< < 154 Sec2 > >
แสงสว่างแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดเพียงแค่กระพริบตาปริบเดียว
“..ที่ไหนกันนะ”
“….”
“..สัมผัสแบบนี้ เขาแหลมๆนี่ด้วย ลิเวียธานสินะ เหมือนพวกเราจะโดนวาร์ป”
“…”
“แต่โชคดีนะที่ยังวาร์ปมาพร้อมๆกัน ..เว้นแต่ว่าทางนั้นคิดจะฉวยโอกาสนี้เชือดเรา”
“…”
“..นี่ ตอบหน่อยสิ”
“…”
“[ไฟเยอร์]”
เปลวเพลิงปรากฏขึ้นกลางที่มืด ภาพแรกที่ปรากฏคือเขาของลิเวียธานที่ตั้งอยู่ช่วงเอวของดิลุค พร้อมกับร่างกายที่สั่นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนั้นลิเวียธานก็ใช้แขนทั้งสองข้างกอดเอวของดิลุคเอาไว้ด้วย
“เรื่องน่าอัศจรรย์สินะ? จู่ๆก็เข้ามากอดกันเช่นนี้ ทำเป็นเมลเบลตอนพึ่งฟังเรื่องผีไปได้ ไม่ใช่นิสัยเธอเลยนะ ลิเวียธาน”
“นะ หนวกหูน่า!”
ลิเวียธานรีบผละตัวออกจากร่างของดิลุค แต่พอจะหลุดออกจากเขตุที่เปลวเพลิงส่งถึงหล่อนก็เขยิบตัวเข้ามาประชิดเพื่อไม่ให้หลุดจากแสงจากเปลวเพลิง ดิลุคหรี่ตามองอย่างนึกสนุก
“จริงๆก็จับสังเกตุมาได้นานแล้วนั่นแหละ ไอ้พฤติกรรมแปลกๆที่ต้องจุดไฟตลอดเวลานอนเอย หรือจะไม่ออกไปไหนตอนกลางคืน หรือแม้แต่เรื่องที่จะไม่ยอมเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน ทั้งหมดเป็นเพราะอย่างนี้เองสินะ”
“พล่ามอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
ลิเวียธานทำเชิดก่อนจะจุดเพลิงขึ้นมาเหมือนๆกับดิลุค
“กลัวที่มืดก็ไม่บอก”
“ไม่ได้กลัว”
ดิลุคเดินไปข้างหน้าต่อโดยไม่โต้ตอบอะไร เธอใช้เปลวเพลิงส่องดูพื้นที่โดยรอบและพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องเล็กๆที่มีห้องให้ไปต่อราวๆสี่ทาง ตัวห้องนั้นถูกสร้างโดยหินที่มีความคงทนต่อเวทมนตร์สูงมาก
“ใช้เวทมนตร์ทำลายหาทางออกคงไม่ไหว”
“แล้วที่นี่ที่ไหน”
“ความเป็นไปได้ที่จะเป็นภายในหอคอย ราวๆครึ่งต่อครึ่งเลย” ดิลุคสัมผัสผิวของผนังห้อง “วัสดุแล้วก็ดีไซน์ เหมือนกับภายนอกของหอคอยเป๊ะๆเลย”
…..
“แค่เป็นไปได้นะ ไม่มีอะไรมายืนยัน บางทีอาจจะโดนส่งมาครึ่งฉีกโลก หรือบางทีอาจจะโดนส่งมาประสาทใครสักคน ไม่ก็ ภาพหลอน แต่ถ้าดูจากสถานที่ที่เรายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นหอคอยก็มีมากกว่า”
ลิเวียธานได้ยิน อารมณ์ก็เริ่มไม่คงที่ เธอเริ่มหายใจแปลกๆแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโมโหร้อน
“..เรื่องบ้าอะไรกัน ..ชีวิตของดิฉัน จะมีบทสรุปแบบนี้ได้ยังไงกัน ..”
“มอนสเตอร์มากมาย ทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่งล้วนถูกสร้างมาจากภายในหอคอย ..เราน่ะ ถึงจะมากด้วยปัญญา แต่ไม่ได้แข็งแกร่ง เวทมนตร์ที่เรียนมาก็ไม่ได้มั่นใจว่ามันจะช่วยให้เอาตัวรอดในสถานการณ์นี้ได้ เพราะอย่างนั้น–คงต้องพึ่ง เผ่าพันธ์ุที่แข็งแกร่งว่าอย่างเธอ”
ลิเวียธานยิ้มเหยาะใส่ดิลุค
“คิดว่าตัวเองจะรอดได้จริงๆรึไง?”
“ถ้าไม่คิดอย่างนั้นก็เท่ากับว่าตายไปแล้ว”
“..แทนที่จะดิ้นดนสุดชีวิตแล้วไปตายเอาดาบหน้า สู้เอาคืนกับสิ่งที่โดนแกกระทำจะดีกว่านะ” ลิเวียธานยิ้มให้อย่างน่ากลัว “เห็นด้วยมั้ย?”
….
“แบบนี้นี่เอง— ”
สายน้ำพุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงของดิลุค เปลวเพลิงดับไป ท่ามกลางเปลวเพลิงตรงหน้าเผยให้เห็นร่างของลิเวียธานที่พุ่งใส่ตัวดิลุคอย่างสุดแรง–ร่างกายอันบอบบางของดิลุคถูกดันไปชนเข้ากับผนังกำแพง ความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกาย
บริเวณแผลตรงแขนข้างขวาเองก็ฉีกขาดอย่างฉับพลันจากแรงกระแทก ความเจ็บปวดมากมายส่งผลให้มีน้ำตาเล็ดออกมาจากดวงตาของดิลุคโดยธรรมชาติ
“อึก”
แม้แต่ดิลุคก็ยังเก็บเสียงร้องไม่ไหว-ลิเวียธานใช้แขนอีกข้างบีบเข้าที่คอของดิลุค จากนั้นก็ลงแรงกดเข้าไปที่นิ้วของตัวเอง กดลำคอของดิลุคสุดแรง
คนๆนี้-ตั้งใจฆ่า
“ลิ..เวียธาน..เธอ..”
“ทั้งหมดมันเป็นเพราะเธอนั่นแหละ! ถ้าเกิดว่าดิฉันไม่โดนลากไปไหนมาไหนด้วย เรื่องมันก็คงจะไม่จบที่พวกเราโดนส่งมาในหอคอย แล้วก็ต้องมารอวันตายในไม่ช้า!”
“สติแตก?”
“เออสิ! ในสถานการณ์แบบนี้ ใครมันจะไปควบคุมสติตัวเองได้กัน!”
ดิลุคพยายามใช้แรงจากแขนข้างเดียวสู้สุดชีวิต แน่นอนว่าแค่สรีระร่างกายต่างกันเกินไป จึงไม่อาจสู้อะไรได้ ผนวกกับลมหายใจที่ถูกชิงไปจากแรงบีบคอของลิเวียธาน
กำลังจะตาย–อีกนิดเดียวจะสำเร็จแล้ว ในห้วงเวลานั้น-ดิลุคใช้มือข้างซ้ายของตัวเองสัมผัสเข้าที่ปลายนิ้วของลิเวียธาน แสงจากวงจรเวทย์ส่องสว่างขึ้นมา
“[วอเธอร์]”
น้ำพุ่งใส่หัวของทั้งสองคน รวมถึงเปลวเพลิงที่ลิเวียธานสร้างขึ้นด้วย
ทันทีที่ไร้แสงสว่าง ลิเวียธานก็ผละตัวออกจากร่างของดิลุคทันที ดิลุคใช้จังหวะนั้นเตะลิเวียธานออกจากระยะจู่โจม ก่อนร่ายเวทย์เพลิงขึ้นมาและส่องไปที่ลิเวียธาน–ซึ่งกำลังนั่งคุมหัวตัวเองด้วยแขนทั้งสองข้าง ในสภาพที่เปียกน้ำและไม่น่าดูเท่าไหร่
ดิลุคคลำคอที่มีรอยบีบของตัวเองอย่างเรียบเฉย ก่อนจะหันไปมองลิเวียธานที่ตัวสั่นไม่หยุด
“สภาพดูไม่ได้เลยนะ [ไฟเยอร์]”
เปลวเพลิงอีกดวงลอยไปมอบแสงสว่างให้กับลิเวียธาน
“คิดจะฆ่ากันทั้งที่ก็ช่วยวางแผนดีๆหน่อยเถอะ ถ้าเราเป็นเธอ เราสามารถทำให้จบได้ภายในสิบวิเลยละ”
ดิลุคกล่าวเช่นนั้นก่อนจะออกเดินโดยที่ทิ้งลิเวียธานเอาไว้ พร้อมกับเปลวเพลิง ..เธอเดินไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง
…..
ทว่า เดินมาได้สักพัก ลิเวียธานก็เดินตามมาด้วยท่าทางหงิมๆ
“มีธุระอะไรอีก”
“..เมื่อกี้ขาดสติไปหน่อย”
“ไม่หน่อยแล้วละ แขนที่ใช้งานไม่ได้ข้างนี้ ตอนนี้เจ็บสุดๆเลยละ แถมยังมีแผลขนาดใหญ่ที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่โผล่มาด้วย จากการกระทำอันโง่เขลาของเธอ แทนที่จะช่วยรักษากันตามข้อตกลง นี่กลับทำให้แย่ลง–คิดว่าไม่ฆ่าทิ้งก็บุญแล้วนะ ลิเวียธาน”
ดิลุคกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ แค่ดับไฟของลิเวียธานทิ้ง เธอก็เป็นผู้ชนะแล้ว
“เข้าใจตรงกันนะ”
“..ขอโทษ”
“….”
“จะให้แลกเปลี่ยนด้วยอะไรก็ได้ แต่..อย่าทิ้งกันเลยนะ”
…..ดิลุคหรี่ตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหดหู่ของลิเวียธาน
“เราน่ะคือคนประเภทที่ถ้ามีอะไรให้ใช้ได้ก็จะใช้ ต่อให้สิ่งที่ยืมแรงมามันจะเป็นงูเห่าก็ตาม แต่ถ้าใช้งานได้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินกว่าก็จะทำ หาทางออกไปกับเธอ เมื่อถึงทางออกแล้วก็ค่อยฆ่ากันเองตรงปลายทางออกก็ได้ อย่างน้อยก็ไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้”
ดิลุคยิ้มให้อย่างจริงใจ
“แน่นอนว่าสุดท้าย เราจะเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่กฏของโลก หรือว่าความสามารถพิเศษอะไร แต่เป็นความมั่นใจที่มีอยู่ในตัวเรา ฉะนั้นถ้าคิดจะฆ่ากันอีกคราวหน้า–คงรู้ดีสินะ ลิเวียธาน”
“..รู้แล้วน่า”
ท่าทางของลิเวียธานดูหงอยเอามาก ต่างกันปกติ ทำให้ดิลุครู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูกกับสถานการณ์มาคุ จึงเอ่ยขึ้นมา
“ถ้านั้นก็แผนการณ์”
“อ่า”
“เดินไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอทางออก จัดขบวนให้เธอเดินนำ เราเดินตาม เกิดอะไรขึ้นเราจะได้หนีเอาตัวรอดได้”
“…”
ดิลุคยิ้มให้ ลิเวียธานยิ้มให้เหมือนกัน แต่ดูเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวชอบกล
“เมื่อตะกี้เผลอคิดว่าหล่อนดูฉลาดเป็นครั้งแรกเลยนะรู้รึเปล่า”
“แน่นอนว่าตั้งใจกวนเล่น แต่ที่พูดนี่จริงนะ”
****
อีกด้านหนึ่ง ภายนอกของหอคอยนั้น–แมมม่อนล้มลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“..ดิลุค..ไม่จริง..”
“ตั้งสติไว้ก่อนนะคะ แมมม่อน”
เมลเบลถอนหายใจ ครุ่นคิด ..เม้มปากเข้าหากัน ก่อนที่จะกัดเล็บของตัวเอง
“ทำยังไงดี?”
ทั้งสองคนหายไปไหน??? จู่ๆก็หายตัวไป จู่ๆก็ถูกวาร์ปไปไหนไม่รู้ ..ทำยังไงดี
……………
………….
“..ท่านดิลุค”
ถ้าไม่ได้เจอกันอีก จะทำยังไงดี?
****
ภายในส่วนลึกสุดของหอคอย
“มอนสเตอร์ชั้นต่ำก็อบลิน ทั้งหมดสามตัว ยืนยัน”
“ดีมาก [วอเธอร์]”
สายน้ำยักษ์ปรากฏขึ้น ลิเวียธานสัมผัสที่สายน้ำแปรเปลี่ยนมันเป็นหอก และเหวี่ยงเข้าใส่ลำคอของก็อบลินทั้งสามตัว
เพียงพริบตาเดียว ร่างทั้งสามก็สลายกลายเป็นผง
มอนสเตอร์ต่างกับสิ่งมีชีวิตทั่วๆไปที่เมื่อตายมันจะกลายเป็นผง บางครั้งก็จะมีของบางอย่างโผล่มาด้วยพอตายไปแล้ว
หลังจากที่ตกลงหน้าที่กับลิเวียธานเรียบร้อยแล้ว พวกเธอสองคนก็ออกเดินทางในหอคอย แน่นอนว่าระหว่างทางก็ต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์เป็นระยะๆ ไม่ว่าจะมอนสเตอร์ชั้นต่ำ หรือมอนสเตอร์ชั้นสูงอย่าง ‘มิโนทอร์’ เอง แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้กระจุกกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ทั้งสองพอจะรับมือได้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการไม่ประมาท แล้วก็พลังของลิเวียธาน
วิธีที่ใช้สู้หลักๆคือยืนยันจำนวนศัตรู ดิลุคเรียกน้ำออกมาให้ลิเวียธานใช้งาน ลิเวียธานควบคุมน้ำด้วยทักษาประจำเผ่ากำจัดมอนสเตอร์
ถ้ามีไม่เยอะ ถ้าไม่ได้แกร่งจนเกินไป ทั้งสองก็คงจะไปต่อได้เรื่อยๆ
เมื่อเคลียร์ก็อบลินเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ออกเดินทางต่อ–
“หืม?”
“อะไรละนั่น”
ทางข้างหน้ากลับเป็นประตูสีแดงขนาดยักษ์ ซึ่งไม่ว่าจะดูยังไงมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไปทางอื่นกันเถอะ”
“…”
ทว่าดิลุคกลับยืนนิ่ง จ้องไปที่ประตูสีแดงนั่นอย่างนิ่งเงียบ
“…”
“เป็นอะไรไป?”
ดิลุคก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ตรงไปที่ประตูสีแดงบานยักษ์
“ตราบาปของทวยเทพ ..ตราบาปของสวรรค์”
“เดี่ยวสิ จู่ๆเป็นอะไรไป”
ดิลุคเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู
“หนึ่งในความน่ารังเกียจของโลก”
ดิลุคหรี่ตามองอย่างเศร้าโศก
“ในที่สุดก็ได้พบเสียที” ดิลุคหันมาหาลิเวียธาน “ขอโทษนะ ลิเวียธาน เป้าหมายของเราตอนนี้ไม่ใช่การรอดไปจากที่แห่งนี้แล้วละ”
กล่าวจบดิลุคก็ผลักบานประตูออก–ประตูบานยักษ์นั้นมีน้ำหนักที่เบาหวิว ทันทีที่มันเปิดออก เลือดก็ไหลออกมาจากภายในห้อง
สิ่งแรกที่พบก็คือเลือดที่ท่วมทั้งห้องเอาไว้ แล้วก็–โซ่กับดาบที่กองอยู่ตามพื้น และสิ่งสุดท้ายก็คือ–เด็กสาวที่ถูกโซ่คล้องร่าง และถูกดาบเล่มยักษ์ทิ่มทะลุอก
เด็กสาวยังหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ เธอเงยหน้ามองดิลุคที่เดินเข้ามาด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“ชื่อ?”
“…”
…
“ซา..”
..
“ซาตาน”
ดิลุคยิ้มให้เด็กสาว ก่อนเอ่ยขึ้น
“มากับเราซะ ซาตาน”