< < 177 Sec2 > >
โลกสีขาวที่แสนว่างเปล่า ที่แห่งนั้นคือโลกแห่งจิตใต้สำนึก เป็นช่องแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย ดังที่พบเห็นได้บ่อยๆในตอนที่เผชิญหน้ากับวีรสตรียูนาครั้งเมื่ออดีต เนลยอนถอนหายใจ และหันหลังกลับไปพบกับเนลยอนตัวน้อย
เนลยอนตัวน้อยจ้องมาที่เนลยอนอยู่พักใหญ่ๆก่อนเอ่ยขึ้น
“นี่ ใยเจ้าถึงได้อยากจะพบบิดาของเจ้าขนาดนั้นกันล่ะ?”
ทำไมนั้นเหรอ ..เพราะมันคือชะตากรรมที่พวกตนจะต้องกลับคืนสู่ร่างต้นอย่างเทพมังกรกระมัง? แม้จะคิดอย่างนั้นในทีแรก แต่ใจจริงของเนลยอนคืออีกอย่าง
ไม่เคยคิดอยากจะพูดใจจริงให้ใครฟังเลย แต่ว่าถ้าเป็นตัวอีกในโลกแห่งจิตใต้สำนึกคงจะไม่เป็นอะไร
“แค่คิดว่านั่นคือความสมบูรณ์แบบครอบครัว”
“โง่จังเลยนะ”
….
เนลยอนนั่งลงกับพื้น พยักหน้ารับคำด่าของเนลยอนตัวน้อยตรงๆ
“เด็กน้อยไม่ต่างกับข้าขนาดตัวของข้าเลย เจ้าเนี่ย”
“ต่อให้เป็นตัวเองก็คงจะด่าตัวเองสินะ ..น่าขันสิ้นดี”
ทั้งหมดก็แค่นั้นแหละ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญบ้าอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เริ่มต้นมันขึ้นมากว่าพันๆปี มันก็แค่ ..อยากสัมผัสคำว่า ‘ครอบครัวที่แท้จริง’ ก็แค่เด็กคนหนี่งที่คิดว่าหากขาดพ่อไปก็คงไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์
จมโลกใบนี้สู่ความมืดมิด พรากชีวิตไปนับแสนนับล้าน และยังคงดื้อรั้นที่จะบรรลุเป้าหมายอันไร้เดียงสานั้น
“ทั้งๆที่ครอบครัวที่แท้จริงมันไม่ใช่สถานะ หรือว่าสายเลือดอะไรเสียหน่อย เจ้าเองก็ได้เห็นมาตลอดแล้วมิใช่หรือ? แก่นแท้ของคำว่าครอบครัวน่ะ”
“จะพูดอะไรกันแน่”
“อยากบอกว่าเจ้าแค่โง่เกินกว่าจะยอมรับเท่านั้นเอง”
เนลยอนผู้ใหญ่เถียงอะไรเนลยอนตัวน้อยไม่ได้เลย เนลยอนตัวน้อยออกเดิน จากนั้นก็มีเศษเสี้ยวความทรงจำมากมายผุดขึ้นบนโลกแห่งจิตใต้สำนึก
“วินผู้รักในน้องสาวของตัวเองยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด..มหามังกรซึ่งยอมรับเจ้าในฐานะน้องชาย และพยายามจะเรียกสติเจ้ามาตลอดหลายพันปี โดยไม่คิดจะฆ่าเจ้าเลยแม้แต่หนเดียว” เนลยอนตัวน้อยหยุดเดิน ก่อนหันหลังกลับไปหา “มีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจอีกรึ? ในเมื่อสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวมันไม่จำเป็นต้องครบด้วยองค์ประกอบทั้งหมด”
…..
….
“ข้าอยากจะให้ไออุ่นทั้งหมดที่ได้รับมันเป็นเพียงแค่ของปลอม”
“เพื่ออะไรกัน?”
“การที่ข้ากลมเกลียวกับเจ้าพวกนั้นมันก็แปลว่าข้าเป็นพวกประเภทเดียวกับพวกนั้น ..ซึ่งข้าไม่อยากเหมารวมตัวเองกับพวกบ้า ..”
เนลยอนตัวน้อยกระพริบตาปริบๆ เนลยอนผู้ใหญ่มุดหน้าตัวเองหนีเข้าเข่า
“ไร้เดียงสา เสียจนโง่เลยนะเจ้าน่ะ ความปารถนาแรกนั่นไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นช่วงต่อต้าน ..จุดเริ่มต้นมันแค่นั้นเองสินะ ไปๆมาๆเป้าหมายนั้นก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ใจจริงถูกกลบไว้ในส่วนลึก ของจอมปลอมที่ถูกกล่อมเข้าหูโดยออร่าก็เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น จนสุดท้ายก็หลงผิด หลงคิดไปว่าตัวเองมีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ มีหน้าที่อันสูงส่งที่จะคืนชีพเทพมังกร”
เนลยอนตัวน้อยหัวเราะพึมพำอย่างดูถูก
“เจ้านี่มันโง่เกินเยียวยา เหตุผลแสนไร้สาระนำพาหายนะมาสู่โลกใบนี้ คงแอบคิดในใจสินะว่าคงไม่มีใครบนโลกใบนี้จะยกโทษให้ตัวเองได้”
“ใช่ มันควรจะเป็นอย่างนั้น”
“แต่ว่าเจ้ามีครอบครัวที่แท้จริงอยู่”
เนลยอนตัวน้อยสะท้อนความจริงให้เห็น เดิมที เนลยอนตัวน้อยก็คือตัวของเนลยอนเองนั่นแหละ ..
“ถึงอย่างไรเจ้าก็จะถูกโกรธ ถูกทำโทษอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนจะให้อภัยเจ้า ต่อให้เจ้าฆ่าคนไปครึ่งค่อนโลก หรือว่านำหายนะมาสู่คนรักของเจ้าพวกนั้นแค่ไหน แต่สุดท้ายในท้ายที่สุด เจ้าก็จะได้รับการให้อภัย”
“เพราะเจ้าพวกนั้นมันโง่”
“เพราะรักเจ้ามากถึงเพียงนั้นต่างหาก”
เนลยอนผู้ใหญ่อึ้งกิมกี่ เนลยอนตัวน้อยแสยะยิ้มให้
“สายสัมพันธ์ที่ไร้ที่มาที่ไป ที่ตัดสินลำดับเพียงแค่การวัดพลัง สายสัมพันธ์ราวกับจอมปลอมเช่นนั้น-มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“คำตอบเจ้าน่าจะได้เห็นแล้วมิใช่รึ จากเวลานับพันปีที่ผ่านๆมา .. ’พวกข้าจะไม่โกหกเจ้าเป็นอันขาด และจะไม่หันหลังให้เจ้าด้วย ข้าเชื่อว่าพวกข้าพิสูจน์มาให้เห็นมากพอแล้วด้วย เจ้าเองก็คงจะเข้าใจดีถึงใจจริงนี้’ ว่างั้นแหน่ะ”
“โง่เป็นบ้า”
“สมกับที่เป็นพี่น้องกันเลยเนอะ”
….เนลยอนกุมศีรษะของตัวเอง มุดหัวเข้าเข่าอีกครั้ง ทำเสียงร้องว้ากออกมาสุดแรงเกิด
“ข้าไม่กล้าสู้หน้าใครแล้ว มันน่าละอายใจ ..ข้าอายที่จะต้องบอกความจริงทั้งหมดให้ใครต่อใครฟัง”
“ข้าเองก็อายเหมือนกันที่ต้องถูกเหมารวมว่าข้ากับเจ้าคือคนเดียวกัน” เนลยอนตัวน้อยถอนหายใจเฮือกโต “ข้าแอบคิดนะเนลยอนผู้ใหญ่ ข้าคิดว่าถ้าตอนนั้นข้าไม่คิดจะทำอะไรบ้าๆคงจะดีกว่านี้”
“เหมือนกัน”
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าและเจ้าคิดอะไรเหมือนๆกัน ..โอ๊ะ เหมือนว่าเวลาจะหมดแล้ว”
เปลวเพลิงทะลักผ่านโลกแห่งจิตใต้สำนึก เนลยอนผู้ใหญ่ลุกขึ้นและทำท่ากอดอกวางมาด เนลยอนตัวน้อยเห็นก็กระโดดแทงศอกเข้าให้ทีหนึ่ง
“วางตัวให้ดีที่สุด ขอโทษไปซะ”
“…”
“คำตอบล่ะ!?”
“รู้แล้ว จะไม่อาละวาด” เนลยอนผู้ใหญ่หรี่ตาลง “จะไม่หนีอีกแล้ว”
เนลยอนตัวน้อยเห็นก็ถอนหายใจโล่งอก และเลืองหายไปก่อนที่เปลวเพลิงจะทะลักเข้ามา
“ลาก่อน”
****
“ไหนบอกว่าจะเอาไม่ถึงตายไงเล่า!!”
“แง๊!!! ก็ไม่คิดว่าต้าวเนลยอนจะกระจอกได้ขนาดนี้อ่า!!? ทำไงดี ทำไงดี! อีแบบนี้ได้ไปหาท่านผู้ให้กำเนิดสมใจอยากแล้วสิ!!”
เจ้าไฟ และเจ้าลมบ่นโวยวายอะไรไม่รู้ ทั้งๆที่เนลยอนตื่นมาตั้งใจจะพูดเรื่องสำคัญแท้ๆ แต่พวกนี้มัน ..ชอบทำเสียบรรยากาศตลอด
“ว่าก็ว่าเถอะ เจ้าเนลยอนเนี่ยนะ บอกให้ฝึกฝนซะบ้างก็ไม่คิดจะฝึกอะไรเลย เพราะแบบนี้ไงเลยได้อ่อนแอถึงขนาดมีอาภรณ์เทพมังกรก็เอาพวกเราสองพี่น้องไม่ลง”
“ข้าแกร่งเกินไปด้วยแหละ เทียบกับต้าวเนลยอนที่อ่อนหัดแล้ว ..อ๊ะ”
เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเนลยอนตื่นอยู่
เนลยอนอยู่ในสภาพนอนหนุนตักฟัฟนิร์ และมีแซร์อิซนั่งอยู่ข้างๆ ไกลออกไปคืออลิซที่เดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย
ตอนนี้บนท้องฟ้าคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสีแดงฉานน่ากลัว รอบตัวเต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้ใต้ดินที่ทั้งหมดได้เข้าต่อสู้กันเกิดการถล่ม และมีสภาพดังที่เห็น
เพลิงของฟัฟนิร์ก่อนหน้านี้คงแรงน่าดูเลย ดีที่รอดมาได้ ..เพราะเป็นมหามังกรแท้ๆเลยรอดมาได้
“นินทาข้าซะสนุกเลยไม่ใช่รึ? พวกโง่ทั้งหลาย”
“ข้าเปล่าพูดนะ”
ตอแหลหน้าด้านๆ
“ข้าพูดออกมาจากใจจริงแหละ”
อยากต่อยเจ้าบ้านี่สักหมัด
ต่อให้มองใหม่ยังไง เจ้าพวกนี้ก็ยังคงน่ารำคาญไม่เคยเปลี่ยน
“..ขอโทษ”
“โอ๊ะ”
“เอ๋?”
….
“ก็บอกว่าขอโทษไง ..”
ฟัฟนิร์ผละตัวออกจากเนลยอน ลุกขึ้นยืนและทำหน้ามึนงง
“ไม่ชินเลยอ่ะ”
“จะสู้กันอีกรอบข้าก็พร้อมนะ”
“ไม่เอาดีกว่า พูดก็พูดเถอะ ข้าหมดก็อกแล้วแหละ เพราะเหลือแก่นแท้เพียงครึ่งเดียว ทำให้บางครั้งบางคราที่ใช้พลังงานเกินตัวก็จะอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง ..ถ้าสู้อีกรอบ โอกาสชนะคง 50/50”
ประเมินเนลยอนที่มีพลังเต็มร้อยไว้ต่ำสุดขีด แต่ก็ทำให้คิดได้ว่าสมกับเป็นฟัฟนิร์ดี ในสมัยก่อนหล่อนที่เป็นอมตะได้โดนวีรสตรียูนาเล่นงานมาสารพัดจนกลายเป็นพวกกลัวความเจ็บปวด ทำให้ติดนิสัยที่จะสู้ในการต่อสู้ที่ชนะได้เท่านั้น จึงทำให้รู้ว่าฟัฟนิร์มั่นใจร้อยทั้งร้อยว่าตัวเองจะชนะด้วยไพ่ตายที่เก็บเอาไว้ ..เนลยอนแอบหงุดหงิดก็จริงแต่ไม่คิดจะหาเรื่องอะไรอีกแล้ว ใช่ เขาพอแล้วละ ทุกๆอย่างที่เก็บไว้ตลอดพอแล้ว
“หมดสภาพแล้วก็ระวังปากหน่อยเถอะ ตัวข้าสามารถสวมอาภรณ์เทพมังกรมาไล่กระทืบพวกเจ้าได้ไม่ยาก”
ฟัฟนิร์แม้จะกลัวเจ็บ แต่ก็ขวานผ่าซาก เป็นพวกพูดอะไรไม่คิด ทำให้สร้างศัตรูไปทั่วไม่พอ ยังหาเรื่องทะเลาะวิวาทได้ง่ายๆอีก เธอเป็นเช่นนี้มาเสมอและไม่มีทีท่าว่าจะระวังตัวด้วย ที่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้เป็นเพราะความอมตะ แต่ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นอมตะแล้ว ไม่ว่าใครก็คิดเป็นเสียงเดียวกันว่า-ช่างน่าเป็นห่วง
“เจ้าไม่ได้เป็นอมตะแล้ว ทำอะไรก็คิดๆหน่อยละกัน ..เข้าใจนะ พี่”
“ช่วยเรียกว่า ‘ท่านพี่’ ได้รึไม่?”
“เรียกข้าว่า ‘บราเธอร์’ ได้รึไม่?”
“ไม่”
เนลยอนเชิดหน้าหนีไปทางอื่น ฟัฟนิร์กับแซร์อิซพากันไหล่ตกใหถ้วนหน้า
“นึกว่าจะว่านอนสอนง่ายแล้วแท้ๆเชียวนะ” ฟัฟนิร์ไหล่ตก
“เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!!” แซร์อิซแหกปากขึ้นมา
“พี่แซร์อิซเองก็ระวังปากหน่อยก็ดีนะ เดี่ยวสักวันจะจบไม่สวยเอา” เนลยอนพูดพลางเขม็งใส่
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ดูพูดเข้าสิ ห้าวเป้งเลยนี่หว่า!”
“แซร์อิซเนี่ยขาดสามัญสำนึกอย่างที่ต้าวเนลยอนว่ามานั้นแหละ หัดฟังที่คนอื่นแนะนำบ้างก็ดีนะ”
“พี่ฟัฟนิร์ก็ไม่ต่างกันหรอก”
“เอ๊ะ?”
เพียงไม่นานความวุ่นวายก็บังเกิด เหล่ามหามังกรนั้นไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็เป็นตัวป่วนเสมอๆ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม อลิซมองมาที่ทิวทัศน์การเถียงกันไปมาของพี่น้องมหามังกรสุดแสนจะไร้สาระ เห็นแล้วก็ถอนหายใจออกมา
“พวกเขาคุยเล่นกันสนุกสนานหลังจากพึ่งถล่มใต้ดินของอาณาจักรเนลยอนจนเละเนี่ยนะ ..ก่อนหน้านี้ก็ไล่ฆ่ากันซะเอาเป็นเอาตายด้วย ฉันเข้าไม่ถึงจริงๆ” อลิซนั่งยองกับพื้น หยิบกิ่งไม้ใกล้ๆมาเขี่ยเศษหินเล่นเพื่อฆ่าเวลา “พวกมหามังกรเนี่ยมีแต่แบบนี้รึไงนะ”
พูดถึงมหามังกรในความคิดของอลิซ คือพวกที่อยากจะทำอะไรก็ทำ เพราะมีความอมตะคลุมหัวตัวเองเอาไว้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเลย
ประสบการณ์ตรงจากซวยเหลือหลายอลิซ
วันดีคืนดี จู่ๆแซร์อิซก็แก้ผ้าโชว์ของลับของตัวเองให้คนอื่นจนโดนตำรวจทั้งเมืองไล่จับ เหตุผลที่ทำเป็นเพราะอยากจะสร้างตำนานประจำเมือง แล้วก็หวังว่าจะโชคดีมีสุภาพสตรีสักคนกระโดดถีบเขาเพื่อสนองความโรคจิตของตัวเอง ..เวลาที่เจอผู้หญิงเก่งๆมักจะเข้าไปหาเรื่องโดยหวังให้อีกฝ่ายกระทืบตัวเองให้เละ หลายต่อหลายครั้งที่ทำอะไรไม่คิดจนลำบากเธอ
อย่างตอนที่ไปหาเรเซอร์ในอาณาจักรฟัฟนิร์ก็ก่อเรื่องซะมากมาย ..คนน้องอย่าง ฟัฟนิร์ก็พอๆกัน
ในส่วนที่ร่วมเดินทางด้วยกันไม่นาน ในทุกๆวันฟัฟนิร์จะต้องโดนพวกโฉดๆมาหาเรื่อง หรือไม่ก็เจออริเก่าที่สร้างไว้เมื่อร้อยปีก่อนบ้าง พันปีก่อนบ้างตลอด เรียกได้ว่าการอยู่กับฟัฟนิร์นั้นเสมือนกับการเข้าไปในดันเจี้ยนที่ทุกอย่างในนั้นพร้อมจะล่าเรา นอกจากนั้นก็มีความสามารถพิเศษบริเวณปาก เพียงแค่เปิดปากพูดไม่กี่ประโยค คนบางคนก็พร้อมจะกระทืบฟัฟนิร์ รวมถึงเพื่อนร่วมทางของเธอแล้ว
จากการวิเคราะห์ของอลิซ เธอมั่นใจว่าถ้าฟัฟนิร์ไม่มีชินดร้ามาคอยดูแล เธอน่าจะเดี้ยงไม่ต่ำกว่าสิบรอบต่อเดือน ..ต่อมาก็ อ่า น้องคนเล็กสุดที่เคยทำโลกนี้ชิบหายมาแล้ว ถึงจะยังไม่รู้จักอะไรมากแต่ก็พอเดาได้ว่า
น่าจะพอๆกันนั่นแหละ
“ชีวิตฉันทำไมต้องมาพัวพันกับพวกตัวปัญหาด้วยนะ ..อยากกลับบ้าน อ๊ะ ไม่มีบ้านให้กลับแล้วนี่หว่า ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ”
อลิซพยายามหัวเราะเลียนแบบแซร์อิซแต่ก็คนละอารมณ์กันเลย …หืม?
เสียงคนกำลังวิ่งมาจากข้างหลัง เร็วมาก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความสะเปะสะปะในการวิ่ง เมื่อหันไปมองก็สายไปแล้ว
‘เรน’ ปรากฏตัวออกมาที่ด้านหลังของเนลยอน ในสภาพที่ทั้งตัวท่วมไปด้วยเลือด ไม่มีใครที่สังเกตุเห็นเลย
“คุยกันสนุกเชียวนะ ไอ้พวกไม่เต็มบาท!!”
เร็วมาก–เพียงพริบตาเดียว แขนของเรนก็ทะลุผ่านหน้าอกของเนลยอน ฟัฟนิร์และแซร์อิซรีบพุ่งเข้ามาหมายจะฆ่าเรนทิ้งทันที
ทว่า
“ผิดแผนอีกแล้ว ไอ้บ้าเอ้ย เอาอีกแล้ว!! ทำไมมันเป็นแบบนี้ตลอดเลยฟร้ะ!!? ฮ่าๆๆๆ แม่งเอ้ย!!”
“แก..เรน”
“แต่ใครมันจะไปยอมให้ทุกอย่างจบง่ายๆกันวะ! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
เปลวเพลิงและสายลมพุ่งอัดเรน แต่ก็ไม่แรงพอจะซัดเรนให้ปลิวไปได้ เรนหัวเราะไม่หยุดและดึงหัวใจของเรนออกมา
สิ่งแปลกปลอมบนฟากฟ้าได้เปล่งแสงขึ้นหนึ่งจังหวะ และเรืองแสงสีทองออก ณ แกนกลาง
“พลัง–มัน”
เนลยอนไม่อาจขัดขืนอะไรได้—เรนทำการขยี้หัวใจที่ดึงมาทิ้ง
สติของมหามังกรวารีหลุดไปอย่างกระทันหัน ร่างล้มลงกับพื้น และสลายกลายเป็นผุยผง
“—-”