เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 290

< < 184 > >

“คิดดีแล้วเหรอ?”

ผมเอ่ยถามเธอที่ให้พี่สาวของตัวเองยืมไหล่เพื่อพักผ่อน เธอคนนั้นคือน้องสาวของวินที่ตัดสินใจจะ–หลับใหลเพื่อให้พี่สาวของตัวเองใช้ชีวิตต่อไป นึกว่าหากได้ลืมตาดูโลกใบนี้แล้วจะนึกอยากอาศัยอยู่บนโลกให้มากกว่านี้เสียอีก แต่เหมือนจะไม่ใช่ 

“ค่ะ ..หนูอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับพี่สาว ถ้าไม่ได้”

“ก็ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่หรอกสินะ”

เธอพยักหน้าตอบกลับคำถามโดยไม่หลงทางเลย เป็นความปารถนาที่แน่วแน่ และโลภมากเหลือเกินสำหรับสองแฝดที่เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมเล่นตลก

“ไม่ต้องห่วง พวกเธอจะต้องได้เจอกันแน่นอน”

“ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนั้นหรือคะ?”

“เพราะคนรักของฉันจะช่วยพวกเธอยังไงละ”

“..รักคนๆนั้นมากขนาดไหนเหรอคะ?”

ผมครุ่นคิด พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่พึ่งมาเยือน

“เพื่อเธอคนนั้นฉันพร้อมจะทำทุกอย่าง คงคล้ายกับที่พี่สาวของเธอพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอนั่นแหละนะ”

“ระหว่างพี่สาวกับคนๆนั้น?”

“..ที่ถามมามันไม่เสียมารยาทไปหน่อยรึไง”

น้องสาวของวินเมื่อได้ยินคำตอบก็หัวเราะร่าขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นยืน และส่งยิ้มมาให้ผมที่ไม่ไกลจากกันนัก

“ช่วยทำให้มันถูกต้องด้วยนะคะ คุณเรเซอร์”

“เข้าใจแล้ว ..เธอ จะว่าไปยังไม่มีชื่อเลยนี่นา”

“มีอยู่นะคะ พี่สาวเคยตั้งให้ไว้ราวห้าปีก่อน แต่น่าจะลืมไปแล้ว”

อะไรของยัยนั่นฟร้ะนั่น? น่าเขกกระโหลกสักทีจริงๆ

“หนูมีชื่อว่า ‘จาย่า’ มีความหมายว่า ‘ชัยชนะ’ เพราะพี่สาวอยากจะเอาชนะศึกสำคัญในตอนนั้นถึงได้ตั้งชื่อหนูไว้อย่างนั้นค่ะ เห็นบอกว่าเป็นศึกที่อาจจะได้เจอกับผู้กล้า และราชาเวทมนตร์เลยอาจไม่รอดก็ได้”

ศึกที่ชินเคยเข้าร่วมสินะ เคยเล่าให้ฟังอยู่เมื่อตอนเจอกันแรกๆ

“ถ้านั้น จาย่า จากนี้ฉันจะทำให้เธอหลับใหลไปอีกครา มันอาจจะเป็นเวลาชั่วนิรันดร์ หรือไม่ก็ชั่วพริบตาก็แล้วแต่ แต่ฉันสัญญาได้เรื่องหนึ่ง”

การสะบั้นมิติของผมได้เริ่มขึ้น พร้อมกับเวทมนตร์สนับสนุนมากมาย เพื่อทำให้จาย่าเข้าสู่สภาพเจ้าหญิงนิทราอีกครั้งเพื่อยับยั้งการจากไปของใครสักคนแบบสุ่ม จึงต้องทำตัวตายตัวแทนขึ้นมาก่อนจะถึงเวลาที่มานาของทั้งสองกลับมาเป็นดั่งเดิม

ผมยื่นหมัดไปข้างหน้า บ่งบอกว่ากำลังเชื้อเชิญให้เธอตรงหน้าไทไฟต์กับผม

“ไม่ว่าจะต้องพยายามมากแค่ไหน ต่อให้ต้องถล่มสวรรค์ ทลายนรก ต้องเข้าห้ำหั่นกับทวยเทพ หรือว่าไอ้สัตว์ประหลาดสุดแกร่ง ถ้าทำแล้ววันที่พวกเธอสองพี่น้องจะได้พบกันใกล้ยิ่งขึ้น ฉันจะทำมันทุกอย่าง เพราะฉะนั้น–วางใจได้ วันคืนของพวกเธอมันไม่ได้จบแค่นี้หรอกนะ”

“…”

“ฉะนั้น สิ่งที่ต้องพูดต่อจากนี้ก็คือ–”

“ ‘ไว้เจอกัน’ เหรอคะ?”

จาย่ายื่นหมัดมาชนกับหมัดของผมแบบเกร็งๆ

“ใช่แล้ว”

“ดีใจจังเลยค่ะ”

จาย่ายิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่แสงสว่างจะจ้าขึ้นในบริเวณแห่งนี้ และดับไปในเวลาไม่นาน

ผู้เป็นน้องสาวได้หลับใหลอีกครั้ง กลับกัน ต่อจากนี้อีกไม่นาน ผู้เป็นพี่สาวจะลืมตาตื่นอีกครั้งดังที่เธอผู้นี้ปารถนา

 

****

ไม่นานหลังจากที่จาย่าหลับไป วินก็ตื่นขึ้นมาแทน ขยี้ตาก่อนจะมองไปรอบๆโดยที่สะดุดตาเข้ากับจาย่าซึ่งกำลังนอนพิงต้นไม้ต้นเดียวกันอยู่ และอยู่ในสภาพหลับสนิทของจริง ใช้เวลาเพียงไม่นานในการเข้าใจทุกอย่าง

วินทิ้งตัวลง เอาหัวพิงไหล่ของจาย่าที่นั่งอยู่ข้างๆ และหรี่ตามองผมที่ยืนอาบลมอยู่เบื้องหน้า

“เรเซอร์”

อาจจะโกรธผม หรือเกลียดผมก็เป็นได้ เพราะผมได้พรากสิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอไปแม้จะชั่วคราว แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเธอจะตื่นขึ้นมาได้น่ะนะ ต่อให้ผมเชื่อใจในตัวเบลลามีแค่ไหน

“ไว้ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ..พวกเราไปซื้อเสื้อให้เธอด้วยกันได้รึเปล่า?”

แม้จะเตรียมตัวรับแรงกระแทกจากวินเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็น

“อ่า”

 

****

ไกลออกไปจากตัวอาณาจักรของเนลยอน และสถานที่ที่ซึ่งพวกเรเซอร์อยู่กัน

มหามังกรเพลิงฟัฟนิร์ กำลังเดินด้วยเท้าเปล่าตามทางเดินที่ถูกสร้างไว้โดยใครสักคนเมื่อนานมาแล้ว หากเป็นตามปกติ เธอคงจะเดินแบบไม่คิดอะไรมาก จนเผลอไปจะเอ๋เข้ากับมอนสเตอร์ หรือไม่ก็ตัวอันตรายบางอย่างเข้าจนซวย แต่พอได้อยู่กับชินที่ใช้ชีวิตแบบเพลย์เซฟทำให้ได้รับภูมิความรู้พื้นฐานในการเลือกทางเดินที่ปลอดภัยไว้เป็นอันดับแรก อย่างการเดินตามทางเท้าที่ชาวบ้านเขาทำเอาไว้สำหรับเดินทางโดยเฉพาะ ถึงการเดินด้วยเท้าเปล่ามันจะไม่ได้ปลอดภัยอะไรมาก แต่นี่ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ทั้งเจอโจรดักปล้นก็ยังดีกว่าเจอพวกตัวอันตรายมากโข

ระดับมหามังกรย่อมเป่าโจรกระจอกๆได้สบายๆอยู่แล้ว นอกจากนั้น ตรงหน้าของฟัฟนิร์ก็เป็นมหามังกร มหามังกรเทียม และมนุษย์ธรรมดา?หนึ่งชีวิต

“ดีแล้วรึ ฟัฟนิร์?”

มหามังกรวายุ แซร์อิซเอ่ยขึ้นจากข้างหน้า

“อะไรที่ดีล่ะ”

“ปล่อยคนใช้ที่มีครึ่งหนึ่งของเจ้าไปเช่นนี้ ไม่ดีต่อเจ้าเลยนะน้องข้า”

ฟัฟนิร์ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับ

“ดีแล้วสิ ถึงเวลาที่ข้าจะส่งต้าวชินกลับไปหานายเหนือหัวที่แท้จริงแล้ว ตามที่สัญญากับต้าวชินเอาไว้ ข้าอยากจะยืมพลังเพื่อช่วยเนลยอนเพียงเท่านั้น และบัดนี้เป้าหมายตลอดสองพันปีของพวกเราก็เป็นจริงไปแล้วด้วย”

“ถึงจะต้องมาไล่หาเนลยอน กับมหามังกรเทียมอีกตนหนึ่งที่ไม่รู้อยู่ที่แห่งไหนแล้วก็เถอะนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

มหามังกรเทียมอัสนี ปีเตอร์ ซึ่งอยู่ข้างๆอลิซทำชักสีหน้าขึ้นมา คงจะไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรที่ตลกกัน

พวกเขาทั้งหมดมีเป้าหมายในการช่วยคนสำคัญของตัวเองจากแผนการณ์ของเรน เมื่อทำสำเร็จแล้วทั้งเนลยอน และสโนว์ก็กระจัดกระจายไปที่ไหนสักแห่งบนโลก พวกเขาจึงต้องจับกลุ่มชั่วคราวเพื่อออกตามหาทั้งสองคน ในขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ความวุ่นวายของจุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัยเข้าไปทุกทีๆ ..กระนั้น มหามังกรเยี่ยงแซร์อิซก็ไม่หวั่น

“เป็นอะไรของเจ้าไป เจ้าหนู”

ว่าแล้ว แซร์อิซก็เขยิบไปกอดคอของปีเตอร์

“อย่ามาแตะตัวกันง่ายๆสิฟร้ะ!”

“พูดจาไม่น่ารักเลยเนอะ”

แซร์อิซจิ้มแก้มของปีเตอร์โดยไม่สนพฤติกรรมที่เริ่มกร้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆเลย บางที อาจจะชินกับน้องชายหัวรุนแรงแบบเนลยอนอยู่แล้วก็เป็นได้ ..ปีเตอร์กัดฟันกรามแน่น ทำท่าราวกับว่าถ้ามากไปกว่านี้โดนซัดแหงๆ อลิซที่เห็นก็รีบพุ่งมาดึงแขนแซร์อิซออกจากปีเตอร์

“มะ มะ ไม่น่าดีนะคะ แซร์อิซ ปล่อยเค้าไปเถอะนะๆ เห็นอยู่ว่าไม่ชอบ..”

แบบว่า ปีเตอร์สามารถฆ่าพวกเราทิ้งได้ง่ายๆเลยไม่ใช่เหรอถ้าตั้งใจ-เพราะคิดอย่างนั้นเลยไม่พยายามไปกระตุกหนวดเสื้อเข้า

“ว่าแต่ เจ้าไม่คิดจะแวะไปหาน้องสาว(เมอัน)ของตัวเองหน่อยหรือไงกัน?”

“..ไว้สักวันค่อยเจอกันก็ได้ ทางเธอก็มีหลายอย่างต้องปรับตัว ทางนี้เองก็มีหลายๆอย่างเลย ..โดยเฉพาะเรื่องของแก ไอ้มหามังกรวายุไม่เต็มตังค์”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้าเนี่ยตบมุกได้ดีผิดกับอลิซเลยนะ!! ถูกใจแล้วสิ!!”

“อะ เอ๊ะ? เอ๋? นี่ฉันกำลังจะตกกระป๋องสินะ แบบว่าชัยโย ในที่สุดก็จะเป็นอิสระได้สักที ..??”

เวลาเพียงไม่นานทั้งสามก็ดูกลมเกลียวกันอย่างคาดไม่ถึง

ฟัฟนิร์มองภาพตรงหน้า แอบรู้สึกเหงานิดหน่อย ..ถ้าชินอยู่ด้วยคงจะสนุกกว่านี้เยอะเลย น่าจะสนุกเหมือนกับที่สามคนนั้นกำลังสนทนากันหลังจากพึ่งเป็นศัตรูกันมาดๆ …

เป็นเวลาไม่นานสำหรับเธอก็จริง แต่การมีคนออกเดินทางด้วยตลอดห้าปีนั้นเป็นความทรงจำที่ยอดเยี่ยมกว่าการใช้ชีวิตตลอดหลายร้อยปีมากโข การได้ผจญภัยกับชินทำให้เธอหวนนึกถึงวันคืนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ผู้หนึ่งครั้นเมื่อ 2000 ปีก่อน

จุดจบของฟัฟนิร์กับคนๆนั้นคือความตายจากขีดจำกัดในฐานะมนุษย์ แต่ของชินคือแยกจากกันเพื่อไปตามความฝันของตัวเองแทน ไม่มีฝ่ายไหนตายจากไปโดยถาวรก็จริง แต่ชีวิตมนุษย์ก็แสนสั้น ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงได้เจอกันอีก

พอคิดเช่นนั้นก็รู้สึกเศร้าปนเหงาขึ้นมาจับใจ

“…”

ต้องกลับไปสวดส่งวิญญาณตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อนแล้วสินะเนี่ย?

ขณะที่คิดอย่างนั้น–เสียงฝีเท้าจากข้างหลังก็ดังขึ้น ความเร็วในการวิ่งสูงมาก ประหนึ่งว่าเป็นสปีดของนักดาบขั้นบรรลุระดับชั้นบนๆของนักดาบขั้นนี้ด้วยกันเอง เมื่อหันกลับไปฟัฟนิร์ก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

****

ไกลออกไป จากอาณาจักรเนลยอนนับครึ่งค่อนโลก บนทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่ไร้ซึ่งสิ่งอื่นใดนั้นมีคนสองคนนั่งอยู่ ทั้งสองต่างคุ้นหน้ากันดี แม้จะไม่ได้คุยกันโดยตรง แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันหลายอย่าง

“..หวัดดี?”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ”

มหามังกรวารี เนลยอน และ มหามังกรเทียมน้ำแข็ง สโนว์ นั่งอยู่บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ และส่งสีหน้างงๆใส่กันและกัน

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หลังจากที่ใช้หัวสมองครุ่นคิดอย่างสุดตัวทั้งสองก็พอจะสรุปสถานการณ์ออกมาได้บ้าง

“โค่นเทพมังกรลงได้ ..บ้าไปแล้ว”

“ยากที่จะเชื่อ แต่เหมือนจะจริงนะคะ หลักฐานก็คือการที่พวกเราสองคนยังสบายดี”

สโนว์ลุกขึ้นยืนบนผืนหญ้า มองซ้ายขวาไปมาเพื่อวิเคราะห์สถานที่ที่ยืนอยู่

“ตอนนี้พวกเราน่าจะอยู่ชายแดนระหว่างอาณาจักรแซร์อิซ และอาณาจักรคู่อริค่ะ โชคดีที่แถวๆนี้ยังไม่เกิดการต่อสู้ แต่ก็คาดว่าน่าจะมีทหารคอยสอดส่องตลอดเวลา หากถูกเจอตัวเข้าน่าจะไม่ดีแน่นอน คิดว่าตอนนี้ควรไปที่ที่ปลอดภัยก่อน และค่อยตัดสินใจเรื่องไปรวมตัวกับคนอื่นค่ะ” สโนว์พูดต่อพลางลูบคางตัวเองไปด้วย “ตามประสบการณ์ของฉัน พวกเราเดินอ้อมนิดหน่อยแบบระมัดระวังคงจะเข้าอาณาจักรใกล้เคียงได้ไม่ยาก สามารถตั้งหลักหาเงิน และเตรียมสิ่งจำเป็นหลายๆอย่างได้จากการล่ามอนสเตอร์แถวนั้นก็ไม่เลวนะคะ”

“พล่ามอะไร อย่าพูดเหมือนข้าต้องเดินตามตูดเจ้าจะได้รึเปล่า ของจอมปลอม”

…..

“..”

“มองอะไร?”

“ท่านเนลยอนคล้ายกับปีเตอร์เล็กน้อย แต่คิดว่าปีเตอร์น่ารักกว่ามากค่ะ”

“หา??”

เนลยอนเดาะลิ้นไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามมา และออกเดินไปคนละทางกับที่สโนว์ว่าเอาไว้ โดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง ด้วยศักดิ์ศรีที่มากล้นของตัวเอง

รู้ตัวอีกที ก็เดินมาไกลจากที่แห่งเดิมหลายกิโลเมตรได้แล้ว ตอนนี้เนลยอนเดินอยู่ในป่าของอาณาจักรแซร์อิซซึ่งอุดมไปด้วยป่าไม้แสนทรงสเน่ห์

“….”

เขามองไปรอบตัวเองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม พลางคิดในใจว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากโลกสินะ ….

ป่าไม้ที่มีหยาดน้ำติดตามปลายใบไม้ บ่งบอกว่าไม่นานมานี้ฝนพึ่งตกลงมา สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตามต้นไม้ต่อต้นไม้ ไม่ว่าจะกระรอก หรือว่างู ล้วนเป็นตัวบ่งบอกถึงธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผืนหญ้าสีเขียวปนดินสีดำ หลายจุดมีพื้นที่ต่างระดับกัน มีรากไม้คอยขวางตลอดทางเดิน แม้จะน่ารำคาญ แต่มันก็คือธรรมชาติที่ควรจะเป็น

นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่เคยได้เดินเท้าบนโลกที่ตนเคยคิดจะทำลาย

อากาศ พอตั้งใจสูดและถอนหายใจดีๆก็สดชื่นเกินคาด ประหนึ่งว่าชีวิตนี้ไม่เคยลิ้มรสความรู้สึกของการได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกเลยสักนิด และพอได้มาทดลองชิมดูแล้วมันก็ ..ไม่เลวเลย

ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเคยพรากมันไปจากทุกคนนับร้อยปี

ทำอะไรลงไปกันนะ? เพื่อสนองความปารถนาอันโง่เขลาของคนหลงทางเช่นตัวเอง ตัวข้าถึงกับทำลายสิ่งเหล่านี้ได้ลงคอเลยนั้นรึ ช่าง น่าละอายใจ และ ..

“สวดส่งวิญญาณ”

เนลยอนพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะมันออกมาจากจิตใต้สำนึก

“เหมือนกับที่ฟัฟนิร์ทำ ..ไม่เลวเหมือนกัน”

“การสวดส่งวิญญาณไม่ได้ง่ายนะคะ ท่านเนลยอน”

เสียงอันไพเราะดังขึ้นข้างๆหู เนลยอนสะดุ้งโหยงก่อนจะเขยิบตัวออกจากสโนว์ที่จู่ๆก็โผล่มาอยู่ข้างตัวเอง

“อะ อะไรของเจ้าเนี่ย!?”

“เรื่องอะไรเหรอคะ?”

“–ตามข้ามาทำไมกัน มีจุดประสงค์อะไรกันแน่”

“เปล่าค่ะ แค่คิดว่าในสถานการณ์แบบนี้จับกลุ่มกันไว้จะดีกว่า”

สโนว์กระพริบตาปริบๆ ไม่ได้พูดโกหกหรือมีเจตนาแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น เนลยอนรับรู้ได้จากสายตาของเธอ

“….”

“พูดถึงการสวดส่งวิญญาณ ฉันให้ข้อมูลได้นะคะหากสนใจ”

“ดูสบายใจเหลือเกินนะ”

“ท่านพ่อสอนไว้น่ะค่ะว่าต่อให้เมื่อวานผ่านอะไรมา พรุ่งนี้ก็ต้องกลับมาเป็นปกติให้ได้ สำหรับฉันนั่นคือคำสอนที่แสนมีค่า และควรแก่การปฏิบัติตามค่ะ แม้ว่าจะขัดขืนและมีแนวคิดต่างกับท่านพ่อมากมายก็เถอะ แต่แค่คำสอนนี้เท่านั้น”

สโนว์พูดทั้งรอยยิ้ม แม้คำสอนนั่นจะมาจากคนที่ทำร้ายพวกเธอในทุกๆวันก็ตามที

“ก็ตามใจ”

“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นเริ่มจาก—”

การเดินทางของเนลยอนได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง และนั่นจะเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อในฐานะผู้สวดส่งวิญญาณ และ–ผู้บันทึกเรื่องราวอันมากมาย หรือที่รู้จักกันในนามของ ‘นักกวี’ 

 

****

ปัญหาหลายๆอย่างในที่แห่งนี้สำหรับผมค่อยๆหายไปจนหมดแล้ว ตัวผมเดินอยู่คนเดียวตามทางเดินยามค่ำคืน

หลังจากเคลียร์เรื่องของวินและน้องสาวเสร็จแล้ว พวกเราก็แยกกันเตรียมตัว โดยที่ผมจะไปรับวินอีกทีเมื่อถึงเวลา และคาดว่าเวลานั้นคงจะมาถึงในไม่อีกกี่ชั่วโมง ใช่ ผมจะรีบออกเดินทางกลับอาณาจักรฟัฟนิร์โดยเร็ว ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องที่ต้องพาพวกวินไปส่งที่เมืองชันไม หรือเรื่องของเอเธอร์ที่แปลกไปจากทุกที ผมเลยจำเป็นต้องรีบกลับบ้านเกิดของตัวเอง

ทว่า ระหว่างที่กำลังเดินตามทางเดินอยู่นั้นเอง ..

คนๆหนึ่งโผล่ตรงหน้าของผม ในทีแรก ผมคิดอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาได้เลยละ หรือว่าเรื่องที่พยายามจะปกปิดตัวตนของวินจะความแตกแล้วกัน? ถ้าเป็นอย่างนั้นแย่แน่ๆ คงจะออกจากอาณาจักรเนลยอนได้ยาก แต่ข้อสงสัยนั้นก็ถูกลบหายไปในทันทีที่คนผู้นั้นปรากฏตัวภายใต้แสงไฟจากเสาไฟเวทมนตร์

สูงราว 170 ซ.ม. มีเลือนผมสีน้ำเงินเข้มมัดจุกปลายปล่อยยาวลงมาจนถึงเอว เป็นผู้ชาย? ผู้หญิง? ให้นิยามกลางๆก็เป็นคนที่หล่อเสมือนผู้ชาย และสวยเสมือนผู้หญิง แต่ถ้าหากถามถึงเพศสภาพก็คงจะเป็นผู้หญิง เพราะหน้าอกที่นูนออกมาอย่างกับจะทะลึกออกมาจากเสื้อเชิ้ตของบุคคลตรงหน้า

นอกเหนือจากใบหน้าที่งดงามคาบเกี่ยวทั้งสองเพศอันเป็นเอกลักษณ์ที่สุด ก็คือดาบเรเปียร์อันงดงามเหมือนดั่งตัวตนของหมอนั่นซึ่งเหน็บไว้ตรงเอวของตัวเอง

พอมาลองดูดีๆก็มีเรื่องให้ชวนคิดหลายอย่าง ..จุดที่มัดจุกเอาไว้ยาวขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยแฮะ แล้วก็ดวงตาของมหามังกรที่มาจากครึ่งหนึ่งของฟัฟนิร์นั่นก็ทำให้แววตาของชินดูคมขึ้นมาก แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด..หน้าอกนั่นคือของจริง หมอนั่นเหมือนจะเป็นผู้หญิงจริงๆด้วย ถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีแฮะ

ผมหัวเราะพึมพำในลำคอ พลางหรี่ตามองเธอตรงหน้า และค่อยๆส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง

“ไม่ได้เจอกันนานนะ”

“นั่นสินะขอรับ”

….นึกว่าตายไปแล้วซะอีก—-นึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเสียอีก

คิดมาโดยตลอดว่าตัวเองทำพลาดอย่างรุนแรง รู้สึกผิด และเสียใจอย่างถึงที่สุด ปารถนาล้มๆแล้งๆว่าพวกเราจะต้องได้เจอกันอีก เพราะสัญญากันเอาไว้แล้ว มันคือพันธสัญญานายบ่าวรักเดียวใจเดียวที่พวกเราเคยมอบให้แก่กัน

หลงคิดไปว่าสัญญาของพวกเรามันจบไปเสียแล้วในช่วงชีวิตหนึ่ง ..แต่ไม่ใช่

พันธสัญญาของพวกเราไม่มีวันถูกทำลาย และตอนนี้ก็ได้เวลาสานต่อคำสัญญาในค่ำคืนนั้นอีกครา

โดยไม่ต้องบอก ชินคุกเข่าลงกับพื้น หยิบดาบเรเปียร์ข้างตัวขึ้นมายื่นให้ผม ผมรับมันไว้ ชินโค้งศรีษะให้ผม

“จะไม่ถามว่าคิดดีแล้วเหรอหรอกนะ ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องเป็นอัศวินของฉัน มีแค่นายคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรจะยืนอยู่ข้างฉันในฐานะอัศวิน”

เพราะถนัดเรียกชินมากกว่าชินดร้า ผมจึงจะเรียกเธอว่าชินต่อไป ถนัดเรียกว่านายมากกว่าเลยแทนว่านาย แน่นอน คงไม่ว่าอะไรกันหรอกเนอะ?

“ตามท่านปารถนาขอรับ กระผมเป็นเพียงดาบของท่านเรเซอร์ และจักเป็นดาบที่ไม่มีทางเปลี่ยนวิถีดาบของตัวเอง”

ผมดึงดาบเรเปียร์ออกจากฝัก จากนั้นก็นำปลายดาบไว้บนบ่าของชินตามพิธี

“วิถีดาบของนายคืออะไรกัน?”

“วิถีดาบของกระผม คือการ—”

….

ชินโพล่งออกมาโดยไร้ซึ่งความลังเล สมกับเป็นอัศวินของผมเพียงผู้เดียว

“แปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่เลวเลยนี่”

ผมแสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็เก็บดาบเรเปียร์เข้าฝัก และส่งคืนให้ชิน ชินรับมันไว้ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม มาดอัศวินผู้สูงส่งของคนๆนี้ไม่เคยจางหายไปไหนเลย แอบคิดว่าไปอยู่กับฟัฟนิร์มาตั้งนานน่าจะมีหลุดๆบ้างแต่ก็ไม่แฮะ

“มีเรื่องที่อยากคุยกับนายเยอะเลยนะ ชิน แต่ว่าก่อนอื่น”

ผมส่งสายตาไปที่อีกคนซึ่งกำลังยืนแอบอยู่หลังเสา

“ยัยบ๊องที่เขาโผล่แบบไม่รู้ตัวตรงนั้น ออกมาได้แล้ว”

“วะ ว่าใครยัยบ๊องกันหา!?”

เสียงตบมุกนั้นดังฟังชัด เธอที่แอบดูพิธีอันสูงส่งระหว่างผมกับอัศวินที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลกก็โผล่หัวออกมา

มหามังกรเพลิงฟัฟนิร์นั่นเอง

“แอบดูเวลานายบ่าวจู๋จี๋กันซะเพลินเลยนะ”

“อย่าพูดชวนเข้าใจผิดสิครับ ท่านเรเซอร์”

ฟัฟนิร์มีท่าทีดูเขินๆอายๆอะไรก็ไม่รู้ เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด เหมือนจะเดินเข้ามาแต่ก็เดินแบบกล้าๆกลัวๆไม่เต็มก้าว ทำท่าทางอย่างกับสาวน้อยวัยแรกแย้มที่กำลังจะสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น เห็นแล้วก็ตลกดี

“..”

“ถ้าจะให้ขอบคุณเดี่ยวตอบแทนโดยการเลี้ยงข้าวให้นะ”

“นั่นก็ดีอยู่หรอก แต่มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอีกนะ ..แบบว่า”

ฟัฟนิร์ถอนหายใจเฮือกโต กลืนน้ำลายดึงอึก ทำท่าขยับแขนไปมาอย่างยิ่งใหญ่ก่อนจบลงด้วยการยืนเชิดหน้ากอดอก และโพล่งขึ้น—

“แค่แปปเดียวก็ดี จงรับข้าเข้าทำงานซะ!!”

“แหม่ ให้รับคนที่มีศัตรูทั่วสารทิศเข้ามาเป็นพวก ทางนี้ก็ลำบากแย่เลยไม่ใช่รึไง”

…….

“….นั่นสินะ”

ฟัฟนิร์ซึมขึ้นมาทันตาเห็น ตอนแรกยังวางท่าซะใหญ่โตอยู่เลยแท้ๆ แล้วก็ที่โพล่งออกมามันไม่ใช่วิธีขอเข้าทำงานหรอกนะ ยัยมหามังกรบ๊อง ก่อนที่มหามังกรตนนี้จะเดินจากไปจากที่แห่งนี้ ..ผมเดินเข้าไปใช้ฝ่ามือทุบหัวฟัฟนิร์เบาๆคล้ายหยอกล้อกับแมว

“แต่ว่าคู่อริของหล่อนมันมีแต่พวกกระจอกที่ไม่คณามือฉันแล้วละ ถ้ามันมาหาเรื่องห้าวินาทีก็จบแล้ว เพราะพวกนั้นมันโคตรกระจอก”

อาจจะดูพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ครึ่งหนึ่งผมก็คิดอย่างนั้นถึงโพล่งออกมา

“ท่านเรเซอร์เปลี่ยนไปเยอะเลยนะขอรับ”

“จะบอกว่าปากดีขึ้น?”

“องอาจขึ้นต่างหากขอรับ”

รู้งานซะเหลือเกิน สมกับเป็นอัศวินที่ผมเลือกมากับมือคนนี้ พอพูดไปอย่างนั้นผมและชินก็หัวเราะให้กันและกันแบบไม่คิดอะไรมาก

ผมผละมือออกจากหัวของฟัฟนิร์ และยิ้มให้ทั้งสองคน

“ไม่ใช่แค่ชิน ฟัฟนิร์ เธอช่วยเป็นกำลังให้ฉันได้รึเปล่า ถึงศัตรูของหล่อนมันจะกระจอก แต่ศัตรูของฉันค่อยข้างแข็งแกร่งน่ะนะ”

“ต้าวเรเซอร์ เข้าใจผิดไปเรื่องหนึ่งนะ”

???

“ตัวข้านั้นแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องให้ต้าวเรเซอร์มาปกป้องหรอกนะจะบอกให้”

ฟัฟนิร์แสยะยิ้มออกมาอย่างห้าวหาญสมกับเป็นมหามังกรผู้เคยจมโลกนี้สู่ความมืดมิด ..

“นั่นสินะ”

และในที่สุด ผมก็ได้กลับมาพบกับทั้งสองคนอีกครั้ง

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset