหอคอยไปแล้ว
“..ในเมืองที่ใกล้กับหอคอยนี้ เหมือนจะมีเรื่องเล่าในตำนานเล่าต่อๆกันมาน่ะ” ดิลุคพูดไปพลางเดินสำรวจรอบๆไปด้วย “ข่าวลือที่ว่าที่แห่งนี้เคยมีสัตว์ประหลาดคลั่งออกอาละวาดจนทวยเทพต้องสั่งการ ‘ทูตสวรรค์’ ให้ออกมาจัดการสัตว์ประหลาดตนนั้น”
“อ๋อ ตำนานการปราบสัตว์ประหลาดของทูตสวรรค์ ‘ลูซิเฟอร์ อาซาเซล มิคาเอล’ นั่นน่ะเหรอ เหมือนจะดังในละแวกนี้ทีเดียว”
ตำนานทวยเทพ ตำนานสัตว์ประหลาด รวมถึงตำนานทูตสวรรค์นั้นมีอยู่มากมายตามแต่ละท้องที่บนโลกใบนี้ และแน่นอนว่าทั้งหมดล้วนมีเศษเสี้ยวของเรื่องจริงอยู่ เพราะทวยเทพผู้ปกครองโลก รวมถึงข้ารับใช้แห่งสวรรค์อย่าง ทูตสวรรค์ ก็ล้วนมีอยู่จริงทั้งสิ้น
หนึ่งในตำนานนับร้อยนับพันทั้งหมด ที่แห่งนี้ก็มีตำนานการปราบสัตว์ประหลาดบันทึกเอาไว้อยู่
ดิลุคแหงนหน้ามองฟ้าก่อนจะพูดขึ้นมา
“หลายร้อยปีก่อน โลกได้ให้กำเนิดมนุษย์กลายพันธ์ุขึ้นมา เป็นเด็กสาวที่ครอบครองพลังนับอนันต์เอาไว้กับตัวโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็คลั่งและทำลายล้างทุกอย่าง ความเสียหายขยายขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ชั้นต่ำทั้งหลายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ เพื่อป้องกันไม่ให้โลกล่มสลาย ทวยเทพทั้งสิบจึงออกคำสั่งให้ทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามออกไปกำจัด” ดิลุคหรี่ตามองหอคอยที่ตั้งตะหง่านอย่างหวนนึกถึง “ใช้เวลากว่าสิบวันในการกำจัด ในที่สุดสัตว์ประหลาดก็พ่ายแพ้ และถูกผนึกเอาไว้ในที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้”
เมลเบลสังเกตุได้ถึงความรู้สึกแปลกๆที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของดิลุค ราวกับว่าเธอรู้จักเรื่องนี้ดีกว่าใครๆ …แล้วก็รู้สึกเสียใจกับบางเรื่องอยู่คนเดียวภายในอก
“ไม่ได้คิดว่าสัตว์ประหลาดที่ว่าถูกผนึกอยู่ภายในหอคอยนั่นนะ?”
“เราคิดอย่างนั้น”
ดิลุคกล่าวออกมาตรงๆ ลิเวียธานได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเฮือกโต
“ไร้สาระ ดิฉันขอตัวกลับก่อนละกัน”
“เชิญเลย …เดี่ยวก่อน”
ขณะที่ลิเวียธานกำลังเดินไปนั้นเองก็เกิดแสงสว่างขึ้นมา แสงนั้นโอบร่างของลิเวียธานเอาไว้—ดิลุครีบวิ่งเข้าใส่สุดตัว เธอยื่นมือออกไปตั้งใจจะผลักออก ทว่าวินาทีที่สัมผัสกับผิวกายของลิเวียธาน
ทั้งสองก็ได้หายไปจากที่แห่งนี้ …
…..
….
“..ดิลุค?
แมมม่อนพึมพำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่น
****
ควบคุมอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถคุมตัวเองไว้ได้ สุดท้ายก็ทำลายทุกอย่าง ไม่ว่าจะครอบครัว บ้านเกิด หรือว่าโลกใบนี้ ทุกอย่างถูกทำลายจนสูญสิ้น ภาพที่เห็นเป็นครั้งสุดท้าย คือภาพของตัวเองที่ยืนอยู่บนกองศพของผู้คน และเห็นท่านทูตสวรรค์ลอยอยู่บนฟ้า มองเธอจากที่สูงด้วยแววตาที่สมเพซ
นั่นคือฝันร้ายที่หมุนเวียนไปมาในหัวนับร้อยๆปี ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บางทีนี่อาจจะเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ เป็นบทลงโทษที่เธอต้องได้รับจากบาปที่ก่อเอาไว้
กระนั้น การลงทัณฑ์ที่ว่าก็ไม่มีวันจบ
สาวน้อย ..เด็กสาวทั่วๆไปฝันถึงฝันร้าย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยู่คนเดียว เดียวดาย ไร้ผู้คน ในห้องมืดๆที่ไร้ซึ่งแสง มีเพียงโซ่ที่ตรึงร่างเอาไว้ มีเพียงดาบที่แทงทะลุร่างกายเล็กๆนี่
โลหิตไหลออกจากร่างในทุกๆวินาที กระนั้นก็ไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีกแล้ว เพราะผ่านมานานแล้ว เพราะชินกับทุกความเจ็บปวดแล้ว
…..
….
“..ทวยเทพ”
….
“..จะทำลาย”
…
“ให้หมด”
ไอร้อนปะทุขึ้นทั่วทั้งร่าง ดาบหนึ่งเล่มพุ่งผ่านร่างของเด็กสาว ไอร้อนทั้งหมดดับไปพร้อมกับสติ
“…”
การลงทัณฑ์จะดำเนินต่อไป และจะไม่มีวันจบ เว้นเสียแต่ว่า–จะมีใครสักคนทำให้มันจบลง