< < 174 Sec3 > >
เปลวเพลิงกำลังเผาอาณาจักรเนลยอน เวลานี้ผมไม่สนแล้วว่าความเสียหายย้อนหลังมันจะมากแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมต้องทำให้ได้ในตอนนี้คือการ—โค่นสัตว์ประหลาดตรงหน้าให้ได้
ราชาไสยศาสตร์ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมในระดับหนี่งได้ปรากฏตัวขึ้น วินในร่างที่เต็มไปด้วยอักขระประหลาดไล่ลบเปลวเพลิงของผมทิ้งเป็นว่าเล่น ใช้หมัดสลับกับการเล่นวิชาไสยศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วและสวยงาม รู้ตัวอีกที เธอก็โผล่มาตรงหน้าผม และซัดเข้าให้ที่หน้าท้อง
แรงระดับสะเทือนแผ่นดิน เขย่าอากาศ เพียงแค่เสียงหมัดกระแทกนั่นก็ทำให้ทั่วทั้งอาณาจักรเนลยอนเกิดเสียงร้องที่ดังสนั่น จากแรงที่บีบอัดอากาศ
แน่นอนว่าหมัดนั้นถูกเสริมด้วยวิชาไสยศาสตร์หลายรูปแบบ รวมถึงพลังกายเพรียวๆที่มากขึ้นเป็นโขจากการปลดลิมิต อย่างไรก็ตาม ตัวผมที่ถูกซัดได้ดิ่งลงพื้นในสภาพเหลือแต่เลือด พริบตาเดียว วิหคอมตะก็เข้าปกคลุม และสร้างกายเนื้อกลับมาใหม่ให้พร้อมกับเสื้อผ้า
หมัดของราชาไสยศาสตร์มีแรงระดับทำให้ร่างผมระเบิดได้เลยละ แถมนั่นยังเป็นผมที่บัพด้วย [ตัดมิติถลายขีดจำกัด] รวมถึง [พรแห่งจอมมาร] ผมเองก็ร่ายใส่ตัวเองทั้งหมดแล้ว แต่ก็รับแรงนั่นตรงๆไม่ไหว
ตั้งแต่ทั้งหมดที่เคยสู้มา บางทีวินอาจจะเป็นคนที่มีพลังกายเยอะที่สุดแล้วที่ผมเคยเจอ ซึ่งใช่ มากกว่า ‘เอเธอร์’ เสียอีก
นี่น่ะเหรอความแข็งแกร่งของราชาไสยศาสตร์ นอกจากทักษะวิชาไสยศาสตร์ที่น่าหวาดกลัวแล้ว จุดเด่นที่สุดก็คือแรงหมัดที่ใช้คิดบัญชีศัตรูได้ในคราเดียว ถ้าเกิดผมอไม่มีการเอาบัพอื่นๆมาช่วย ผมอาจจะตายโดยที่รักษาตัวเองไม่ทัน หรือต่อให้ใช้บัพทุกอย่างได้ แต่ถ้าไม่มีวิหคอมตะ ความเป็นไปได้ที่ผมจะแพ้ก็ยังมีเยอะอยู่ดี พูดได้เต็มปากเลยว่า–วิหคอมตะ คือขุมพลังที่แท้จริงของผม
ไม่ว่าจะ ‘เรลันดาฟ’ ‘วิญญาณระดับเทพ’ หรือ ‘เวทมนตร์’ ทั้งหมดล้วนใช้มานาที่มหาศาล หากขาดวิหคอมตะไป ผมก็จะเป็นพวกไร้น้ำยาที่ใส่เต็มได้ไม่กี่ก็อกก็หมดตัว ถึงจะมี ‘มณีอัคคี’ คอยช่วยเกี่ยวกับเวทย์เพลิงอยู่ก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าผมจะใช้แต่เวทย์เพลิงเสียหน่อย
“เรลันดาฟ ยังมีลูกเล่นเยอะกว่านี้ไม่ใช่หรือ—ไง!!”
วินกระโดดเตะผมกลางอากาศ ขาของเธอเกือบจะโดนตัวผมแล้ว ดีที่บินลบด้วย เรลันดาฟ ได้ทัน
“กลายเป็นกอริล่าไปแล้วสินะ”
“พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ!!”
เอาอีกแล้ว—ผมถูกซัดจนเละ และรักษากลับคืนด้วยวิหคอมตะ ก่อนจะเว้นระยะไปให้ไกลที่สุด
ทางนี้เองก็ต้องเริ่มใส่เต็มแล้วเหมือนกัน ขืนโดนจับทางได้ไปเรื่อยๆ ผมอาจจะพลาด–ตายโดยที่ใช้วิหคอมตะไม่ทันเอาได้ คิดได้อย่างนั้นผมก็ควงเรลันดาฟไปมา ประกายเวทย์ปรากฏขึ้นรอบๆมันเกิดเป็นวงแหวนเวทย์สีแดง–ที่ข้างในนั้นเปี่ยมด้วยมานาที่กำลังก่อร่างกลายเป็นเวทมนตร์อยู่ข้างในวงแหวน มีทั้งหมดสิบวง อยู่ข้างหลังผม
“เอ๊ะ?”
หนึ่งในความสามารถของเรลันดาฟ ในฟอร์ม ‘คทาเวทย์’ ตัวชูโรงก็คือการร่ายเวทมนตร์ได้พร้อมกับสิบบท ทั้งยังสามารถดองเวทมนตร์ไว้ภายในวงแหวนเวทย์ได้ด้วย ต่างกับคทาเวทย์อื่นๆ เรลันดาฟสามารถร่ายเวทย์ค้างไว้และเตรียมใช้งานได้พร้อมๆกัน
วงแหวนเวทย์สิบวงบุนไปอยู่ตรงหน้าผม— [เฟรมบาสเตอร์] สิบบทได้พุ่งออกไปพร้อมๆกัน วินหลบไม่ทันจึงรับมันไว้ตรงๆด้วยวิชาไสยศาสตร์หลากหลายแขนงปะปนกันไป พริบตาเดียว เธอสามารถทำสัญลักษณ์และทำให้มันเกิดผลได้หลายบท
แต่ก็ไม่อาจปัดป้องเปลวเพลิงขั้นบรรลุที่ถูกทวีคูณพลังทำลายล้างด้วย–เรลันดาฟ มณีอัคคี ถลายขีดจำกัด รวมถึงพรแห่งจอมมารได้ไหว
“อ๊ากกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
วินถูกเพลิงเผาอย่างไร้ทางตอบโต้ ผมอาศัยจังหวะที่วินพลาดท่าชี้เรลันดาฟไปใจกลางเพลิง–จากนั้นก็ใช้เวทมนตร์ขั้นบรรลุ
“[มาดัน]”
กระสุนมนตราที่มีคุณสมับิตในการดูดกลืนเวทมนตร์ไปเป็นพลังข้างในได้พุ่งผ่านเปลวเพลิง และดูดกลืนเพลิงทำลายล้างเข้าที่ใจกลาง และอัดเข้าที่ร่างของวินจังๆ—-ตึง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! วินปลิวไปตามพื้นด้วยกระสุนมนตราที่อัดแน่นด้วย [เฟรมบาสเตอร์] สิบบทที่แรงที่สุดบนโลก จากนั้นระเบิดย้อนหลังก็เกิดขึ้น
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แรงระเบิดที่เกิดขึ้น ทำให้อาณาจักรเนลยอนกว่า 1/4 ได้ถูกแผดเผาด้วยเพลิงทำลายล้าง
มานาแทบจะหมดตัว ผมใช้วิหคอมตะรักษาตัวเอง และกลับมาดังเดิม
วินลุกขึ้นยืนอย่างสะเปะสะปะ ไม่มีทางที่จะตายกะอีแค่นี้อยู่แล้ว แต่สภาพก็เละพอสมควรเลย ถึงจะรักษากลับมาได้แต่ก็แลกด้วยอะไรหลายๆอย่าง ต่างกับผม วินไม่สามารถฟื้นฟูพลังงานของตัวเองกลับมาได้ หมดแล้วหมดเลย เธอจ้องมองผมด้วยดวงตาที่เลืองแสง คงจะเป็นความสามารถในการวิเคราะห์มานาอีกฝ่าย จ้องได้ประเดี๋ยวเดียวเธอก็หัวเราะออกมา
“อะไรวะเนี่ย มานาที่เสียคือ 0 เนี่ยนะ ท่าใหญ่ขนาดนั้นแต่กลับไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ถ้าฉันกลายเป็นกอริล่า เรเซอร์คงกลายเป็นมหามังกรไปแล้วมั้งเนี่ย”
ถ้าหมายถึงพลังทำลายล้างกับพลังการรักษา ผมว่าตัวเองคงเหนือกว่าไปไกลแล้ว มีแค่ความอมตะที่แท้จริงเท่านั้นที่ผมไม่มีทางเข้าถึงได้ เพราะเป็นมนุษย์
ผมไม่พูดไม่จา เสกวงแหวนเวทย์ที่อัดด้วย [เฟรมบาสเตอร์] ข้างในอีกสิบบท วินหน้าซีดขึ้นมา ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าใส่ผมทันที แทนที่จะหนีอย่างเป็นไปไม่ได้ สู้แลกกันตรงๆดีกว่าสินะ ผมตอบรับคำท้า
สลายเฟรมบาสเตอร์ในวงแหวนทั้งสิบทิ้ง แลเปลี่ยนมันเป็น [ทวนสายฟ้า]
“เร็วเกินไปแล้–”
วงแหวนเวทย์แตก ทวนวาบฟ้าสิบอันพุ่งทยานเข้าใส่วิน มีหรือที่เธอจะรับตรงๆ วินกระโดดหลบ ทว่า ทวนสายฟ้ากลับพุ่งกลับมาหาวินอีกครั้งหลังจากพลาดเป้า วินทำหน้าตกใจราวกับจะบ่นว่า ‘พลาดไปแล้วไม่ใช่รึไง’ โดยปกติ ถ้าพลาดเป้าก็คือพลาดเป้าเลย แต่ว่าด้วยส่วนผสมจาก ‘การาวิเทีย’ ซึ่งถูกรวมเข้ากับเรลันดาฟ ทำให้ผมสามารถควบคุมเวทมนตร์ที่ส่งออกไปได้ในระยะที่สายตามองเห็นโดยอิสระ
พร้อมกันนั้น ขณะที่วินกำลังหนีจากทวนสายฟ้า–วงแหวนเวทย์อีกสิบบทก็ปรากฏขึ้นข้างหลัง และอัดมันด้วย [เฟรมบาสเตอร์] ทั้งสิบบท
“!!?”
ขีดจำกัดคือสิบวง หลังจากที่วงแหวนเวทย์แตกจากการใช้งาน จะสามารถร่ายขึ้นมาใหม่ได้ทันที โดยไม่สนว่าเวทมนตร์ที่ถูกสร้างด้วยวงแหวนเวทย์เมื่อครู่ยังมีอยู่ ..แค่นี้ยังไม่จบ ผมโยนวงแหวนเวทย์ขึ้นฟ้า จากนั้นก็ยกเรลันดาฟชี้ไปบนฟ้า
“[มาดัน]”
กระสุนมาตราปรากฏขึ้น และพุ่งเข้าใส่วงแหวนเวทย์ทั้งสิบ มันดูดกลืนเอาเพลิงขั้นบรรลุทั้งสิบบทเข้าไปในตัว จากนั้นผมก็ทำการเหวี่ยง [มาดัน] ใส่วิน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบมาดัน เธอสามารถหลับมันได้ไม่ยาก แต่ว่ามาดันก็ใช่ว่าจะสลายหายไป ผมสามารถควบคุมมาดันให้เคลื่อนที่ได้ต่อเหมือนกับทวนสายฟ้าสิบบท เวทมนตร์ทั้งหมดสิบเอ็ดบทเคลื่อนไหวไปมาบนท้องฟ้าอย่างอิสระ และทั้งหมดที่ว่าก็มีพลังมากพอจะถล่มเมืองทั้งเมืองให้เละได้ วินจำเป็นจะต้องรับมือกับเวทมนตร์ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
ในตอนนี้ จุดเด่นที่สุดของผมคือ ‘พลังทำลายล้าง’ ที่แทบจะไร้ขีดจำกัด ด้วยวิหคอมตะ และการขยายขอบเขตุการทำงานโดย เรลันดาฟ แน่นอน ทั้งหมดก็ถูกเสริมด้วยการตัดมิติ หากตั้งใจ หลายจังหวะแล้วที่ผมสามารถเล่นงานวินให้ล่วงได้โดยการใช้ตัดมิติเข้าช่วยในการจู่โจม แต่เลือกจะไม่ทำ เพราะมันคงไม่มากพอจะโค่นวินได้ ถึงผมจะคุมเกมอยู่ แต่ก็ประมาทไม่ได้ วินอาจจะปรับตัวกับเวทมนตร์ของผมในไม่ช้า เพราะอย่างนั้น แทนที่จะเล่นงานรัวๆแล้วให้อีกฝ่ายรักษากลับคืนมา สู้หาจังหวะเพียงจังหวะเดียว—ในการเอาชนะให้ได้ก็พอ
แน่นอน ที่จะทำคือ ‘การฆ่าวิน’ ดีๆนั่นแหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้ นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในเวลานี้
ณ ตอนนี้ อาณาจักรแห่งสายน้ำได้ถูกเปลวเพลิงเข้าปกคลุมไปกว่า 1/4 และมีทีท่าว่าจะขยายมากยิ่งขึ้นตลอด ..กระนั้น
“ฉันไม่สนแล้วว่าอาณาจักรนี้จะถูกทำให้เป็นธุรีโดยเพลิงของฉันมากแค่ไหน สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดตอนนี้ ฉันจะจมเธอลงสู่ความพ่ายแพ้—”
ผมทำการเรียกวงแหวนเวทย์มาอีกครั้งอย่างไร้ความปราณี
****
อาณาจักรเนลยอนกำลังถูกเผา … ‘อามาเทราสึ ฮิโรโตะ’ เฝ้ามองเปลวเพลิงนั้น และไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เรื่องบ้าอะไรกัน ..เพลิงนั่นมัน ฝีมือของอาวุธสงครามเหรอ? ไม่มีทาง นั่นไม่ใช่พลังของวิชาไสยศาสตร์ ความรุนแรงระดับนั้น–”
มันช่างชวนให้นึกถึง ‘มหามังกรเพลิง’
“คงเป็นฝีมือของ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ กระมังครับ”
ขณะที่ฮิโรโตะตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น รัฐมนตรีคนปัจจุบัน ‘ฮิโรชิ’ ก็ได้เดินเข้ามาพร้อมกับทหารเรือหลายคน โดยคนที่เด่นที่สุดนั้นเดินอยู่ข้างๆฮิโรชิ และมีตำแหน่งเป็นถึง ‘พลเรือเอก’ ของกองทัพเรือ
“เรเซอร์ ..ดราแคล์? เด็กหนุ่มตระกูลดราแคล์นั้นรึ นี่แก บังอาจเอาคนจากแดนอื่นมายุ่งกับปัญหาภายในอาณาจักรตัวเองเนี่ยนะ!? แล้วยังทำให้อาณาจักรตอนนี้โดนเผาอีก!!”
“ไม่ใช่เรื่องที่ท่านฮิโรโตะต้องกังวลหรอกครับ ท่านเองก็คงไม่คิดมากอยู่แล้วนี่ถ้าหากอาณาจักรแห่งนี้จะพังทลาย หลังจากจบสงครามครั้งนี้ หรือพูดให้ถูก สำหรับท่าน อาณาจักรเนลยอนมิใช่ อาณาจักรที่ผู้คนอยู่อาศัยกัน แต่เป็นอาณาจักรที่มีชนชั้นสูงอยู่บนสุด และมีขี้ข้าเป็นชนชั้นต่ำ”
“ว่าไงนะ..”
“ทางกระผมเองก็ไม่ต่างกัน ถ้าเพื่อขับไล่พวกชนชั้นสูงเนื้อร้ายแล้ว ต่อให้ต้องบูรณะอาณาจักรแห่งนี้ใหม่นับสิบปี ผมก็ไม่เกี่ยงครับ ..ไม่ใช่แค่ทางท่านหรอกนะ ที่พร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่ออนาคต”
พลเรือเอกเดินไปข้างหน้า หมายจะตรงไปหาฮิโรโตะ
“ท่านฮิโรโตะ ท่านน่ะทำเรื่องผิดหนักเป็นพิเศษเลย โทษจะไม่จบแค่การเนรเทศ แต่ท่านจะต้องถูกประหาร ณ ใจกลางอาณาจักรหลังจบเรื่องทั้งหมด เตรียมใจไว้ได้ดีเถอะ”
“เป็นแค่พวกไพร่แท้ๆแต่ปากมากซะจริงๆนะ คิดหรือไงว่าจะยอมให้จับกันได้ง่ายๆ แล้วก็สงครามยังไม่จบเสียหน่อย มันพึ่งจะเริ่มขึ้นต่างหาก”
ฮิโรโตะหัวเราะขึ้นจมูก และใช้ไม้เท้ากระแทกที่พื้น เกิดเป็นอักขระของวิชาไสยศาสตร์ขึ้น
“แทนที่จะมาหาเรื่องฉัน ไปหาวิธีหยุดพวกเรนให้ได้ก่อนเถอะ”
กล่าวจบร่างของฮิโรโตะก็หายไปจากเบื้องหน้าด้วยวิชาไสยศาสตร์ที่เตรียมการณ์ไว้อยู่แล้ว ฮิโรชิเองก็พอจะเดาได้จึงไม่คิดอะไรมาก และหันไปมองทางที่เปลวเพลิงกำลังคลืบคลานเข้ากลืนกินทั่วทั้งอาณาจักรเนลยอน
“ถึงจะบอกว่าพร้อมแลกทุกอย่าง แต่ให้ทำลายทุกอย่างจริงๆนี่ก็แย่เหมือนกันนะครับ”
ฮิโรชิหรี่ตามองอย่างเงียบขรึม พลางนึกถึงตอนงานประชุมโลกที่เรเซอร์เองก็มีส่วนร่วมสำคัญในการหยุดมนุษย์ต้นไม้ที่น่าหวาดกลัว โดยการใช้เวทมนตร์ที่หายสาบสูญอย่าง ‘โนอาห์คาโน่’ ปืนใหญ่วันสิ้นโลก มหาเวทย์ที่สามารถสะเทือนทวีปทั้งทวีปได้
“ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายได้อยู่รึเปล่านะ ที่เขาไม่คิดจะใช้ [โนอาห์คาโน่] ..ถึงอย่างไร ก็ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าหวาดกลัวจริงๆ”
“นั่นสินะ”
พลเรือเอกข้างๆเสริมขึ้น
“รับมือกับอาวุธสงครามตนนั้นตอนปลดลิมิตทุกอย่างได้ตรงๆแล้วยังไม่ตายนี่น่าเหลือเชื่อแล้ว แต่ถึงขนาดคุมเกมได้ยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่ ..ไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนั่น แกร่งกว่า ไรเดน อาคาสะ หรือ เอเธอร์ ไปแล้วหรือไงกัน?”
มานาที่เสมือนว่าไร้ขีดจำกัด พลังทำลายล้างที่แทบจะไม่ต่างหรือเหนือกว่ามหามังกร วิญญาณระดับเทพในพันธสัญญา ยิ่งกว่าระดับท็อปโลกทั่วๆไป ตัวตนของเรเซอร์ ดราแคล์ ได้เข้าสู่ขอบเขตุของตัวประหลาดในหมู่ตัวประหลาด หรือก็คือได้เข้าใกล้คำว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ อย่างเอเธอร์ขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่ารวมถึง ..
“วิธีต่อสู้ยังเน้นพลังทำลายล้างเข้าว่า อย่างกับว่าเป็น ‘จอมมาร’ อย่างไรอย่างนั้น”
“ ‘ผู้วิเศษ’ ยิ่งกว่าท็อปโลกคือตัวตนที่กล่าวขานกันว่า ‘ผู้วิเศษ’ กว่าสิ่งอื่นใดบนโลก ตัวตนที่จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะ ‘ปรากฏการณ์’ ”
ฮิโรชิแบมือที่มีอยู่ห้านิ้วขึ้น และเริ่มนับจำนวนผู้วิเศษโดยการเก็บนิ้วลงที่ละนิ้ว
“ ‘เอเธอร์’ ‘เทพดาบ’ แล้วก็ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ สินะ”
ผู้วิเศษหากมองผิวเผินแล้วคงไม่ต่างกับท็อปโลกเสียเท่าไหร่ ในด้านของพลังทั้งสองคำเรียกนี้สามารถเผชิญหน้ากันได้อย่างสูสี เสมือน ไรเดน อาคาสะ ที่เข้าต่อสู้กับเอเธอร์มานับสิบปี แต่นี่เป็นคำเรียกสำหรับพวกที่เข้าขั้นปรากฏการณ์ ไม่ใช่ความแข็งแกร่งอันเป็นที่สุดอย่างเดียว แต่ยังเปี่ยมด้วยพลังอันน่ามหัศจรรย์ที่สะเทือนโลกทั้งใบได้ เหมือนดั่งที่ในอดีตเคยมีมาก่อน ‘ราชาผู้พิชิต โอลิเวอร์’ ผู้ครอบครองมหาเวทย์ทั้งสี่ เจ้าของมณีธาตุทั้งสี่ รวมถึงเป็นราชาคนแรกและคนเดียวบนโลกที่เคยปกครองโลกทั้งใบมาก่อน ‘วีรสตรี ยูนา’ ผู้สร้างยุคสมัยใหม่ได้โดยดาบเล่มเดียว หรือกระทั่ง ‘จอมมาร’ ศัตรูแห่งโลก เองก็เช่นกัน
ในมุมมองของฮิโรชิเวลานี้ เรเซอร์ได้ถูกเอาไปรวมกับ ‘ผู้วิเศษ’ ที่ว่ามาแล้วในด้านของพลังความสามารถ เหลือเพียงก็แค่—ประกาศให้โลกรู้ถึงมนุษย์ผู้วิเศษ
****
“..อา ฮะ ฮะ ฮะ”
วินนั่งพิงกำแพงหินที่กำลังกลายเป็นธุรีในไม่ช้า รอบตัวของเธอถูกโอบกอดด้วยเปลวเพลิงทั้งซ้าย-ขวา หน้า-บน ราวกับเพลิงนรกที่จะคอยขังคนบาปเอาไว้ เธอในตอนนี้ไม่มีทางให้หนี หรือถ้าสู้ก็ไร้ซึ่งโอกาสจะชนะ
พลังระดับราชาไสยศาสตร์ตัวเป็นๆไม่อาจโค่นเรเซอร์ได้ อย่าว่าแต่สู้ให้สูสีเลย เธอได้แต่ตั้งรับเพื่อยื้อชีวิตตัวเอง และได้แพ้อย่างหมดรูปไปแล้วครึ่งก้าว
มานาแห้งจนแทบรีดออกมาไม่ไหวแล้ว ทันทีที่มานาเธอหมด ผลลัพธ์ก็ปรากฏขึ้นทันที ในขณะเดียวกัน เรเซอร์ไม่เสียมานาเลยแม้แต่หยดเดียว บาดแผลเองก็ไม่มีเลย เพราะทุกอย่างถูกรักษาได้โดยวิหคอมตะ หลังจากสู้กันมานานระดับหนึ่งทำให้วินพอรู้ ..วิธีเอาชนะเรเซอร์ก็คือ–สร้างสถานการณ์ให้เรเซอร์มานาหมดตัว เป็นไปไม่ได้ วิหคอมตะจะคอยฉุดเรเซอร์ขึ้นมาเสมอ วิธีเดียวคือฆ่าเรเซอร์โดยที่ทำให้เรเซอร์ใช้วิหคอมตะไม่ทัน ซึ่งที่ว่ามา หากคู่ต่อสู้เป็นนักเวทย์ขั้นสูงพิเศษทั่วๆไปคงไม่ยาก แต่อีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีศักดิ์ศรีไม่ต่างกับพวกแกร่งระดับท็อปโลก ทั้งยังมีตัดมิติที่ช่วยสร้างความได้เปรียบด้านจังหวะ
หากพลาดก็แค่หนีโดยตัดมิติไปรักษา หากพลาดก็แค่ใช้ตัดมิติทำลายจังหวะโจมตีอีกฝ่าย พลังทุกอย่างในตัวซัพพอร์ตกันไปมา จนแทบจะกลบข้อเสียทั้งหมดในตัวของเรเซอร์ได้แล้ว
เรเซอร์ปรากฏตัวขึ้น เขาเห็นแล้วว่าวินหมดสภาพจึงทำการสลายเปลวเพลิงทั้งหมดทิ้ง–วินชำเลืองมองไปทางขวา และพบกับทุ่งร่างที่ยาวไปไกลนับกิโลเมตร ทั้งๆที่แต่เดิมที่แห่งนี้คือใจกลางเมืองอาณาจักรเนลยอนแท้ๆ
“โชคดีนะที่ทุกคนอพยพไปหมดแล้ว แต่ว่า..”
ไม่มีทางหนีไปได้หมดอยู่แล้ว
“ถ้าในระยะที่ฉันมองเห็น มีชีวิตราวห้าสิบชีวิตที่ฉันพอช่วยไว้ได้อยู่”
พอมองดูดีๆก็พบว่ามีคนราวห้าสิบคนที่อยู่ในฟองน้ำอย่างปลอดภัย และถูกปล่อยตัวลงสู่พื้นดินแล้ว กระนั้นทุกคนก็หวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็ ..สิ้นหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อนาคตของคนหลายคนถูกเผาทิ้งไปในคราเดียว แม้จะช่วยชีวิตคนได้บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ทำลายชีวิตต่อจากนี้ของคนอื่นไปแล้วกว่าพันหรือหมื่น
“นอกจากระยะสายตาก็ยืนยันไม่ได้ แต่คิดว่าน่าจะอพยพกันไปหมดแล้วนั่นแหละ”
“ส่วนคนที่ตายไปแล้ว..ก็คงมองว่าเรเซอร์ช่วยเผาศพให้ได้สินะ”
อย่าง ..มิเรียที่ตายในที่ที่ไม่ไกลจากนี้มาก
“การเผามันใช่วัฒนธรรมของที่นี่ที่ไหน–ขอโทษด้วยละกัน แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้คงยากจะเอาชนะเธอได้ พลังระดับราชาไสยศาสตร์แข็งแกร่งจริงๆ ยิ่งกว่าพลังกายคือความอิสระในการเคลื่อนไหวที่ยากจะจับตัวได้ ขืนทางนี้ไม่ใช้วิธีล้อมด้วยเพลิงแล้วค่อยๆบีบวงเพื่อลดความอิสระ และถล่มโจมตีก็คงไม่มีโอกาสเอาชนะได้หรอก ถึงไม่แพ้ แต่ก็ไม่ชนะ ผลสุดท้ายเธอก็จะชนะอยู่ดี ฉันเลย ..ฝืนใจทำเรื่องแย่ๆไปนิดหน่อย”
เรเซอร์ยิ้มอย่างหมดอะไรตายยาก เขาเองก็ไม่อยากจะทำเรื่องแบบนี้เลย ..ยังไงก็เป็นแค่คนๆหนึ่งนี่นะ
****
ผมชนะวินแล้ว
“เจ็บใจเลยนะ แปลว่าแค่รีบๆหนีหลังจากโดนล้อมด้วยเพลิงแรกๆก็พอสินะ”
“ก็ประมาณนั้น แต่ถ้าเธอทนรับความอับอาย จากความจริงที่สู้ฉันไม่ได้เลยหนีไปละก็–คงบรรลุเป้าหมายไปแล้ว”
โชคดีที่วินอยากจะสู้กับผมให้สนุกที่สุด ทำให้ชนะวินได้ไม่ยากเย็น
“..แหม่ ดูพูดเข้าสิ ชนะทีอวดใหญ่เลยเนอะ”
…
“แล้วจะฆ่าฉันยังไงรึ? ปล่อยไว้แบบนี้ ไม่นานมานาก็คงฟื้นแล้วขึ้นมาเป็นปัญหาได้อีกนะบอกก่อน”
“แน่นอนว่า ..ใช้ไฟเผานั่นแหละ”
เหมือนอย่างที่ร่างกายของวินตอนนี้ซึ่งเต็มไปด้วยรอยไหม้
“น่าจะทรมานแย่เลยนะแบบนั้น”
ผมส่ายหัวตอบ ก่อนลงไปนั่งยองตรงหน้า และยื่นมือไปสัมผัสที่บนไหล่ของเธอ
“จะใช้ไฟที่อ่อนๆเผา ..หมายถึงไม่ร้อน ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไรเลย รู้ตัวอีกทีเธอก็แค่หายไปจากที่แห่งนี้ แล้วก็ ..คอยมองดูน้องสาวของเธอต่อจากที่ไหนสักแห่งต่อ อยู่อย่างสงบในที่ที่ไกลแสนไกล ปราศจากการต่อสู้และสงคราม ปราศจากโชคชะตาที่เล่นตลก”
“พอพูดแบบนี้ ความตายก็ดูไม่น่ากลัวเลยนะ”
“ถ้าคนที่ตายน่ะใช่ แต่คนที่อยู่ต่อคงไม่ละนะ”
วินหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง เธอโค้งตัวไปโอบหัวของผม และดึงเข้ามาเอาหน้าผากชิดกัน สัมผัสถึงไออุ่นของเธอได้ชัดเจน ทำให้รู้ว่าตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ แค่ตอนนี้
“จริงๆก็เป็นอย่างที่เรเซอร์พูดนั่นแหละ อย่างน้อยฉันก็อยากจะพูดคุยกับน้องสาวก่อนจะต้องจากไป ..อยากสัมผัสไออุ่นของเธอเหมือนอย่างที่ฉันกอดเรเซอร์ตอนนี้ อยากได้เครื่องพิสูจน์ที่บอกว่าคนที่ฉันรักกำลังมีชีวิตอยู่ต่อจากนี้ อา ..นึกดูแล้วมันก็น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละนะ แต่ว่า” วินยิ้มออกมาอย่างสวยงาม “คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับโชคชะตาของมนุษย์คนนี้ ..น่ะนะ”
….
วินมองหน้าผม ก่อนกลับไปมองร่างของตัวเอง ก่อนจะกระพริบตาสามจังหวะ และทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา เธอทำอะไรไม่ถูก เอามือมาบังหน้าบังตาเอาไว้ พยายามไม่สบตากับผม และหายใจอย่างยากลำบาก
“อา ..เรเซอร์–ช่วยเผาฉันอย่างอ่อนโยน ช่วยโอบกอดฉันด้วยเพลิงของนายที ได้โปรด ..ถ้าปล่อยให้รอนานมากกว่านี้ มันไม่ดีต่อหัวใจเลย”
น้ำตาไหลออกจากดวงตาของวิน ผมกัดริมฝีปากตัวเอง เบือนหน้าหนีต่อความเป็นจริงและเริ่มปลดปล่อยเปลวเพลิงที่แสนอ่อนโยน ไม่แม้แต่จะมอง เพราะไม่อยากจะมองภาพของคนสำคัญที่กำลังถูกเผา …เปลวเพลิงนั่นอบอุ่นมาก ไม่ได้ยินเสียงร้องอะไรจากวินเลย
“อุ่นจริงๆด้วย”
ยืนยันจากวินได้เลยละ แต่ว่าเพลิงที่แสนอบอุ่นนี่มันกลับเผาจิตใจของผมแทน
เจ็บปวดเหลือเกิน—ทรมาน แต่ก็ใช้เวลาไม่นาน ใช่ ไม่นาน ผมก็ไม่อาจสัมผัสถึงไหล่ของวินได้แล้ว ผมจึงหันไปมอง
และพบกับเถ้าธุรีสีดำ
ผมสัมผัสที่เถ้าธุรีนั่น ..ร่างของวินได้หายไปจริงๆแล้ว แต่ว่าถ้าเกิด ถ้าเกิด ..หวังอย่างนั้นจึง
“[วิหคอมตะ]”
เพลิงสีทองได้ปกคลุมเถ้าธุรีที่มาจากวิน เคยเป็นส่วนหนึ่งของวินมาก่อน และแน่นอนว่า–ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น รู้อยู่แล้วละว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังหวังล้มๆแล้งๆ ไม่อาจเรียกวิญญาณกลับคืนมาได้นี่คือสัจธรรมของโลก เพราะอย่างนั้นจึงสรุปได้แล้วว่า ..
“วินตายแล้ว”
โดยเนื้อมือของผม
****
ภายในห้องพยาบาลที่ห่างไกลจากอาณาจักรเนลยอนซึ่งมีหลายคนอพยพมาที่แห่งนี้ หนึ่งในนั้นมีคนไข้ระดับ VVIP คนหนึ่งได้ลืมตาตื่นขึ้น ขณะที่พยาบาลกำลังดูแล
“เอ๊ะ ..เอ๊ะ..เอ๋?”
“..ที่ไหน?”
“เอ๊ะ ได้ไง เดี่ยวนะ”
เด็กสาวผู้ลืมตาตื่นขึ้นปัดผมสีบลอนด์ที่ยาวบังหน้าบังตาของตัวเอง และลุกขึ้นจากเตียงนอนทันที เธอเดินไปมาอย่างยากลำบาก ไม่อาจควบคุมการเดินได้ เพราะไม่เคยเดินมาก่อนเลย ตั้งแต่ที่ถือกำเนิดจนถึงตอนนี้ เธออยู่ในฐานะเจ้าหญิงนิทรา จึงล้มลงกับพื้นอย่างไม่น่าดู และนั่งอยู่กับพื้นในท่านั่งแปลกๆและพบว่าตัวเองกำลังถูกส่องโดยกระจกของห้องนอน
กระจกขนาดนั้นยักษ์เผยให้เห็นรูปร่างของเธอในชุดคนไข้ และเหนือสิ่งอื่นใด ..ความทรงจำก่อนหน้านี้นับสิบปีก็ได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธอ
“..พี่? ..พี่ ..พี่ ..” เธอสัมผัสหน้าอกของตัวเอง ขยี้มันอย่างแรง และกรี๊ดร้องออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “พี่..!”
ทันทีที่ตื่นมาก็พบกับความจริงที่ว่า–พี่สาวของเธอได้ตายจากไปแล้ว และได้ยื่นไม้ต่อของชีวิตให้กับเธอ