< < 163 > >
ผมกับวินเดินไปตามทางเดิมโดยที่มีอานิม่าเดินตามมาจากข้างหลัง พวกเราเดินโดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว วินทำเพียงเอามือไขว่กับหลังแล้วก็เดินมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยอารมณ์ที่ดูจะดี ส่วนผมก็เดินไปตามปกติ แต่ทุกก้าวที่เดินก็มีการระมัดระวังตัวจากอะไรที่ไม่อาจคาดเดาได้ อานิม่าก็-ไม่รู้หรอก หล่อนเดินตามจากข้างหลังนี่นา
พวกเราเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงจุดที่เต็มไปด้วยแสงไฟและผู้คน บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้าเปิดร้าน บ้างก็เป็นกลุ่มคนขี้เมาตามร้านต่างๆ ว่าง่ายๆมันคือสถานที่ท่องเที่ยวตอนกลางคืนนี่แหละ
ตามที่คุยกันไว้ว่าจะไปเที่ยวเล่นกั–ปลายเสื้อของผมถูกดึงโดยอานิม่าผู้วางตัวไม่สุงสิงกับใคร
“จะว่าอะไรมั้ยถ้าจะขอกลับไปพักผ่อนก่อน?”
“ก็ไม่มีปัญหาหรอก ยังไงก็รู้ทางกลับอยู่แล้วนี่ จดหมายยืนยันกับทางนั้นก็มีกันคนละฉบับ”
“ถ้านั้นขอกลับก่อนนะ แล้วก็”
อานิม่าเขย่งตัวขึ้นมากระซิบข้างหูผม
“อย่าล้ำเส้นเชียวนะ ไม่นั้นโดนคนรอบตัวฆ่าทิ้งแน่”
ล้ำเส้น? ผมหัวเราะขึ้นจมูกขึ้นมาทันที
“กับยัยนี่ไม่มีทางหรอก”
“เป็นแค่ไก่อ่อนที่ดูผู้หญิงไม่ยักจะเป็นแท้ๆยังมาพูดอีกนะ คุณเรเซอร์เนี่ย”
จู่ๆอานิม่าก็ปากจัดขึ้นมา แต่ยังคงความสุภาพไว้ดั่งเดิม ไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด
พูดถึงดูผู้หญิงไม่เป็นเนี่ยก็–เออแฮะ เถียงไม่ออก ไอ้ผมเคยดูผู้หญิงเป็นด้วยรึเปล่านะ แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอกใจ แต่คนใกล้ตัวใครมันจะไปโฉดพอฆ่าผมได้กัน
“อย่างเคียวยะ”
“เออแฮะ เป็นไปได้”
หลังโดนอ่านใจแล้วตอบกลับผมก็นิ่งสงบขึ้นมาทันที พอจะเข้าใจคำเตือนของอานิม่าอยู่บ้าง แต่คิดว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
“ฉันเหมือนคนที่จะนอกใจคนรักของตัวเองได้หรือไง?”
แค่ความกล้าที่จะทำยังไม่มีด้วยซ้ำ
“ก็จริง แต่-คุณเรเซอร์น่ะมีข้อเสียเรื่องใจอ่อนเกินไปกับคนที่ตัวเองให้ความใส่ใจ อย่างตอนโซเฟีย แทนที่จะปฏิเสธไปตรงๆก็ดันยืดเรื่องเพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ ทั้งๆที่ในใจตัวเองมีคนอื่นอยู่แท้ๆ ตอนจบเองก็รู้อยู่แล้วด้วยว่าจะจบอย่างไร”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ปวดท้องน้อยขึ้นมาเลย ความรู้สึกแย่ๆในตอนนั้นไหลเข้ามาในหัวจนแทบอยากจะคว้านท้องตัวเองไปให้จบๆ
“ใจอ่อนเกินไปกับคนที่ใส่ใจสินะ ..หมายความว่าไม่ใช่ฉัน แต่ถ้าจะนอกใจก็เป็นปัจจัยที่คนอื่นน่ะเหรอ?”
พูดแบบนี้ดูน่ารังเกียจยังไงไม่รู้แฮะ เห็นแก่ตัวสุดๆ พูดมาได้เนอะว่าถ้านอกใจมันจะไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่อานิม่าก็พยักหน้าตอบกลับ
“อย่างน้อยเรื่องของความรู้สึกก็ถูก แต่ทางกายก็ยังผิดอยู่ดีน่ะค่ะ”
“สมกับเป็นเทพแห่งจิตวิญญาณเข้าใจลึกหนาตื้นสูงได้ดีจริงๆ แต่ลองดูไปที่ยัยคนที่ชวนฉันดูสิ ต่อให้ที่ที่ไปเที่ยวจะเป็นที่ตอนกลางคืน แต่ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ คือที่พูดเป็นห่วงนะคะ”
“วางใจได้ๆ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”
ว่าแล้วอานิม่าก็โบกมือลาแล้วเดินเตาะแต๊ะตรงไปที่พักทันที ทำให้เหลือแค่ผมกับวินที่ยืนอยู่
“บอกไว้ก่อน ถ้าจะประชุมวิญญาณระดับเทพด้วย ยูนาของฉันเธอขี้เซาน่ะ ช่วงนี้มักจะนอนหลับครึ่งวันตลอด ถ้ามีธุระอยากจะคุยด้วยก็นัดวันขอเป็นช่วงเที่ยงคืนถึงเที่ยงตรงนะ”
“อือๆ เรื่องนั้นน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่เกี่ยวกับสถานะผู้ใช้วิญญาณระดับเทพอะไรหรอก”
….
“แค่อยากอยู่กันสองคนน่ะ”
….
“กับ ‘เรเซอร์’ ”
….เอ๊ะ?
“ชะ ช่วยเรียกกระผมว่า ‘เพื่อนเลิฟ’ เหมือนเดิมทีเถอะครับ”
“จู่ๆจะสุภาพทำไมเล่า แค่อยากเรียนชื่อแค่นั้นเอง”
“ให้อธิบายมันก็ยาก แต่มันเหมือนกับการกินกะเพราหมูสับที่ใส่แค่ หมู พริก ไบกะเพรา มาตั้งแต่เกิด แต่จู่ๆก็ดันมีป้าที่ไหนไม่รู้ใส่ถั่วงอกเข้ามาในอาหารจานนี้ ว่าไงดี มันชวนคิดในใจน่ะว่า–นี่ไม่ใช่อาหารที่ฉันรู้จัก!! เหมือนกับตอนนี้ เธอที่เรียกฉันด้วยชื่อ ไม่ใช่เธอที่ฉันรู้จัก”
“เรเซอร์คิดว่าเรเซอร์รู้จักฉันดีแล้วจริงๆเหรอ?”
จู่ๆวินก็เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่องๆ แม้ผมจะถอยหลังแต่เธอก็เดินตามมาไม่หยุด สุดท้ายต้องหยุดเดินและปล่อยให้เธอพึมพำขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากทุกที
“วันนี้ไปสนุกกันดีกว่า ..เหมือนทุกที”
วินในตอนนี้ คือกะเพราหมูสับที่ใส่ถั่วงอกละ
****
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ โดนแดกหมดเลย โดนแดกหมดเลย!!!”
แม้จะเป็นวินที่เป็นกะเพราหมูสับใส่ถั่วงอก แต่อย่างไรวินก็ยังเป็นวินอยู่ดี เหมือนกับรสชาติที่ยังเหมือนเดิม แม้จะใส่สิ่งแปลกปลอมเพิ่มเข้ามา
เรื่องสนุกที่ว่าไม่ใช่ความหมายที่น่าสงสัยซึ่งมักจะพบเห็นได้บ่อยๆจากคุณพี่ผู้มากประสบการณ์รักทั้งหลาย หากแต่เป็นการมานั่งเล่นปาจิงโก๊ะที่ตัวเครื่องทำงานโดยเวทมนตร์กับเธอ
ภาพที่เห็นคือการโดนกินเงินจำนวนมหาศาล แต่เธอดันหัวเราะลั่นกับฉันที่เกิดขึ้น ถามว่าทำไม? เพราะคนที่เล่นแล้วโดนกินมันคือผมเอง สงสัยจะมีความสุขเวลาคนเสียตังค์อย่างไม่ยุติธรรม ผมในตอนนี้รู้สึกอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย โชคดีที่บ้านรวยเลยไม่อะไรมาก
“ฮ่าๆๆๆๆ”
วินหัวเราะไม่หยุดแล้วทุบเครื่องรัวๆ–จนพัง
ตัวเครื่องบุบลงไปด้วยแรงจากมือที่มากจนเกินพอดี ..วินไม่พูดไม่จาอะไรวิ่งออกจากร้านทันที ผมเห็นก็วิ่งตามไปทันที
ยัยนี่คิดจะหนีโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย–เลวที่สุด
โชคดีที่ทั้งผมและวินต่างก็มีร่างกายที่ยอดเยี่ยมทำให้รอดจากการโดนสอบสวนสุดโหดมาได้ แต่ที่ทำมันคือวิถีโจรไม่ผิดแน่ ผมสัญญาว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาเคลียร์ปัญหาที่ตัวเองก่อไว้ด้วยสัตย์จริง
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!?”
“โทษทีๆขำแรงไปหน่อย ก็คิดอยู่หรอกว่าเรเซอร์เป็นคนไม่มีดวง แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”
“หา!? พล่ามอะไรฟร้ะ ยัยกะเพราหมูสับใส่ถั่วงอก!”
“ฮ่าๆๆๆ นายต่างหากพล่ามอะไร ไม่ใช่กะเพราหมูสับใส่ถั่วงอกซะหน่อย!”
วินโดนมาตบหลังผมด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเหมือนทุกๆครั้ง เป็นยัยกวนประสาทที่หัวเราะมันได้ทุกเวลา-เจอแบบนี้จนชินแล้ว ทำให้ผมปล่อยวางได้ในเวลาไม่นาน แต่ก็แอบโกรธอยู่ดีนะบ่องตง
“แล้วจะไปสร้างเรื่องที่ไหนอีกล่ะ?”
“ร้านเหล้า!”
“กินได้แล้วเรอะ?”
“ได้อยู่แล้วสิ อายุปูนนี้”
จะว่าไปก็ใช่ มาตรฐานของโลกนี้กับโลกเก่ามันต่างกันนี่นะ
วินเดินเซไปมาพร้อมหัวเราะไม่หยุดท่าทางอย่างกับคนเมา ทั้งๆที่ยังไม่ได้เอาใส่ปากสักหยด เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหนื่อยใจแทนเลย
ผมเดินตามวินเข้าไปในร้านเหล้า
“ขอถูกที่สุด สิบขวดค่า!!!”
“ผมขอน้ำผลไม้ครับ”
ไม่นานหล่อนก็กระด๊กเหล้าเข้าปากอย่างน่าหวาดกลัว พูดจริงๆนะเนี่ย ผมแอบกลัวขึ้นมาแล้วเนี่ย
หลังจากดื่มจนหมดราวสามขวด หล่อนก็หยิบอีกสองขวดมาฟาดลงพื้น แล้วก็เดินเอาเหล้าถูกที่สุดของตัวเองไปรินให้คนอื่นหน้าตาเฉย ไม่นานก็เหลือเพียงสองขวด หล่อนที่ทำท่าจะกินจู่ๆก็โดนคุณพี่กล้ามโตท้าเต้นกลางร้าน วินตอบรับ และเริ่มการเต้นสุดหรรษาขึ้น
สภาพคนเมาเละเทะมันไม่น่าดูเอาเสียเลย
ทั้งสองเต้นไม่หยุด เต้นแรงมาก และแรงเกินไปสำหรับคนเมา พี่ชายกล้ามโตอ้วกออกมา วินหัวเราะเหยาะเจ้าตัวอย่างบ้าคลั่ง ทั่วทั้งร่างเฮฮากันใหญ่เลย จู่ๆโต๊ะข้างๆก็ต่อยกันเรื่องผู้หญิง วินเข้าไปห้ามโดยการอัดทั้งสองจนล่วง จากนั้นกลุ่มคนเมาก็เริ่มคลั่ง และเกิดการต่อยกันทั่วทั้งร่าง
วินถูกเจ้าของร้านไล่ออกจากร้าน กระนั้นเธอก็ยังหัวเราะร่าเริงต่างกับผมที่จำใจจ่ายเงินค่าปรับในหลายๆข้อหา
“..นี่เรามาทำอะไรที่นี่กันนะ”
“เที่ยวไง๊!”
“ที่เห็นก็มีแค่หล่อนที่เที่ยวเล่นซะสนุกอยู่คนเดียวนะ”
คิดถูกมั้ยเนี่ยที่ตามมา ..ผมหรี่ตามองวิน และเผอิญวินก็สบตาผมพอดี แต่พวกเราไม่ได้หันหน้าหนีไปทางอื่น ทำเพียงจ้องตากันในขณะที่วินกอดคอผมเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินที่ผู้คนค่อยๆจางหายกันไปตามกาลเวลา
“พอจ้องหน้าเรเซอร์แล้วเนี่ย ชวนนึกถึงครั้งแรกที่เจอกันเลยนา”
“เอาแต่จ้องหน้ากันจนน่าหงุดหงิดเลยนะตอนนั้น”
“ถ้าเผอิญเกิดเป็นปลาทองน่าจะท้องไปแล้วสินะตัวฉัน”
ผมชนไหล่วินเบาๆอย่างหงุดหงิด เจ้าตัวชนไหล่กลับสุดแรงจนตัวผมแทบปลิว–ยัยนี่!
ขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้น ผมก็เผอิญเห็นร้ายฝั่งตรงข้ามที่มีคุณยายนั่งอยู่บนพื้นที่ปูด้วยผ้าสีน้ำตาล เหมือนว่าจะเป็นการตั้งของขายริมถนน ของที่ขายก็มีพวกเครื่องประดับดูดราคาไม่แพงมาก ทั้งเพชรและทองทั้งหมดคือของปลอมในร้าน ทุกคนต่างรู้ดีกันอยู่แล้ว
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินไปดูของที่ร้าน ..มันชวนนึกถึงร้านแนวๆเดียวกันที่มีอยู่เยอะในบ้านเกิดของผมที่โลกเก่า ทั้งหมดเป็นเพราะความรู้สึกหวนนึกถึงแท้ๆ วินเดินมากอดคอผมอีกครั้ง เธอมองดูเครื่องประดับด้วยใบหน้าที่เดายากว่ากำลังสนใจหรือว่าเบื่อ
“สนใจเหรอ?”
“อ่า ว่าจะซื้อของฝากไปฝากคนทางนั้นหน่อยน่ะ”
ทางนั้นที่ว่าไม่ใช่คนตาย แต่เป็นคนที่อาศัยอยู่อาณาจักรฟัฟนิร์ อีกฟากของทวีปที่ผมยืนอยู่ตอนนี้
“อยากได้แหวนเหมือนกันสักสี่วงน่ะ”
“โรแมนติกจริงนะ”
“เงียบเถอะน่า”
“ถ้านั้นก็ ป้า หนูขอสองวงค่ะ”
วินหยิบแหวนสีดำสองอันขึ้นมาแล้วยื่นเงินใส่ในกล่องเงินให้ป้าแก
“แล้วเรเซอร์ไม่ซื้อรึ?”
“ว่าจะลองหาร้านดูเรื่อยๆไปก่อน”
“เหรอ ถ้านั้นก็ขอฉวยโอกาสหน่อยนะ”
วินยื่นแหวนอีกวงมาให้ผม …
“แหวนคู่ไง”
เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบซะจนผมแอบรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาเลยละ
****
พวกเราเดินอยู่กลางถนนที่ไร้ผู้คน จะมีก็แค่แสงไฟที่ค่อยๆจางลงแล้วระหว่างทาง
ในมือของผมกำแหวนสีแดงเอาไว้ ส่วนวินก็ใส่แหวนสีแดงไว้ในนิ้วนางของตัวเองแล้ว ..ไม่เข้าใจเลยว่าคิดอะไรอยู่ แหวนนี่คือสัญลักษณ์ของมิตรภาพนั้นเหรอ? ผมได้แต่พยายามคิดแบบเด็กๆเพื่อหนีความจริง
ดูท่าผมจะอ่อนหัดเรื่องพวกนี้จริงๆด้วย
“นี่ คิดอะไรอยู่”
“คิดทำตามใจตัวเองอยู่น่ะ”
ทำตามใจตัวเองเนี่ยนะ เป็นคำตอบที่ดูกวนตีนอย่างไรไม่รู้
“เรเซอร์รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“เรื่องของฉัน ทุกๆอย่างที่บ่งบอกความเป็นฉัน เรเซอร์น่าจะรู้หมดแล้วนี่ รู้หมดแล้วแท้ๆแต่ยังเดาอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”
….ผมหยุดเดินกระทันหัน และหันไปมองหน้าวินที่ยังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกที พวกเราจ้องตากัน และฝ่ายที่หลบตาก่อนคนแรกก็คือผม
“ทั้งจุดกำเนิดของฉัน ทั้งหน้าที่ของฉันต่อจากนี้ ในฐานะมิตรหรือศัตรูในอนาคต น่าจะพอรู้นี่นา”
“อ่า แล้วมันทำไม”
“ฉันน่ะนะ ต่อให้ชนะหรือแพ้ สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี เพราะการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงจะเป็นการปลดล็อคทุกอย่างในตัวของฉัน ตัวฉันจะแข็งแกร่งเทียบเท่าราชาไสยศาสตร์เมื่อตอนมีชีวิต ไม่สิ เทียบเท่าในจุดที่สูงสุดที่อาจารย์จะไปถึงได้เพียงไม่นานในชีวิต ..ด้วยเหตุนั้นเอง กับร่างกายนี้น่ะ ต่อให้ฝืนหรือฝึกฝนมากแค่ไหน ขีดจำกัดก็เป็นได้แค่ภาชนะที่เมื่อปลดล็อคทุกอย่างแล้ว ทุกอย่างมันจะพังในเวลาไม่นาน”
ไม่ใช่ข้อจำกัดการใช้พลัง แต่คือขีดจำกัดที่มีมาตั้งแต่ต้น เหมือนกับพลังที่สร้างขึ้นมาโดยการทดลอง ของพวกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัดอยู่ชัดเจน การจะก้าวข้ามขีดจำกัดได้นั้นเป็นไปไม่ได้ นี่คือข้อจำกัดในฐานะอาวุธสงคราม
แต่ ต่อให้มันน่าเศร้าก็จริงที่เป็นอย่างนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมกัน?
ตัวผมตอนนี้พยายามอย่างมากเพื่อให้เรื่องของเธอไม่เกี่ยวกับผม เพราะถ้ามันเกี่ยวกับผมเมื่อไหร่ ..ผมเองก็รู้ดีว่าตัวเองคงจะปล่อยไว้ไม่ได้ เพราะอย่างนั้น เธอและผมเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ต่อให้จะรู้จักกันมาได้ระยะหนึ่ง หรือถูกคอกัน หรือเป็นเพื่อนกัน แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับผม เธอตอนนี้เป็นเพียงศัตรูที่ต้องสู้โดยแลกชีวิตกันในอนาคตเท่านั้น
“คิดว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นมันน่ากลัวมากเลยละ ทั้งๆที่เอาจริงๆฉันยังอยู่ได้อีกตั้งสองปีแท้ๆ แต่กลับต้องตายก่อนเวลาอันควร นั่นน่ะ น่ากลัวนะ”
“ดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยนะ”
“เพราะฉันเก็บความรู้สึกเก่ง ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ..ในฐานะมนุษย์ทดลอง การร้องไห้ไม่ได้ช่วยอะไร การยิ้มต่างหากที่ช่วยให้ตัวเองผ่อนคลายลงได้”
….
“จู่ๆมาพูดแบบนี้ก็กระไรอยู่ แต่เป้าหมายของเรเซอร์เอง ฉันก็รู้นะ เพราะผ่านร้อนหนาวมาด้วยกันน่ะเลยรู้ดีเลย เกลียดเรนมากเลยสินะ อือ ใช่ก็เกลียดเหมือนกัน เพราะหมอนั่นเป็นบุคคลสำคัญในโปรเจ็คทดลองมนุษย์ที่ฉันเป็นผลผลิต แต่ว่า..อีกใจฉันก็ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้รับร่างกายนี้มา แล้วก็ขอบคุณที่ทำให้น้องสาวของฉันจะได้รับชีวิตที่ดีหลังจากที่ฉันตายไป–พอพูดแบบนี้แล้วเนี่ย ไอ้การที่ฉันโดนทำเรื่องไม่ดีสารพัด มันก็ไม่เลวเลยละ แต่เดิม ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้หนทางการมีชีวิตด้วยซ้ำ เป็นแค่ก้อนเนื้อน่าสมเพซที่เรียกว่ามนุษย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ” วินกำมือแน่น ยิ้มมุมปาก “พอได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าชีวิตแล้วเนี่ย ต่อให้โดนจิกหัวใช้อย่างโหดร้าย แต่มันก็ดีกว่าที่คิดเยอะเลย ..ทำให้ไม่อยากตาย ทั้งที่การตายของฉันมันจะทำให้น้องสาวได้กลับมาเป็นปกติแท้ๆ”
“บนโลกนี้ ไม่มีใครสมควรตายแทนใครทั้งนั้น ถ้าไม่อยากก็ไม่จำเป็นต้องตายเพื่อใคร หนีไป ใช้ชีวิตของตัวเองก็พอแล้ว”
วินส่ายหัวให้ผมในทันที ไร้ซึ่งความลังเล
“ฉันหักหลังผู้มีพระคุณได้ที่ไหนกัน”
น่าตลก ผู้มีพระคุณที่ว่าเป็นกลุ่มคนที่จับเธอและน้องสาวเธอมาทดลองอย่างโหดร้ายมากมายแท้ๆ ตัวตนที่ว่ามาไม่น่ามีความเป็นผู้มีพระคุณอยู่เลย ควรจะเป็นอย่างนั้นแท้ๆ
“สรุปแล้วเป้าหมายของเธอคืออะไร มาล้วงข้อมูลหรือว่าจะหาเรื่องกันให้จบๆตรงนี้เลย”
“ฉันทำตามใจตัวเองน่ะ มีเรื่องเห็นแก่ตัวเองที่อยากจะทำก่อนตายอยู่”
….
“แล้วคิดว่าคนที่พอจะช่วยฉันได้มีแค่เรเซอร์ คิดซะว่านี่คือความปารถนาเดียวของฉัน ก่อนที่จะตายก็ได้นะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นศัตรูกัน ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น แล้วก็จะไม่มีการล้ำเส้นด้วย เป็นเรื่องส่วนตัวที่แสนบริสุทธิ์ระหว่างฉันแล้วก็เรเซอร์”
….อย่านะ
ผมข่มตาหลับ วินก้มตัวมองหน้าผมที่ก้มลงกับพื้นด้วยรอยยิ้มและท่าทางขี้เล่นจนน่าหงุดหงิด ในใจผมเอาแต่ร้องว่า หยุดนะเว้ย หยุดนะเว้ย หยุดนะเว้ย
“นี่ เรเซอร์ ช่วยฟังเรื่องเห็นแก่ตัวหน่อยจะได้รึเปล่า?”
“…”
อย่านะ ขอร้องละ ..ขืนพูดมากกว่านี้ละก็
“ช่วย–”
ตั้งแต่ที่เธอบอกว่ามีเรื่องจะขอ ผมก็พอเดาได้แล้วว่ามันจะลงเอยอย่างไร จริงอย่างที่อานิม่าบอก ผมมันอ่อนหัดและไก่อ่อนในเรื่องพวกนี้จนน่าปวดหัว ใจดีเกินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางทีก็แอบคิดว่ามันไม่ใช่ความใจดี แต่เป็นความโง่เขลา ที่ว่าเหมือนจะเป็นข้อเสียที่เกือบจะใหญ่ที่สุดของตัวผมเอง
พึ่งจะรู้ก็วันนี้นี่แหละ ว่าตัวผมคนนี้ก็มีข้อเสียโง่ๆที่น่าปวดหัวอยู่ด้วย
“–เป็นแฟนหนุ่มของฉันทีสิ”
****
เปรี้ยง!!!!!
ฟ้าผ่าลงที่อาณาจักรฟัฟนิร์ เนื่องจากเมฆฝนที่พัดเข้ามาแถวๆนี้ ภายในวิทยาลัยเวทมนตร์เรดฮอตบริเวณโรงอาหารที่พึ่งสร้างเสร็จนั้น–มีกลุ่มคนแปลกๆล้อมวงกันอยู่
อดีตจอมมาร ‘เบลลามี’ สองปีศาจมหาบาป ‘ตะกละ บิลเซบับ’ ‘ฒันหา แอสโมเดียส’ แล้วก็เด็กผู้หญิงผู้ชอบแสร้งทำตัวเป็นนักเลงทั้งๆที่ตัวเองเป็นนางฟ้า ‘โซเฟีย’
และโต๊ะข้างๆของทั้งสี่ก็มีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุด ‘เอเธอร์’ นั่งจิบชาและกินขนมธัญพืชอยู่ จากที่เห็นทำให้อนุมานได้ว่าเรื่องรับปีศาจมหาบาปเข้าพวกเป็นที่ยอมรับกันแล้ว
ทันทีที่ฟ้าผ่าลงมา เบลลามีก็จามทันที ทำให้ทุกคนที่กำลังนั่งกินกะเพราหมูสับที่ใส่ถั่วงอกต่างพร้อมกันหยุดกินและนิ่งเงียบ
“จามแบบนี้แปลว่ากำลังเกิดเหตุร้ายค่ะ”
บิลเซบับโพล่งขึ้น แต่โซเฟียขัด
“ไม่ใช่ว่ามีคนนินทาอยู่เหรอ?”
“ตั้งแต่โบราณแล้ว การจามในจังหวะที่ฝนตกหนักนั้นแปลว่ากำลังเกิดเหตุร้ายขึ้นค่ะ แล้วก็เป็นเหตุร้ายที่ไม่ดีต่อตัวผู้จามด้วย”
….
แอสโมเดียสได้ยินก็หัวเราะขึ้นมาและพึมพำด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ไม่ใช่ว่าคนรักของท่านจอมมารเขานอกใจหรอกเหรอครับ เล่นไปตะลุยต่างทวีปซะ”
“ไม่มีทาง!!”
คนที่โมโหและทุบโต๊ะทันทีมิใช่เบลลามี แต่เป็นโซเฟียที่ร้อนตัวแทน
“หรือว่าหนิงกับเรย์ที่พึ่งออกเดินทางตามหายูจิจะเจอเหตุร้ายเข้า?”
เบลลามีพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง แต่โซเฟียกลับคิดว่าเป็นความเห็นที่ไร้สาระ
“พึ่งออกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเองนะ ไม่น่ามั้ง”
ใครมันจะซวยถึงขนาดออกจากเมืองได้สามสิบนาทีก็เจอเรื่องเล่า …
“ถ้านั้นก็ ‘นอกใจ’ ก็มีมูลนะครับ”
แอสโมเดียสยังไม่หยุดพล่ามเรื่องนอกใจ บิลเซบับปกติน่าจะดุด่าญาติผู้ไร้มารยาทของตัวเองคนนี้ไปแล้ว แต่กลับแอบคิดว่ามีมูลเหมือนกัน
“ผู้ชายที่ท่านเบลลามีหลงดูเป็นพวกเพลย์บอยด้วยนะคะ จากประสบกาณณ์รักตลอดหมื่นปีของฉัน ฉันมั่นใจค่ะ”
“ผมเห็นด้วยครับ คิดว่าคนแบบหมอนั่นเป็นคนประเภทที่ต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วยตลอด ไม่นั้นขาดอากาศหายใจตายแน่”
ที่พูดเนี่ยสาวจิ้นหนุ่มซิงจ้า แล้วก็ใช้แต่อคติล้วนๆเลย เพราะเรเซอร์เนื้อหอมแบบดูดีเกินไป แอสโมเดียสเลยหมันไส้ปนอิจฉา บิลเซบับก็หวงเบลลามีอย่างกับแม่ ทำให้มีอคติแปลกๆกับผู้ชายที่ภายนอกดูเป็นสายเต๊าะสาวไปเรื่อยอย่างเรเซอร์
เบลลามีนิ่งเงียบ เช่นเดียวกับเอเธอร์ที่ใช้สมาธิกับการชงชาอยู่ ที่ดูจะร้อนรนกว่าใครเพื่อนทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็คือโซเฟีย
“เรเซอร์ไม่ใช่คนอย่างนั้น อย่ามากล่าวหามั่วซั่วนะ!”
“อือ อย่าว่าเรเซอร์เลยนะ”
“แต่ว่านะคะท่านเบลลามี ผู้ชายคนนั้นน่ะแย่มากๆเลย ตอนเจอกันที่เกาะวาเรอร์ก็เล่นพวกเราซะทำเอาหลอนไปหลายวันเลยค่ะ”
ส่วนตัวล้วนๆ
โซเฟียแก้มป๋องด้วยความโมโห
“การว่ากล่าวคนอื่นโดยไม่มีหลักฐานมันแย่มากเลยนะ ถึงจะแค่พูดออกมาพล่อยๆก็เถอะ แต่ถ้าคนอื่นเข้าใจเรเซอร์ผิดไปจะทำยังไง พวกนายเนี่ยไม่มีจิตสำนึกความดีในฐานะมนุษย์เลยนะ เรเซอร์น่ะ ไม่ใช่คนที่จะ…นอก..ใจ”
โซเฟียกระพริบตาปริบๆ อะไรบางอย่างไหลเข้ามาในหัวสมอง
“เอ๊ะ?”
ความทรงจำเก่าๆไหลย้อนเข้ามาในหัวของโซเฟีย เรื่องที่ตัวเองโดนเรเซอร์ปลอมตัวหอลกว่าเป็นคุณลุงอลันแมนที่เธอหลงรัก แล้วก็การหักอกเธอทั้งๆที่ให้ความหวังมาตลอด ไหนจะเรื่องแย่ๆอย่างการขโมยกางเกงในอีก พอมาคิดๆดูแล้วนี่ …ไอ้หมอนี่มันเป็นภัยอันตรายสำหรับผู้หญิงเลยนี่หว่า เป็นไอ้เสือผู้หญิงที่ควรอยู่ด้วยห่างๆของแท้เลย
“เรเซอร์น่ะ ..เรเซอร์น่ะ ..อาจจะนอกใจก็ได้”
เปรี้ยง!!!!!!!!!!! ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอีกครั้ง
“นั่งไง คิดไว้แล้วเลยครับ!”
“ท่านเบลลามีระวังตัวไว้นะคะ!”
“ทำยังไงดีเบลามี ทำยังไงดี ทำยังไดี เธอกำลังจะโดนนอกใจแล้วก็โดนหักอกเหมือนฉันนะ!”
ว่าแล้วโซเฟียก็น้ำตาคลอเบ้าเลย ท่าทางอย่างกับสิ่งมีชีวิตน่ารักตัวร้อยที่กำลังลนแล้ววิ่งไปวิ่งมา พวกเพื่อนมหาบาปก็ดูดีใจกัน เหมือนว่าคิดไว้แล้วไม่มีผิด เห็นแบบนี้ต้องช่วยพูดแก้ต่างหน่อยแล้ว แต่ก่อนจะได้พูดอะไร เอเธอร์ก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ถ้านอกใจ แค่ฆ่าทิ้งก็พอนี่ครับ”
….
จิตสังหารเย็นยะเยือกที่ยากจะพบเจอของเอเธอร์ อย่างกับว่านี่หลุดมาจากความรู้สึกจริงๆ
“ใช่รึเปล่าครับ เบลลามี”
“พูดยาก แต่จริงๆแล้ว ..ขอแค่เรเซอร์ไม่ทิ้งเราก็พอ”
“เป็นวิธีคิดที่นิยมในยุคสมัยที่ผู้หญิงถูกกดไม่ใช่เหรอครับนั่น ก็จริงที่ยุคสมัยนี้ก็ยังมีอยู่แม้จะเบาบางลง แต่ถ้าเป็นเบลลามีจะต้องมีแนวคิดที่ก้าวไกลครับ เธอไม่จำเป็นต้องอดทนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอกนะ”
“แต่ว่า”
“คิดว่าไม่มีแต่จะดีกว่านะ ให้ผมเปิดคอร์สสอนการใช้ชีวิตไม่ให้โดนผู้ชายเอาเปรียบดีหรือไม่ครับ”
…..
“อะไรกัน อยู่ๆเอเธอร์ก็ดูเป็นคนมีอารมณ์แปกลๆต่างกับเมื่อก่อนขึ้นมา เชอะ เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดเลย ไอ้บ้าเอ้ย”
โซเฟียที่พึมพำโดยฝืนพูดประโยคไม่ภาพก็จ้องอยู่ดีๆ แต่จู่ๆก็อ้าปากค้างเหมือนจิ้นอะไรขึ้นมาได้ พร้อมกับฟ้าสายฟ้าผ่า เปรี้ยง!!!!! ลงมาอีกครั้ง
“หรือว่าเบลลามีกับเอเธอร์เองก็—นอกใจเรเซอร์ด้วย!”
“ “ไม่หรอกๆ” ”
สองปีศาจมหาบาปเสริมขึ้นมาพร้อมๆกัน
“เอาอะไรมามั่นใจกัน!?”
เอาอะไรมานอกใจ แม้จะพูดไม่ได้แต่ทั้งสองก็รู้ดี …ก็สองคนนั้นเป็นพี่น้องกันนี่นา ในยุคโบราณ ก่อนที่ทั้งสองคนจะทะเลาะกันเอง ก่อนหน้านั้นก็เป็นคู่พี่น้องที่สนิทกันดี โดยเฉพาะพี่ชายที่ดูจะหวงน้องสาวเอามากๆ บิลเซบับรู้เรื่องนี้ดี และกำลังนึกดีใจอยู่อย่างยิ่ง
“เรเซอร์ ดราแคล์” บิลเซบับพึมพำขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าสยอง “ถ้าเกิดนายกล้านอกใจท่านเบลลามีละก็–นายได้โดนคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกตามล่าแน่”
ฟ้าผ่า เปรี้ยง!!! ลงมาอีกครั้ง ชะตากรรมชีวิตของเรเซอร์จะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ …