< < 162 Sec2 > >
“เอาละๆ จากนี้จะเริ่มการประชุมละนะ”
ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์เท่านั้น ผู้คนภายในห้องต่างก็ไม่เห็นหน้าตาของกันและกัน ทว่า ท่ามกลางความมืดนี้ เรื่องราวบทต่อไปก็ต้องดำเนินต่อไป–ผู้ที่เดินเข้าสู่แสงสว่างก็คือ ‘เรน’
เรนแสยะยิ้มให้ผู้คนทุกคนภายในห้องประชุมสีมืดแห่งนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มการประชุม–-ขณะเดียวกัน
****
ภายในห้องรับแขกของคฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นอันเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าหญิงแห่งตระกูลอามาเทราสึ ‘โทมิเรีย’ ได้เกิดการพูดคุยเล็กๆระหว่าง ผม, อานิม่า และ โทมิเรีย ,ไรเดน อาคาสะ ขึ้น
“นี่คือความเป็นมาทั้งหมดเมื่อหลายสิบปีก่อนที่เรื่องจะมาถึงปัจจุบันนี้ค่ะ”
นับจากที่พูดคุยกับโทมิเรีย เวลาก็ปาไปเกือบจะชั่วโมงแล้ว เธอเล่าทุกอย่างให้ฟัง ใช่ ทุกอย่างเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นสงครามภายในอาณาจักร และก็ตรงตามที่ผมรู้ เพียงแค่ที่เธอเล่ามันเป็นมุมมองจากคนภายในโดยตรง ซึ่งมีคุณค่าให้ฟังอย่างยิ่ง
แต่เรื่องราวก็ประมาณเดียวกัน หลายสิบปีก่อน อาณาจักรเนลยอนได้เกิดการต่อสู้เพื่อล้มล้างระบบการปกครองอยู่หลายต่อหลายครั้ง และสิบปีก่อน ซึ่งไม่นานมานี้เอง อาณาจักรแห่งนี้ก็ได้ยกเลิกระบบการปกครองแบบราชาคือผู้นำ เปลี่ยนมาเป็นระบบที่ประชาชนจะต้องเลือกผู้นำ แน่นอนว่าไม่ได้ใกล้เคียงเสียทุกอย่าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ประชาธิปไตร’ ที่สุด และเป็นที่แห่งแรกที่โลกใบนี้มีการปกครองอย่างนี้ผุดขึ้นมา
เธอเล่าว่าราษฏรเป็นฝ่ายชนะสงครามภายในก็จริง แต่ก็ไม่สามารถจัดการพวกเชื้อสายราชวงศ์และขุนนางได้เด็ดขาด ผลคือภายในการปกครอง ณ ปัจจุบันนี้ พวกสายเลือดวิเศษก็ยังเป็นใหญ่เป็นโตอยู่เบื้องหลังอยู่ดี ราว 60/40 ทำให้เกิดการต่อสู้ที่คล้ายกับสงครามเย็นมาตลอดสิบปี ต่างฝ่ายก็ต่างหาวิธีกำจัดศัตรูให้ได้อยู่จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้–ที่เป็นโค้งสุดท้ายของการต่อสู้ภายใน
“ฝั่งที่สนับสนุนสายเลือดราชวงศ์ให้ขึ้นปกครองอาณาจักรได้ร่วมมือกับ มหามังกรวารี ‘เนลยอน’ แล้วก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะยืมมือของอาชยากรโลก ‘เรน’ ในการเตรียมกาณณ์หลายๆอย่างอีกด้วยค่ะ”
โทมิเรียยื่นรายงานเอกสารฉบับหนึ่งมาให้ผม เมื่อหยิบมันมาอ่านดูก็พบกับเนื้อหาการทดลองผิดศีลธรรมที่ไม่น่าชมเสียเท่าไหร่
“เรน และ ‘อามาเทราซึ ฮิโรโตะ’ ได้ร่วมมือทำการทดลองหลายๆอย่าง ทั้งการสร้างอาวุธ การพัฒนาวิชาไสยศาสตร์ รวมถึง–การทดลองมนุษย์ เพื่อสร้างอาวุธสงคราม การทดลองหลายๆอย่างประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการทดลองมนุษย์ภายใต้ชื่อโปรเจ็ค ‘การเกิดใหม่ของวิญญาณระดับเทพ’ ” โทมิเรียหรี่ตาลงอย่างนิ่งสงบ “การทดลองนี้เป็นการเอาเด็กกำพร้ามาทดลองมานาในร่างกายให้ผิดแปลกไปจากที่ควรค่ะ เพื่อที่จะเข้าถึงการปรับเปลี่ยนมานาโครงสร้างทั้งหมดในร่างกายให้ได้ ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ว่า ..การทดลองนี้มีเด็กต้องเสียชีวิตไปกว่าร้อยกว่าพันคนกว่ามันจะสำเร็จ พวกเขาตั้งใจจะสร้างผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพที่เข้ากับวิญญาณระดับเทพที่สุดขึ้นมาในฐานะอาวุธสงคราม”
ถึงจุดนี้ผมก็พอจะเดาได้ว่าใครคือมนุษย์ทดลองเรื่องที่โทมิเรียกำลังเล่า
“วิญญาณระดับเทพที่เป็นตัวทดลองในการทดลองนี้ก็คือ ‘ราชาไสยศาสตร์’ ค่ะ”
..ผมเชื่อว่าราชาไสยศาสตร์คนนั้นเต็มใจในการทดลองครั้งนี้ แม้จะรู้ว่ามันคือการเอาชีวิตเด็กมาใช้แล้วทิ้งก็ตาม
‘ถ้าเป็นอาจารย์ที่ฉันรู้จัก เขาไม่มีทางทำอย่างนั้นค่ะ’
แต่ว่าเขาทำไปแล้ว เวลาหลายพันปีทำให้เขาตัดสินใจล้ำเส้นของตัวเองไปแล้ว ..และใช่แล้ว มนุษย์ทดลองที่ประสบความสำเร็จอย่างน่ายินดีก็คือ ‘วิน’ ว่าแล้วก็มีเรื่องให้เอะใจตั้งหลายอย่าง ว่าตามตรงผมก็พอรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วละ
การเข้ากันกับวิญญาณระดับเทพราวกับถอดแบบมานั่น อย่างน้อยแค่ในแง่การดึงประสิทธิภาพของวิญญาณระดับเทพมาให้มากที่สุด วินก็ทำได้ดีกว่าผมมาก เพราะเธอคือมนุษย์ทดลองเพื่อราชาไสยศาสตร์
“คุณสุภาพบุรุษเพลิงสังหารเองก็คงจะรู้จัก ‘วิน’ ดีสินะคะ”
“อ่า
“ก็จริงที่การทดลองนั้นมีทั้งเด็กที่ปกติดี กับเด็กที่ไม่ปกติอย่างเธอ เธอคือเด็กที่เป็นโรคมานาทวีคูณค่ะ โรคที่เธอเป็นคือคำสาปที่จะเกิดกับฝาแฝด พละกำลังและสติปัญญา โดยปกติมันจะถูกแบ่งให้เท่าๆกันตามที่ร่างกายควรได้รับ ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนหนึ่งได้สติปัญญาของอีกคนไปทั้งหมด อีกคนได้พละกำลังของอีกคนไปทั้งหมด หนึ่งคนจะมีร่างกายที่สมบูรณ์กว่าคนทั่วๆไปแลกกับการที่ไร้สติ หนึ่งคนจะได้ปัญญาที่มากกว่าคนทั่วๆไปแลกกับร่างกายที่ไม่ต่างกับเศษเนื้อ วินคือเศษเนื้อค่ะ ฝาแฝดของเธอได้ร่างกาย”
อานิม่าได้ยินอย่างนั้นไม่รู้ทำไมถึงมีน้ำตาไหลออกมา
“เอ่อ”
“เล่าต่อเลยค่ะ”
เพราะเข้าใจความรู้สึกของทุกคนดีกว่าใครในฐานะเทพแห่งจิตวิญญาณกระมัง?
“เรนได้ทำการทดลองกับเธอหลายๆอย่าง ขั้นตอนไม่พูดถึงจะดีกว่า แต่ในท้ายที่สุดวินก็ได้รับร่างกายกลับคืนมา พร้อมกับเป็นผู้สำเร็จเพียงหนึ่งเดียวในการทดลองที่เต็มไปด้วยซากศพของผู้บริสุทธิ์ ..ปัจจุบันนี้เธอก็ทำงานให้กับฝั่งผู้สนับสนุนสายเลือดราชวงศ์ โดยที่ทำหน้าที่เป็นมือขวาให้กับมหามังกรวารีค่ะ”
“แล้วเรื่องของวินมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“หน้าที่ที่อยากจะมอบให้คุณก็คือ–การฆ่าวินค่ะ”
…
“จากที่ได้ยินมา ท่านโทมิเรียเองก็สนิทกับวินดีไม่ใช่หรือครับ?”
“..ยังไงการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ มันก็คือหลุมศพของเธอค่ะ จากการใช้พลังทั้งหมดของราชาไสยศาสตร์”
“เลยจะให้ฉันเป็นคนฆ่าก่อนที่ยัยนั่นจะสร้างปัญหาให้ในวงกว้างสินะ?”
โทมิเรียพยักหน้าตอบกลับอย่างไม่เต็มใจนัก ..แม้เธอจะอยู่ในฝั่งที่คล้ายกับตัวดียังไง แต่ในท้ายที่สุดสิ่งที่จะทำในการต่อสู้ก็ไม่ต่างกับอีกฝ่าย ‘ฆ่า’ นี่แหละคือวิธีชนะการต่อสู้ชิงอำนาจ
แน่นอน ผมไม่คิดจะต่อว่าอะไร มันคือเรื่องปกติบนโลกใบนี้ ถ้าเกิดเอาไปพูดในโลกใบเก่า ผมคงโดนรุมด่าหาว่าเพี้ยนไปแล้ว แต่ถ้าเป็นโลกนี้ทุกคนต่างรู้กันดี ..ว่าการจะชนะได้นั้นจำเป็นต้องสละหลายๆอย่าง ตั้งแต่บนหน้าประวัติศาสตร์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของโลกใบนี้ก็มีการเสียสละ การช่วงชิงที่แสนน่ารังเกียจมากมายเกิดขึ้น
ต่อให้ที่ทำจะเป็นเพราะหวังดีต่อผู้คนส่วนมากก็ตาม แต่ก็อย่าได้คิดว่าตัวเองนั้นดีกว่าคนอื่นเชียว
“ใช่ค่ะ”
โทมิเรียตอบกลับตรงๆ เธอเป็นเจ้าหญิงที่เข็มแข็งและไม่ได้อ่อนต่อโลก
“ขอปฏิเสธ”
โทมิเรียทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตา ส่วนไรเดนนั้นก็เริ่มจะขยับมือตัวเอง–ถ้าพูดช้ากว่านี้ หัวผมอาจจะหลุดออกบ่าไปแล้วก็ได้
“แต่ว่าไม่ใช่เพราะฉันไม่กล้าพอจะฆ่าวิน แต่เป็นเพราะมันไม่ใช่เป้าหมายของฉันในคราวนี้ต่างหาก จะตอบตกลงทำไมล่ะ ถ้าทางนี้ไม่ได้สิ่งที่อยากได้น่ะ”
“เช่นนั้นอยากได้อะไรหรือคะ? ฉันพร้อมจะหามาให้ทุกอย่างเลย กระทั่งร่างกายของฉั–”
“เป้าหมายเดียวก็คือฆ่าเรน ไม่ใช่การไปหาเรื่องกับมนุษย์ทดลองที่ใกล้ตายแล้ว”
“..เรนเองก็คือเป้าหมายในคราวนี้ค่ะ เพียงแต่เขาเป็นเป้าหมายรองๆ ที่สำคัญที่สุดคือตัวการใหญ่อย่างเนลยอน แล้วก็ผู้นำตระกูลอามาเทราสึคนปัจจุบันค่ะ”
“นั่นน่ะคือเป้าหมายของพวกเธอ แต่ไม่ใช่ฉัน เข้าเรื่องเลยนะ เจ้าหญิงโทมิเรีย”
ผมเปลี่ยนท่านั่งที่คล้ายกับนอนพิงของตัวเองให้จริงจังมากขึ้น
“ฟัฟนิร์ตกลงร่วมมือกับเธอภายใต้เงื่อนไขอะไร?”
“..เธอจะเป็นคนหยุดเนลยอนเอง”
“ฉันก็เหมือนกัน จะร่วมมือกับเธอ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า-เรนจะต้องตายแน่นอน ยิ่งกว่าเนลยอน แล้วก็ยิ่งกว่าผู้นำตระกูลอะไรนั่น คนที่ควรตายที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือเรน”
….
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมา สีหน้าที่ผ่อนคลายของโทมิเรียได้หายไปแล้ว นอกจากนั้นผมก็สัมผัสถึงแรงกดดันจากไรเดนได้เล็กน้อยด้วย
“ไม่คิดว่าเธอจะมีความสามารถพอฆ่าเรนให้ตายสนิทได้นะ”
ไรเดนโพล่งขึ้นมา เนื้อหาที่พูดเหมือนจะดูถูกผม แต่ไม่ใช่ เขาพูดมาด้วยข้อเท็จจริงที่ผมไม่อาจเถียงได้โดยทันที เพราะมันมีมูลความจริงอยู่ในระดับหนึ่ง
“เท่าที่ทราบ เธอได้ต่อสู้กับเรนมาแล้วถึงสองครั้ง และเจตนาที่จะหาทางฆ่าเรนทั้งหมดสามครั้ง อาณาจักรฟัฟนิร์หนึ่งครั้ง โศกนาฏกรรมเกาะวาเรอร์หนึ่งครั้ง งานประชุมโลกหนึ่งครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่ว่าเรนยังคงลอยนวลอยู่ดี กล่าวคือเธอไม่สามารถหาทางฆ่าเรนได้อย่างเด็ดขาดพอ”
ที่พูดมาก็จริง กำลังรบของเรนมีมากพอจะขยี้ผมให้ไม่สามารถเข้าถึงตัวมันได้ แต่..
“..ครั้งนี้จะต่างออกไป ถ้าไม่เชื่อจะพิสูจน์ก็ได้นะครับ คุณยอดนักรบ”
“ไม่จำเป็นหรอก เธอจะไม่ได้รับหน้าที่ให้ยุ่งกับเรนในคราวนี้อย่างไม่มีข้อแม้”
“ช่วยอธิบายหน่อยได้รึเปล่าครับ?”
ทั้งผมและไรเดนต่างตั้งแง่ใส่กัน โดยไม่รู้ตัว พวกเราได้ส่งจิตสังหารใส่กันโดยไม่มีฝ่ายใดเกรงกลัวกันและกัน
“เรื่องจัดการเรน จะเป็นหน้าที่ของ ไรเดน ค่ะ”
“…”
“ตามที่พวกเราวางแผนเอาไว้ มันไม่ใช่หน้าที่ที่คุณต้องทำค่ะ ถ้าไม่เห็นด้วย ทางเราก็ยินดีให้คุณปฏิเสธ และสัญญาว่าจะไม่เล่นงานลับหลัง”
น่าเสียดายแฮะ
เมื่อคุยกันจบแล้ว ผมจึงลุกขึ้นออกจากโซฟา ทว่าโทมิเรียกลับโพล่งขึ้นมาก่อน
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังอยากยืมพลังของคุณอยู่ดี”
“…”
“ไรเดน อาคาสะ คือยอดนักรบผู้ยิ่งใหญ่ค่ะ เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะอย่างนั้นเรนจึงไม่ใช่คู่มือของเขา รวมถึงลูกน้องของเรนเองก็ด้วย ฉันขอสัญญาค่ะ ว่าเขาจะเป็นคนที่ปริดชีพเรนให้กับคุณอย่างแน่นอน”
เอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น–ในวินาทีแรกที่เธอโพล่งขึ้น ผมสงสัยอย่างนั้น ทว่าข้อสงสัยทั้งหมดก็ถูกตอบกลับทันทีที่จ้องตาของเธอเข้าไป
เพราะคนที่ชื่อ ไรเดน อาคาสะ คนนั้น แข็งแกร่งถึงขนาดทำให้ทุกคนเชื่อไปในทางเดียวยังไงละ ผู้แข็งแกร่งที่เข้าต่อสู้กับเอเธอร์หลายต่อหลายครั้ง บ้างก็สามารถชนะศึกตามเป้าหมายได้ บ้างก็พ่ายแพ้ แต่ที่แน่นอนคือ ไรเดน สามารถเอาตัวรอดมันได้ทุกครั้ง รวมถึงหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเอเธอร์ทั้งหมดได้
ผมรู้ดีว่าการรอดจากเอเธอร์มันคือเรื่องที่ยากขนาดไหน หมอนั่นแข็งแกร่ง อย่างกับอยู่กันคนละโลก ..การให้ ไรเดน รับหน้าที่สังหารตัวอันตรายที่สุดคงจะดีที่สุด
ผมถอนหายใจเฮือกโต ปรับอารมณ์ให้เรียบร้อยก่อนจะพูดขึ้น
“ตกลงครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของผม โทมิเรียก็ถอนหายใจโล่งอก ทำให้สถานการณ์กลับมาดีเหมือนเดิม
จากนั้นก็พูดคุยรายละเอียดยิบย่อย เป็นอันจบเนื้อหางานที่ต้องทำ ..
****
เรื่องงานคุยจบในไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็ดันคุยเรื่องอื่นกับโทมิเรียจนลากยาว ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วด้วยสิ พึ่งจะนึกได้ด้วย สงสัยคุยเพลินเกิน
“เรื่องที่พักยังไม่จัดการเลยแฮะ”
“ถ้าเรื่องนั้นไม่มีปัญหาค่ะ ทางเราจัดการให้แล้ว”
โทมิเรียยื่นเอกสารอีกฉบับมาให้ผม
“..”
“ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหาร จะต้องไปอยู่ที่คฤหาสน์ของท่านเบ็นจิโร่ค่ะ”
เจอกันเร็วกว่าที่คิดแฮะ–อืม
“เบ็นจิโร่สนับสนุนฝั่งพวกเธอสินะ”
“ใช่ค่ะ พึ่งคุยตกลงกับเขาเมื่อเช้านี้เอง”
เอาเวลาไหนไปคุยฟร้ะ?
แต่ก็ช่างเถอะ ดีแล้วแหละมั้ง?
เอาตามนั้นละกัน
เอกสารที่โทมิเรียให้มามีรายละเอียดที่อยู่ของคฤหาสน์เบ็นจิโร่ เหมือนว่าจะแยกกันอยู่กับตระกูลหลักของตัวเอง ที่ที่เธออยู่คือตระกูลสาขาที่เธอสร้างที่พักขึ้นมาเอง ค่อนข้างไกลจากที่นี่ทีเดียว
“ถ้านั้นก็ขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกัน เจ้าหญิงโทมิเรีย แล้วก็คุณไรเดน”
โทมิเรียโบกมือลาผม ไรเดนโค้งศรีษะให้ผม เมื่อทักทายกันจบแล้ว ผมกับอานิม่าก็เดินออกจากคฤหาสน์ของเธอ และรีบตรงไปตามทางเดินในแผนที่
ระหว่างทางแสงสีแดงยามเย็นค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เพียงความมืดที่มีแสงสีขาวจากเมืองที่สวยงามสาดส่อง—อาณาจักรแห่งนี้ช่างสวยงาม ใช่ สวยงามที่สุดเลย
ผมหยุดเดิน มองไปที่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ใบหน้าที่คุ้นเคย สีหน้าท่าทางที่คุ้นเคย
เส้นผมสีเหลืองรวบไว้เป็นทรงโพนี่เทล ดวงตาสีฟ้าราวมหาสมุทร หมวกแก็ปที่เป็นเอกลักษณ์ ลักษณะการแต่งตัวที่อย่างกับว่ากำลังไปเที่ยวทะเลอยู่ตลอดเวลา เสื้อยืดสีขาว เสื้อนอกขนาดโอเวอร์ไซส์ลายพระอาทิตย์อสดงและก้อนเมฆ กางเกงขาสั้น แล้วก็รองเท้าแต๊ะเกี้ย
มนุษย์ทดลองที่พูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ ‘วิน’ มายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“บังเอิญจังนะ”
ไม่ชวนให้คิดอย่างนั้นเลยแฮะ
“มาเที่ยวน่ะ”
“เหรอ ดูเป็นทริปเที่ยวที่วุ่นวายน่าดู”
วินนำมือไขว่ไปที่ข้างหลังและค่อยๆเดินเข้ามาหาผม จนกระทั่งหน้าของพวกเราแทบจะติดกัน เจ้าตัวจ้องหน้าผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่นานก็ผละหัวออกจากผมและมายืนกอดคอผมแทนเสียอย่างนั้น
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดี่ยวพาไปเที่ยวดีเปล่า เพื่อนเลิฟ”
..ผมยิ้มตอบกลับ
“นั่นสินะ”
ในอนาคตอันใกล้ ผมจะรู้สึกตัวได้ว่าถ้าไม่ตามเธอไปน่าจะดีกว่า
ใช่ ..บางที..ถ้าไม่รู้จักกันมากกว่านี้ น่าจะดีกับทุกฝ่ายมากกว่าเมื่อจุดจบมาถึง แต่ว่าตัวผมในตอนนั้นไม่ได้คิดอย่างนั้น จึงได้เดินตามเธอไปท่ามกลางความมืดที่มีแสงส่องอย่างน่าอุ่นใจตลอดเวลา—ทางเดินที่ผมเดินอยู่ในตอนนั้น มันบ่งบอกความเป็นวินได้ดีระดับหนึ่งเลย
ความมืดมิดที่เย็นยะเยือกคือสิ่งที่เธอต้องพบ เป็นตัวเธอดั่งเดิม แต่เธอเลือกจะเป็นแสงสว่างที่แสนอบอุ่น ถึงกระนั้น ไม่ช้าก็เร็ว แสงก็จะถูกความมืดกลืนกินไปจนหมด เพราะถ่านเวทมนตร์มันจะหมดเมื่อมืดจนเกินไปนั่นเอง
รอยยิ้มนั่น ท่าทางร่าเริงนั่น มันกำลังจะหายไปเพียงแค่กดสวิตซ์ เธอคืออาวุธสงคราม เพียงแค่กดปุ่มเดียว ทุกอย่างก็จะระเบิด รวมถึงตัวเธอด้วย ผมควรจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้–ว่าบนโลกนี้มีสิ่งที่ไม่ควรจะรู้สึกด้วยอยู่ อย่างเช่นตัวตนที่จะอยู่หรือตายตามใจคนอื่น หรือไม่ก็ ผมอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่กำลังหลอกตัวเองอยู่
ทำไมกัน?
เพราะเธอคือแสงสว่างที่ดูอบอุ่นกระมัง? อย่างไรซะ มนุษย์ก็ชอบสถานที่ที่ดูอบอุ่นกว่าที่ที่หนาวเหน็บจนถึงตายได้อยู่แล้วนี่?
เอาเถอะ เรื่องมันก็แค่-ผมในอนาคตจะเสียใจที่ได้รู้จักกับเธอ เรื่องมันก็แค่นั้น