< < 162 Sec1 > >
เท็งงุ เบ็นจิโร่ ได้ปลดล็อคสิ่งที่ค้างคาในใจไปแล้ว และเธอจะไม่มีทางหันหลังกลับมาให้กับอดีตอีกต่อไป เธอยึดมั่นในความฝันของตัวเองอย่างแท้จริง
ทว่า-ถึงอย่างไรเธอก็มีมุมที่เป็นเพียงแค่เด็กสาวอยู่บ้าง
รักแรก-พร้อมกับควาปารถนาที่อยากจะให้คนๆนั้นมาอยู่ค้างกัน
ไม่ต่างกับคำขอ ‘แต่งงาน’ และคำขอๆนั้นก็ถูกปฏิเสธไปแล้ว แน่นอนว่าเธอตั้งใจอย่างนั้น รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องโดนปฏิเสธ เพื่อเป้าหมายของตัวเองขั้นต่อไป ไม่ว่ายังไงก็จำเป็นต้องโดนปฏิเสธเท่านั้น ..แต่ในส่วนลึกของจิตใจก็หวังว่าเขาคนนั้นจะตอบตกลงอยู่ดี แม้จะรู้เรื่องที่ว่ามีคนรักถึงสามคนอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังหวังอยู่
กล่าวว่าความน่ารังเกียจของความรักก็คงได้ ..
เบ็นจิโร่บินขึ้นมานั่งอยู่ ณ จุดสังเกตุการณ์ของเรือรบ เธอยืนพิงเสาในท่ากอดอก ..ไม่นานน้ำตาก็ไหลลงมา เธอปล่อยให้ทั้งหมดไหลลงมาโดยไม่คิดจะปัดทิ้ง เธอมองทิวทัศน์ข้างหน้าโดยไม่สนใจน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าของตัวเอง
รับความเจ็บปวดและน้ำตาทั้งหมด จะปัดมันทิ้งก็ต่อเมื่อหยุดร้องออกมา เพื่อต้อนรับตัวเองในวันพรุ่งนี้อย่างสมภาคภูมิ-นี่คือคติประจำใจของเธอ เพราะอย่างนั้นเธอจะแบกรับทุกอย่างไว้ตรงๆ
“..ยังไงก็เจ็บจริงๆด้วย แต่ว่า..ไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนเมื่อตอนนั้น แค่นี้ก็น่ายินดีที่สุดแล้ว”
เท็งงุ เบ็นจิโร่ ผิดหวังกับคำตอบนี้อยู่ไม่ผิดแน่ แต่ว่า..สักวัน ความผิดหวังนี้จะเป็นได้เพียงอดีต เธอจะเดินหน้าต่อไป จะเลิกยึดติดกับคนๆนั้น แน่นอนว่าต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่วันนั้นจะมาถึงในเร็ววันอย่างแน่นอน
****
‘ตื่นเสียทีนะคะมาสเตอร์’
เช้าวันถัดไปได้มาเยือน ผมตื่นขึ้นมาในช่วงเจ็ดโมงเช้า อันที่จริงจะต้องตื่นเร็วกว่านี้ราวหนึ่งชั่วโมงกว่าๆเพื่อมาออกกำลังกาย และฝึกเวทมนตร์ตามกิจวัตรประจำวัน แต่ว่าเพราะอยู่บนเรือโดยสาร ทำให้สถานที่ไม่อำนวยเสียเท่าไหร่ จึงตัดสินใจว่าพักกิจวัตรไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า
เมื่อตื่นเช้าแล้วผมก็เดินออกไปชมบรรยากาศข้างนอก เพื่อที่จะใช้แสงอาทิตย์ช่วยกระตุ้นหัวสมองที่มึนงงของตัวเอง–แสงสาดเข้าที่หน้าผากก่อนเป็นลำดับแรก ตามไปที่ตาแล้วก็ทั้งตัว
เพียงแค่ได้อาบแสงแดดยามเช้าก็รู้สึกได้เลยละ ว่าตัวเองได้เติบโตเป็นคนที่แข็งแรงตามหลักอนามัยแล้ว ช่างน่ายินดี ช่างน่ายินดี
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เรเซอร์”
“รุณสวัสดิ์”
ผู้หญิงทั่วๆไปอายุราวๆเดียวกันกับผม แต่ก็แค่ภายนอก ตัวจริงของเธอก็คือเทพแห่งจิตวิญญาณที่รับมาอยู่ด้วยโดยเหตุผลหลายประการ นอกจากอานิม่าแล้ว ..
“ตื่นสายจริงนะ”
เจ็ดโมงเช้าไม่น่านับว่าสายได้ แต่ถ้าเทียบกับมาตรฐานของผมที่เธอรู้ก็คงนับว่าช้าได้
‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ เองก็นั่งอยู่ข้างๆอานิม่า โดยที่เธอนั่งไปอ่านหนังสือพิมพ์ของอาณาจักรเนลยอนไปด้วย ตอนนี้เธอก็ยังอยู่ในชุดทหารเรือเหมือนกับเมื่อวาน
‘เมื่อตอนนั้นยังดูเป็นแค่เด็กเปรตไม่สิ้นกินน้ำนมแท้ๆเชียวนะคะ’
ยูนาออกความเห็นได้อย่างเปี่ยมไปด้วยอคติ เพราะไม่ถูกด้วยด้านนิสัยที่เคมีไม่เข้ากัน
นั่นสินะ เปลี่ยนไปเยอะมากๆเลยละ-ผมตอบกลับในใจอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ไม่เปลี่ยนชุดหน่อยรึ?”
“ยังอยู่ในเวลานานนะ เปลี่ยนได้ที่ไหน” เบ็นจิโร่อ่านหนังสือพิมพ์ไปพร้อมกับพูดกับผมด้วยท่าทางที่ดูฉลาด “จริงๆก็ไม่ได้อยากใส่หรอก แต่ถ้าผู้นำอย่างฉันไม่ทำตามกฏมันจะเอาเปรียบลูกน้องเอาได้น่ะ ผู้นำที่เป็นแบบอย่างให้ไม่ได้ ใครมันจะไปเชื่อถือกัน”
จริงจังจริงๆแฮะ รู้สึกว่าแต่ก่อนจะมีแง่มุมความซึนไร้สาระราว 70/30 ต่อความจริงจัง แต่ตอนนี้ความจริงจังในตัวเธอมันกลบความซึนซะไม่มีที่ยืนเลย
แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก การเปลี่ยนแปลงของอายุกับภาระหน้าที่ที่แบกรับ ทำให้นิสัยเปลี่ยนไปมากถึงน้อยก็ไม่แปลก ตอนนี้ก็อายุขึ้นหลักสิบเลขนำหน้าสองแล้วด้วย เป็นผู้ใหญ่เต็มโตแล้วสำหรับโลกยุคนี้
ผมเดินผ่านทั้งสองคนไป และจ้องไปที่ข้างหน้าที่ที่ไกลไปจนแทบจะลับสายตา ..เมืองท่าขนาดยักษ์สีออกไปในโทนเย็น จุดเด่นที่สุดก็คือหอคอยแปดจุดที่มีธงสัญลักษณ์ของอาณาจักรเนลยอนติดเอาไว้
“คิดว่าน่าจะถึงในไม่กี่ชั่วโมงน่ะค่ะ เรเซอร์ไปเตรียมตัวเลยน่าจะดี”
“นั่นสินะ ..แล้วเธอ”
“ว่าจะคุยเล่นกับเบ็นจิโร่เขาต่อน่ะค่ะ” พูดจบอานิม่าก็เขย่งตัวขึ้นมาในระดับเกือบเท่าผม ผมย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ปากเธอเข้าถึงหูของผม “..คือเขารู้แล้วว่าฉันเป็นเทพน่ะค่ะก็เลยพูดคุยอะไรกันนิดหน่อย รวมถึงที่มาที่ไปด้วย ..โดนขู่น่ะค่ะว่าถ้าไม่พูดจะจับตัวพวกเราทั้งคู่เลย”
…เหวอ ยัยนั่น
ผมหันไปมองหล่อนที่อ่านหนังสือพิมพ์ต่อแบบไม่รู้ไม่ซี้
“แน่นอนว่าไม่ได้เล่าทั้งหมด ฉันเล่าแค่เรื่องที่รู้ไปก็ไม่เสียหายค่ะ”
“ดีแล้วละ”
ก่อนที่ผมจะเดินผ่านเบ็นจิโร่ไป—
“อย่าลืมฝากทักทายยูนาให้ด้วยนะ ช่วยย้ำด้วยนะว่า–ถ้ามาซ่ากับฉันตอนนี้ จบไม่สวยแน่”
‘พอแข็งแกร่งขึ้นหน่อยก็ลำพองใจขึ้นมาเลยนะคะ ยัยเด็กนี่ ..มาสเตอร์ สั่งสอนสักบทเรียนได้รึเปล่าคะ?”
..ไม่คุ้มเสียแฮะ กับผู้ถือครองภูตสวรรค์สองคน แล้วก็มณีวารี แถมยังเป็นผู้ใช้งานระดับเบ็นจิโร่อีก สถานที่ต่อสู้ยังเป็นมหาสมุทรที่เจ้าหล่อนได้เปรียบอีก พูดได้ไม่เต็มปากแฮะว่าจะชนะได้
แต่ก็นั่นสินะ ในฐานะคู่แข่ง ไว้เสร็จธุระแล้วเกิดเจ้าตัวยังว่างจะท้าดวลด้วยสักรอบละกัน
****
สิ่งที่เตะตาที่สุดของอาณาจักรเนลยอนหนีไม่พ้นหอคอยแปดจุดที่ตั้งไว้เพื่อสร้างกระแสพลังงานปริศนาขึ้นในการปกป้องผู้คนในอาณาจักร AKA พูดให้ถูกคือปกป้องพวกชนชั้นสูงเสียมากกว่า แต่ก็ช่างมันไปเถอะ
อย่างที่เคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว อาณาจักรเนลยอนคือหนึ่งใน ไม่สิ คืออาณาจักรที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้เลยละ ตัวเมืองเป็นสีโทนเย็นแนวๆเดียวกัน ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมสไตล์ญี่ปุ่นกับยุโรปเข้าด้วยกันแบบลงตัวในหลายๆอย่าง รูปแบบบ้านหรือโครงสร้างนั้นถอดแบบมาจากญี่ปุ่นเลย แต่พวกวัสดุที่ใช้หรือการตกแต่งสีสันต์ได้มาจากทางฝั่งยุโรป แล้วก็มีพวกงานศิลปะทั้งสองสไตล์ปนกันไป
จะมีก็แค่หอคอยแปดจุดที่มีสภาพเก่าแก่และดูไม่ค่อยดีก็เท่านั้น ที่เหลือในอาณาจักร แม้กระทั่งจุดที่ไม่เป็นที่ต้องการของสังคม ก็ยังสวยไม่แพ้อาณาจักรทั่วๆไปในตัวเมืองเลยละ
ตอนนี้ทัวร์เรือที่ผมโดยสารมาได้จอดเทียบท่ากับท่าเรือของอาณาจักรแล้ว แน่นอนว่าเรือรบของเบ็นจิโร่ก็ไปจอดที่ศูนย์กองทัพเรือที่ห่างจากอาณาจักรไม่ไกลมาก เหมือนว่าศูนย์กลางของกองทัพเรือจะไม่ได้อยู่ในตัวเมืองของอาณาจักรเนลยอน แต่อยู่ห่างออกไปตามริมแม่น้ำในระยะที่ไม่ได้ไกลมาก
ระหว่างที่ผมกำลังนั่งอยู่บนเรือนั้นเอง–ว่าไงดี
ผมเนี่ย-บาปหนาชะมัด
“ไม่ทราบว่าชื่ออะไรหรือคะ?”
“ภาพที่คุณขับไล่โจรสลัดยังติดตาดิฉันอยู่เลยค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นสุภาพบุรุษจากตระกูลอะไรหรือคะ?”
“ดิฉันชื่อเซริก้านะคะ”
“เห็นว่าสนิทกับท่านเบ็นจิโร่ แสงยานุภาพแห่งกองทัพเรือด้วยไม่ใช่หรือคะ? จะต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ไม่ผิดแน่เลย”
มีสุภาพสตรีราวๆสามถึงสี่คนล้อมผมและชวนคุยด้วยอย่างออกรส ส่วนตัวผมที่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างกับที่โรงเรียนลิบลับก็กำลังนั่งเคลิ้ม?
อย่างที่คิด ตัวผมคือสุภาพบุรุษรูปหล่อแถมยังมากความสามารถ ที่ไม่เกิดในโรงเรียนเป็นเพราะข่าวลือแย่ๆกับเรื่องเข้าใจผิดที่ผมต้องรับหน้าแทนบักเคียวยะ พับผ่าสิ พอนึกๆดูแล้ว ไม่น่าไปรับแทนมันเลย เพราะอย่างนั้นผมเลยโดนแต่ผู้หญิงเกลียด แล้วก็โดนผู้ชายด้วยกันดูถูกมานักต่อนัก พับผ่าสิ
“เอ่อ ..เรื่องชื่อคงบอกไม่ได้”
“ “ “ “ กรี๊ด ” ” ” ”
ไม่บอกชื่อดันกรี๊ดซะนั้น อะไรกันเนี่ย แปลกๆก็จริงแต่รู้สึกฟินชะมัด—
‘นับว่านอกใจได้นะคะมาสเตอร์’
ไม่นานก็โดนช็อตฟิล
‘เดี่ยวก็เอาไปฟ้องทุกคนหรอกค่ะ มาดีใจอะไรเป็นเด็กน้อยอยู่ได้ แค่มีผู้หญิงมารุมตอมเข้าหน่อยก็เคลิ้มเอาใหญ่เลย ไม่ใช่ว่าจะเผลอลืมสามคนที่รอมาสเตอร์อยู่ด้วยหรอกนะคะ-น่าสมเพซ มีงานสำคัญที่ต้องทำต่ออยู่นี่คะ? ให้ตายสิ น่าขายหน้าจริงๆ’
..โทษที
‘ให้ตายสิ’
เหมือนยูนาจะโกรธจริงๆแฮะ ไอ้ผมก็แค่เคลิ้มหน่อยเดียวเอง
ผมถอนหายใจเฮือกโตและผละตัวออกจากสุภาพสตรีทั้งสี่ ก่อนจะเดินไปผมโบกมือให้ทุกคนก่อนตามมารยาท
“ขอตัวก่อนนะครับ มีธุระด่วนต้องไปทำด้วยน่ะครับ ถ้าไม่รีบไปจะโดนโกรธเอาได้”
ว่าแล้วผมก็โดนออกมาจากตัวเรือเลย เจ้าของเรือและลูกน้องของเขาต่างโบกมือลาผมด้วยท่าทีเป็นกันเอง เพราะออกตัวช่วยจัดการโจรสลัดให้ ผู้คนในนี้เลยเคราพผมกันในระดับหนึ่งเลย
เมื่ออกมาแล้วก็เห็นอานิม่าที่แบกกระเป๋าสัมภาระด้วยท่าทางดูลำบาก เพราะร่างกายที่เลือกแปลงไม่ใช่ร่างจริง และเป็นร่างกายที่มีแรงไม่มากด้วย เห็นอย่างนั้นผมเลยเดินไปช่วยแบกของให้ เธอเห็นก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกเราจึงเดินไปต่อ
จากจดหมายที่ได้รับ ผมจะต้องไปเข้าพบเจ้าหญิงเพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรเนลยอน นาม ‘อามาเทราสึ โทมิเรีย’ เสียก่อน แต่ก่อนหน้านั้นตามที่นัดกันไว้ ..เสียงการลงเท้าที่สมบูรณ์แบบไล่ขึ้นมาข้างๆหูของผม ท่วงท่าการเดินนั้นแม้จะหยาบไปบ้างแต่ก็ให้เสียงที่ไพเราะทีเดียว
ผมหันไปมองที่มีเสียงๆนั้น และพบกับบุคคลที่นัดกันไว้
ไม่ใช่เจ้าหญิงโทมิเรีย แต่เป็นองค์รักษ์ของเธอ ‘ไรเดน อาคาสะ’ ปรากฏตัวขึ้นในชุดการแต่งตัวด้วยชุดเกราะ ลักษณะเดียวกับเมื่องานวันประชุมโลก
ผิวสีดำเข้ม ดวงตาสีแดง ผมสั้นสีขี้เท้า ร่างหนาและตัวสูง สวมด้วยชุดเกราะสีดำโทนออกไปในทางสีน้ำเงินเข้มเล็กน้อย ดาบมารที่เหน็บไว้ข้างๆเอว อุปกรณ์สำหรับการต่อสู้มากมายที่น่าจะติดไว้ทั่วทั้งร่างภายใต้ชุดเกราะที่หนา และสำคัญที่สุดเลยคือสัญลักษณ์องค์รักษ์ของเจ้าหญิงที่แขวนไว้บนหน้าอก เข็มกลัดเพชรราคาแพงนั่น
ทันทีที่ ไรเดน อาคาสะ สบตากับผม เจ้าตัวก็โค้งศรีษะให้เล็กน้อย–ผมรีบโค้งศรีษะตอบกลับทันที
“เป็นเกียรติที่ได้พบจอมเวทย์ขั้นบรรลุ ‘เดรสทอยเยอร์’ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ”
เดรสทอยเยอร์?
“เช่นกันครับ เป็นเกียรติที่ได้พบยอดนักรบในตำนานเช่นกัน ..ว่าแต่เดรสทอยเยอร์?”
“นามของเธอในฐานะจอมเวทย์ขั้นบรรลุยังไงละ ในช่วงสองสามวันที่ล่อนเรือมานี้ ทางสมาคมอิกดราซิลและสมาพันธ์เวทมนตร์ได้ลงความเห็นมอบนามในฐานะจอมเวทย์ขั้นบรรลุให้กับเธอว่า ‘เดรสทอยเยอร์’ นักเวทย์จอมทำลายล้าง ผู้ฟื้นคืนชีพมหาเวทย์วันสิ้นโลกขึ้นมา กับพลังทำลายล้างที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าปืนใหญ่เนลยอน”
ไรเดน อาคาสะ พูดอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูอันตรายยังไงชอบกล เขายื่นมือมาให้ผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“สำหรับฉัน นับว่าเป็นเกียรติมากที่ได้กับจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่โดยที่ไม่ต้องลงเอยด้วยการฆ่าฟันกัน”
ที่พูดมาอย่างกับว่าคุณพี่ ไรเดน อาคาสะ จะมีปมกับจอมเวทย์ไม่น้อยเลย ซึ่งก็น่าจะจริง พอมานึกๆดูแล้ว คู่ต่อสู้ที่เป็นเรื่องเล่าขานของไรเดน อาคาสะ ส่วนมากก็มีแต่จอมเวทย์อย่าง ‘ราชาจอมเวทย์’ แล้วก็ ‘เอเธอร์’ ทั้งนั้น แต่รายหลังไม่ค่อยอยากนับว่าเป็นจอมเวทย์สักเท่าไหร่ เพราะเป็นตัวขี้โกงที่มีชื่อจริงๆว่าผู้กล้า
ผมตอบรับมือที่ยื่นมาด้วยรอยยิ้ม …
“แล้วสุภาพสตรีท่านนั้น?”
หมายถึงอานิม่าที่ยืนข้างๆผม
“เพื่อนร่วมเดินทางน่ะครับ เป็นคนที่จะร่วมด้วยกับเรื่องที่ว่า”
“ ‘
“แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว เช่นนั้นจะขอนำทาง”
****
หลังจากนั้นผมก็ขึ้นไปบนรถม้า แล้วก็ใช้เวลาเดินทางไม่นานพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่คฤหาสน์สไตล์ญี่ปุ่นขนาดยักษ์ ไรเดน อาคาสะ นำทางผมเข้าไปข้างใน ระหว่างที่เดินก็ชวนคุยอะไรเรื่อยเปื่อยไปด้วย ทำให้พอรู้แล้วว่าจริงๆแล้ว ไรเดน อาคาสะ ไม่ใช่นักรบเลือดเย็น แต่ดูเหมือนคนทั่วๆไปที่มีหน้าดุก็แค่นั้น
“จะว่าไป คุณดูไม่น่าจะสนิทกับเอเธอร์คนนั้นได้เลยนะครับ”
พูดถึงนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ไรเดน อาคาสะ แล้ว ก็ต้องนึกถึงคู่ปรับในตำนานอย่างเอเธอร์น่ะนะ เรื่องราวของสองคนนี้นั้นราวกับนิทานที่น่าหลงใหลสำหรับเด็กผู้ชายวัยกระเปี๊ยก ด้วยเรื่องเล่าปากต่อปากที่ทำให้สองคนนี้เหมือนกับคู่แข่งที่กินกันไม่ลง ต่อมาก็กลายเป็นสหายที่คุยกันถูกคอเมื่อจบสงคราม เลยมีความโรแมนติกในฐานะลูกผู้ชายอยู่มากมาย ทั้งการไม่ถือโทษโกรธกันในหน้าที่ของกันและกัน แล้วก็ความแข็งแกร่งระดับเป็นที่สุดบนโลกที่ทั้งคู่ได้รับการยกย่อง
“เอเธอร์เป็นคนคุยเก่งน่ะเลยเข้าหาฉันที่พูดไม่ค่อยเก่งได้แบบไม่กลัวอะไรเหมือนคนอื่น จริงๆแล้วก็อาจไม่ได้สนิทกันมาก ก็แค่เป็นคนที่ดูสนิทกับฉันที่สุดก็เท่านั้น”
“สรุปก็คือสำหรับคุณแล้ว เอเธอร์คือเพื่อนสนิทสินะครับ”
“ถ้าไม่นับพวกพ้องเจ็ดคาปสมุทรที่จากไปแล้วก็คงจะอย่างนั้น”
ตลกร้ายอะไรกันนะ พวกพ้องที่สนิทที่สุดดันถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิท ณ ปัจจุบันเนี่ย ทางไรเดนน่าจะตอบแบบไม่คิดมาก เพราะสัมผัสอารมณ์ที่รุนแรงไม่ได้เลย แต่เพราะคำตอบเมื่อครู่ทำให้ผมไม่อยากชวนคุยเรื่องเอเธอร์มากกว่านี้
ไม่นานไรเดนก็พาพวกผมมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องประตูขนาดยักษ์
ไรเดน อาคาสะ เคาะประตูสามจังหวะ
“เข้ามาเลยค่ะ”
เมื่อได้สัญญาณแล้ว ไรเดน อาคาสะ ก็ผลักประตูทั้งสองข้างออก
ข้างในห้องคือห้องรับแขกที่มีโซฟาราคาแพงสองที่ที่กั้นด้วยโต๊ะไม้ แล้วก็งานศิลปะแขวนตามผนังดูราคาแพง แต่สิ่งที่เด่นที่สุดก็ไม่พ้นตัวคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
‘อามาเทราสึ โทมิเรีย’ เจ้าหญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งอาณาจักรเนลยอน เธอโบกมือมาให้ผมด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสน่ารัก
สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาว สวมแว่นตาสีขาว และผมก็เสยขึ้นต่างกับตอนเจอกันครั้งแรก
“ท่านโทมิเรีย แต่งตัวเช่นนั้นรับแขกไม่งามเลยนะขอรับ”
“แฮะๆ โทษทีนะ ไรเดน คือว่าพึ่งตื่นน่ะ เมื่อวานเผลอโต้รุ่งวาดมังงะซะยาวเลย”
“อย่าโหมตัวเองสิครับ เช่นนั้น เรเซอร์ กับแขกอีกท่าน ช่วยรอก่อนได้หรือไม่?”
“ทางนี้ไม่ถือสาเรื่องการแต่งตัวหรอก เข้าเรื่องเลยดีกว่า เพราะต้องไปเตรียมตัวอีกหลายๆอย่างน่ะ”
ไรเดนกับโทมิเรียได้ยินอย่างนั้นเลยพยักหน้าตอบกลับ ไรเดน เดินไปยืนอยู่ข้างหลังของโทมิเรีย ส่วนผมกับอานิม่าก็ลงไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามโทมิเรีย
“เชิญครับ”
ไม่นาน ไรเดน ก็ชงชาทั้งหมดสามถ้วยและวางไว้ให้ตรงหน้าพวกผมด้วยท่วงท่าที่ไม่ต่างกับ ‘เซบาสเตียน’ คนนั้นเลย
“ถ้านั้นก็-เริ่มจากแนะนำตัวกันอีกครั้งก่อนนะคะ”