< < 184 > >
“คิดดีแล้วเหรอ?”
ผมเอ่ยถามเธอที่ให้พี่สาวของตัวเองยืมไหล่เพื่อพักผ่อน เธอคนนั้นคือน้องสาวของวินที่ตัดสินใจจะ–หลับใหลเพื่อให้พี่สาวของตัวเองใช้ชีวิตต่อไป นึกว่าหากได้ลืมตาดูโลกใบนี้แล้วจะนึกอยากอาศัยอยู่บนโลกให้มากกว่านี้เสียอีก แต่เหมือนจะไม่ใช่
“ค่ะ ..หนูอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับพี่สาว ถ้าไม่ได้”
“ก็ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่หรอกสินะ”
เธอพยักหน้าตอบกลับคำถามโดยไม่หลงทางเลย เป็นความปารถนาที่แน่วแน่ และโลภมากเหลือเกินสำหรับสองแฝดที่เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมเล่นตลก
“ไม่ต้องห่วง พวกเธอจะต้องได้เจอกันแน่นอน”
“ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนั้นหรือคะ?”
“เพราะคนรักของฉันจะช่วยพวกเธอยังไงละ”
“..รักคนๆนั้นมากขนาดไหนเหรอคะ?”
ผมครุ่นคิด พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่พึ่งมาเยือน
“เพื่อเธอคนนั้นฉันพร้อมจะทำทุกอย่าง คงคล้ายกับที่พี่สาวของเธอพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอนั่นแหละนะ”
“ระหว่างพี่สาวกับคนๆนั้น?”
“..ที่ถามมามันไม่เสียมารยาทไปหน่อยรึไง”
น้องสาวของวินเมื่อได้ยินคำตอบก็หัวเราะร่าขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นยืน และส่งยิ้มมาให้ผมที่ไม่ไกลจากกันนัก
“ช่วยทำให้มันถูกต้องด้วยนะคะ คุณเรเซอร์”
“เข้าใจแล้ว ..เธอ จะว่าไปยังไม่มีชื่อเลยนี่นา”
“มีอยู่นะคะ พี่สาวเคยตั้งให้ไว้ราวห้าปีก่อน แต่น่าจะลืมไปแล้ว”
อะไรของยัยนั่นฟร้ะนั่น? น่าเขกกระโหลกสักทีจริงๆ
“หนูมีชื่อว่า ‘จาย่า’ มีความหมายว่า ‘ชัยชนะ’ เพราะพี่สาวอยากจะเอาชนะศึกสำคัญในตอนนั้นถึงได้ตั้งชื่อหนูไว้อย่างนั้นค่ะ เห็นบอกว่าเป็นศึกที่อาจจะได้เจอกับผู้กล้า และราชาเวทมนตร์เลยอาจไม่รอดก็ได้”
ศึกที่ชินเคยเข้าร่วมสินะ เคยเล่าให้ฟังอยู่เมื่อตอนเจอกันแรกๆ
“ถ้านั้น จาย่า จากนี้ฉันจะทำให้เธอหลับใหลไปอีกครา มันอาจจะเป็นเวลาชั่วนิรันดร์ หรือไม่ก็ชั่วพริบตาก็แล้วแต่ แต่ฉันสัญญาได้เรื่องหนึ่ง”
การสะบั้นมิติของผมได้เริ่มขึ้น พร้อมกับเวทมนตร์สนับสนุนมากมาย เพื่อทำให้จาย่าเข้าสู่สภาพเจ้าหญิงนิทราอีกครั้งเพื่อยับยั้งการจากไปของใครสักคนแบบสุ่ม จึงต้องทำตัวตายตัวแทนขึ้นมาก่อนจะถึงเวลาที่มานาของทั้งสองกลับมาเป็นดั่งเดิม
ผมยื่นหมัดไปข้างหน้า บ่งบอกว่ากำลังเชื้อเชิญให้เธอตรงหน้าไทไฟต์กับผม
“ไม่ว่าจะต้องพยายามมากแค่ไหน ต่อให้ต้องถล่มสวรรค์ ทลายนรก ต้องเข้าห้ำหั่นกับทวยเทพ หรือว่าไอ้สัตว์ประหลาดสุดแกร่ง ถ้าทำแล้ววันที่พวกเธอสองพี่น้องจะได้พบกันใกล้ยิ่งขึ้น ฉันจะทำมันทุกอย่าง เพราะฉะนั้น–วางใจได้ วันคืนของพวกเธอมันไม่ได้จบแค่นี้หรอกนะ”
“…”
“ฉะนั้น สิ่งที่ต้องพูดต่อจากนี้ก็คือ–”
“ ‘ไว้เจอกัน’ เหรอคะ?”
จาย่ายื่นหมัดมาชนกับหมัดของผมแบบเกร็งๆ
“ใช่แล้ว”
“ดีใจจังเลยค่ะ”
จาย่ายิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่แสงสว่างจะจ้าขึ้นในบริเวณแห่งนี้ และดับไปในเวลาไม่นาน
ผู้เป็นน้องสาวได้หลับใหลอีกครั้ง กลับกัน ต่อจากนี้อีกไม่นาน ผู้เป็นพี่สาวจะลืมตาตื่นอีกครั้งดังที่เธอผู้นี้ปารถนา
****
ไม่นานหลังจากที่จาย่าหลับไป วินก็ตื่นขึ้นมาแทน ขยี้ตาก่อนจะมองไปรอบๆโดยที่สะดุดตาเข้ากับจาย่าซึ่งกำลังนอนพิงต้นไม้ต้นเดียวกันอยู่ และอยู่ในสภาพหลับสนิทของจริง ใช้เวลาเพียงไม่นานในการเข้าใจทุกอย่าง
วินทิ้งตัวลง เอาหัวพิงไหล่ของจาย่าที่นั่งอยู่ข้างๆ และหรี่ตามองผมที่ยืนอาบลมอยู่เบื้องหน้า
“เรเซอร์”
อาจจะโกรธผม หรือเกลียดผมก็เป็นได้ เพราะผมได้พรากสิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอไปแม้จะชั่วคราว แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเธอจะตื่นขึ้นมาได้น่ะนะ ต่อให้ผมเชื่อใจในตัวเบลลามีแค่ไหน
“ไว้ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ..พวกเราไปซื้อเสื้อให้เธอด้วยกันได้รึเปล่า?”
แม้จะเตรียมตัวรับแรงกระแทกจากวินเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็น
“อ่า”
****
ไกลออกไปจากตัวอาณาจักรของเนลยอน และสถานที่ที่ซึ่งพวกเรเซอร์อยู่กัน
มหามังกรเพลิงฟัฟนิร์ กำลังเดินด้วยเท้าเปล่าตามทางเดินที่ถูกสร้างไว้โดยใครสักคนเมื่อนานมาแล้ว หากเป็นตามปกติ เธอคงจะเดินแบบไม่คิดอะไรมาก จนเผลอไปจะเอ๋เข้ากับมอนสเตอร์ หรือไม่ก็ตัวอันตรายบางอย่างเข้าจนซวย แต่พอได้อยู่กับชินที่ใช้ชีวิตแบบเพลย์เซฟทำให้ได้รับภูมิความรู้พื้นฐานในการเลือกทางเดินที่ปลอดภัยไว้เป็นอันดับแรก อย่างการเดินตามทางเท้าที่ชาวบ้านเขาทำเอาไว้สำหรับเดินทางโดยเฉพาะ ถึงการเดินด้วยเท้าเปล่ามันจะไม่ได้ปลอดภัยอะไรมาก แต่นี่ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ทั้งเจอโจรดักปล้นก็ยังดีกว่าเจอพวกตัวอันตรายมากโข
ระดับมหามังกรย่อมเป่าโจรกระจอกๆได้สบายๆอยู่แล้ว นอกจากนั้น ตรงหน้าของฟัฟนิร์ก็เป็นมหามังกร มหามังกรเทียม และมนุษย์ธรรมดา?หนึ่งชีวิต
“ดีแล้วรึ ฟัฟนิร์?”
มหามังกรวายุ แซร์อิซเอ่ยขึ้นจากข้างหน้า
“อะไรที่ดีล่ะ”
“ปล่อยคนใช้ที่มีครึ่งหนึ่งของเจ้าไปเช่นนี้ ไม่ดีต่อเจ้าเลยนะน้องข้า”
ฟัฟนิร์ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับ
“ดีแล้วสิ ถึงเวลาที่ข้าจะส่งต้าวชินกลับไปหานายเหนือหัวที่แท้จริงแล้ว ตามที่สัญญากับต้าวชินเอาไว้ ข้าอยากจะยืมพลังเพื่อช่วยเนลยอนเพียงเท่านั้น และบัดนี้เป้าหมายตลอดสองพันปีของพวกเราก็เป็นจริงไปแล้วด้วย”
“ถึงจะต้องมาไล่หาเนลยอน กับมหามังกรเทียมอีกตนหนึ่งที่ไม่รู้อยู่ที่แห่งไหนแล้วก็เถอะนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
มหามังกรเทียมอัสนี ปีเตอร์ ซึ่งอยู่ข้างๆอลิซทำชักสีหน้าขึ้นมา คงจะไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรที่ตลกกัน
พวกเขาทั้งหมดมีเป้าหมายในการช่วยคนสำคัญของตัวเองจากแผนการณ์ของเรน เมื่อทำสำเร็จแล้วทั้งเนลยอน และสโนว์ก็กระจัดกระจายไปที่ไหนสักแห่งบนโลก พวกเขาจึงต้องจับกลุ่มชั่วคราวเพื่อออกตามหาทั้งสองคน ในขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ความวุ่นวายของจุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัยเข้าไปทุกทีๆ ..กระนั้น มหามังกรเยี่ยงแซร์อิซก็ไม่หวั่น
“เป็นอะไรของเจ้าไป เจ้าหนู”
ว่าแล้ว แซร์อิซก็เขยิบไปกอดคอของปีเตอร์
“อย่ามาแตะตัวกันง่ายๆสิฟร้ะ!”
“พูดจาไม่น่ารักเลยเนอะ”
แซร์อิซจิ้มแก้มของปีเตอร์โดยไม่สนพฤติกรรมที่เริ่มกร้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆเลย บางที อาจจะชินกับน้องชายหัวรุนแรงแบบเนลยอนอยู่แล้วก็เป็นได้ ..ปีเตอร์กัดฟันกรามแน่น ทำท่าราวกับว่าถ้ามากไปกว่านี้โดนซัดแหงๆ อลิซที่เห็นก็รีบพุ่งมาดึงแขนแซร์อิซออกจากปีเตอร์
“มะ มะ ไม่น่าดีนะคะ แซร์อิซ ปล่อยเค้าไปเถอะนะๆ เห็นอยู่ว่าไม่ชอบ..”
แบบว่า ปีเตอร์สามารถฆ่าพวกเราทิ้งได้ง่ายๆเลยไม่ใช่เหรอถ้าตั้งใจ-เพราะคิดอย่างนั้นเลยไม่พยายามไปกระตุกหนวดเสื้อเข้า
“ว่าแต่ เจ้าไม่คิดจะแวะไปหาน้องสาว(เมอัน)ของตัวเองหน่อยหรือไงกัน?”
“..ไว้สักวันค่อยเจอกันก็ได้ ทางเธอก็มีหลายอย่างต้องปรับตัว ทางนี้เองก็มีหลายๆอย่างเลย ..โดยเฉพาะเรื่องของแก ไอ้มหามังกรวายุไม่เต็มตังค์”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้าเนี่ยตบมุกได้ดีผิดกับอลิซเลยนะ!! ถูกใจแล้วสิ!!”
“อะ เอ๊ะ? เอ๋? นี่ฉันกำลังจะตกกระป๋องสินะ แบบว่าชัยโย ในที่สุดก็จะเป็นอิสระได้สักที ..??”
เวลาเพียงไม่นานทั้งสามก็ดูกลมเกลียวกันอย่างคาดไม่ถึง
ฟัฟนิร์มองภาพตรงหน้า แอบรู้สึกเหงานิดหน่อย ..ถ้าชินอยู่ด้วยคงจะสนุกกว่านี้เยอะเลย น่าจะสนุกเหมือนกับที่สามคนนั้นกำลังสนทนากันหลังจากพึ่งเป็นศัตรูกันมาดๆ …
เป็นเวลาไม่นานสำหรับเธอก็จริง แต่การมีคนออกเดินทางด้วยตลอดห้าปีนั้นเป็นความทรงจำที่ยอดเยี่ยมกว่าการใช้ชีวิตตลอดหลายร้อยปีมากโข การได้ผจญภัยกับชินทำให้เธอหวนนึกถึงวันคืนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ผู้หนึ่งครั้นเมื่อ 2000 ปีก่อน
จุดจบของฟัฟนิร์กับคนๆนั้นคือความตายจากขีดจำกัดในฐานะมนุษย์ แต่ของชินคือแยกจากกันเพื่อไปตามความฝันของตัวเองแทน ไม่มีฝ่ายไหนตายจากไปโดยถาวรก็จริง แต่ชีวิตมนุษย์ก็แสนสั้น ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงได้เจอกันอีก
พอคิดเช่นนั้นก็รู้สึกเศร้าปนเหงาขึ้นมาจับใจ
“…”
ต้องกลับไปสวดส่งวิญญาณตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อนแล้วสินะเนี่ย?
ขณะที่คิดอย่างนั้น–เสียงฝีเท้าจากข้างหลังก็ดังขึ้น ความเร็วในการวิ่งสูงมาก ประหนึ่งว่าเป็นสปีดของนักดาบขั้นบรรลุระดับชั้นบนๆของนักดาบขั้นนี้ด้วยกันเอง เมื่อหันกลับไปฟัฟนิร์ก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
****
ไกลออกไป จากอาณาจักรเนลยอนนับครึ่งค่อนโลก บนทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่ไร้ซึ่งสิ่งอื่นใดนั้นมีคนสองคนนั่งอยู่ ทั้งสองต่างคุ้นหน้ากันดี แม้จะไม่ได้คุยกันโดยตรง แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันหลายอย่าง
“..หวัดดี?”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
มหามังกรวารี เนลยอน และ มหามังกรเทียมน้ำแข็ง สโนว์ นั่งอยู่บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ และส่งสีหน้างงๆใส่กันและกัน
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หลังจากที่ใช้หัวสมองครุ่นคิดอย่างสุดตัวทั้งสองก็พอจะสรุปสถานการณ์ออกมาได้บ้าง
“โค่นเทพมังกรลงได้ ..บ้าไปแล้ว”
“ยากที่จะเชื่อ แต่เหมือนจะจริงนะคะ หลักฐานก็คือการที่พวกเราสองคนยังสบายดี”
สโนว์ลุกขึ้นยืนบนผืนหญ้า มองซ้ายขวาไปมาเพื่อวิเคราะห์สถานที่ที่ยืนอยู่
“ตอนนี้พวกเราน่าจะอยู่ชายแดนระหว่างอาณาจักรแซร์อิซ และอาณาจักรคู่อริค่ะ โชคดีที่แถวๆนี้ยังไม่เกิดการต่อสู้ แต่ก็คาดว่าน่าจะมีทหารคอยสอดส่องตลอดเวลา หากถูกเจอตัวเข้าน่าจะไม่ดีแน่นอน คิดว่าตอนนี้ควรไปที่ที่ปลอดภัยก่อน และค่อยตัดสินใจเรื่องไปรวมตัวกับคนอื่นค่ะ” สโนว์พูดต่อพลางลูบคางตัวเองไปด้วย “ตามประสบการณ์ของฉัน พวกเราเดินอ้อมนิดหน่อยแบบระมัดระวังคงจะเข้าอาณาจักรใกล้เคียงได้ไม่ยาก สามารถตั้งหลักหาเงิน และเตรียมสิ่งจำเป็นหลายๆอย่างได้จากการล่ามอนสเตอร์แถวนั้นก็ไม่เลวนะคะ”
“พล่ามอะไร อย่าพูดเหมือนข้าต้องเดินตามตูดเจ้าจะได้รึเปล่า ของจอมปลอม”
…..
“..”
“มองอะไร?”
“ท่านเนลยอนคล้ายกับปีเตอร์เล็กน้อย แต่คิดว่าปีเตอร์น่ารักกว่ามากค่ะ”
“หา??”
เนลยอนเดาะลิ้นไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามมา และออกเดินไปคนละทางกับที่สโนว์ว่าเอาไว้ โดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง ด้วยศักดิ์ศรีที่มากล้นของตัวเอง
รู้ตัวอีกที ก็เดินมาไกลจากที่แห่งเดิมหลายกิโลเมตรได้แล้ว ตอนนี้เนลยอนเดินอยู่ในป่าของอาณาจักรแซร์อิซซึ่งอุดมไปด้วยป่าไม้แสนทรงสเน่ห์
“….”
เขามองไปรอบตัวเองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม พลางคิดในใจว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากโลกสินะ ….
ป่าไม้ที่มีหยาดน้ำติดตามปลายใบไม้ บ่งบอกว่าไม่นานมานี้ฝนพึ่งตกลงมา สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตามต้นไม้ต่อต้นไม้ ไม่ว่าจะกระรอก หรือว่างู ล้วนเป็นตัวบ่งบอกถึงธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผืนหญ้าสีเขียวปนดินสีดำ หลายจุดมีพื้นที่ต่างระดับกัน มีรากไม้คอยขวางตลอดทางเดิน แม้จะน่ารำคาญ แต่มันก็คือธรรมชาติที่ควรจะเป็น
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่เคยได้เดินเท้าบนโลกที่ตนเคยคิดจะทำลาย
อากาศ พอตั้งใจสูดและถอนหายใจดีๆก็สดชื่นเกินคาด ประหนึ่งว่าชีวิตนี้ไม่เคยลิ้มรสความรู้สึกของการได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกเลยสักนิด และพอได้มาทดลองชิมดูแล้วมันก็ ..ไม่เลวเลย
ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเคยพรากมันไปจากทุกคนนับร้อยปี
ทำอะไรลงไปกันนะ? เพื่อสนองความปารถนาอันโง่เขลาของคนหลงทางเช่นตัวเอง ตัวข้าถึงกับทำลายสิ่งเหล่านี้ได้ลงคอเลยนั้นรึ ช่าง น่าละอายใจ และ ..
“สวดส่งวิญญาณ”
เนลยอนพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะมันออกมาจากจิตใต้สำนึก
“เหมือนกับที่ฟัฟนิร์ทำ ..ไม่เลวเหมือนกัน”
“การสวดส่งวิญญาณไม่ได้ง่ายนะคะ ท่านเนลยอน”
เสียงอันไพเราะดังขึ้นข้างๆหู เนลยอนสะดุ้งโหยงก่อนจะเขยิบตัวออกจากสโนว์ที่จู่ๆก็โผล่มาอยู่ข้างตัวเอง
“อะ อะไรของเจ้าเนี่ย!?”
“เรื่องอะไรเหรอคะ?”
“–ตามข้ามาทำไมกัน มีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
“เปล่าค่ะ แค่คิดว่าในสถานการณ์แบบนี้จับกลุ่มกันไว้จะดีกว่า”
สโนว์กระพริบตาปริบๆ ไม่ได้พูดโกหกหรือมีเจตนาแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น เนลยอนรับรู้ได้จากสายตาของเธอ
“….”
“พูดถึงการสวดส่งวิญญาณ ฉันให้ข้อมูลได้นะคะหากสนใจ”
“ดูสบายใจเหลือเกินนะ”
“ท่านพ่อสอนไว้น่ะค่ะว่าต่อให้เมื่อวานผ่านอะไรมา พรุ่งนี้ก็ต้องกลับมาเป็นปกติให้ได้ สำหรับฉันนั่นคือคำสอนที่แสนมีค่า และควรแก่การปฏิบัติตามค่ะ แม้ว่าจะขัดขืนและมีแนวคิดต่างกับท่านพ่อมากมายก็เถอะ แต่แค่คำสอนนี้เท่านั้น”
สโนว์พูดทั้งรอยยิ้ม แม้คำสอนนั่นจะมาจากคนที่ทำร้ายพวกเธอในทุกๆวันก็ตามที
“ก็ตามใจ”
“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นเริ่มจาก—”
การเดินทางของเนลยอนได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง และนั่นจะเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อในฐานะผู้สวดส่งวิญญาณ และ–ผู้บันทึกเรื่องราวอันมากมาย หรือที่รู้จักกันในนามของ ‘นักกวี’
****
ปัญหาหลายๆอย่างในที่แห่งนี้สำหรับผมค่อยๆหายไปจนหมดแล้ว ตัวผมเดินอยู่คนเดียวตามทางเดินยามค่ำคืน
หลังจากเคลียร์เรื่องของวินและน้องสาวเสร็จแล้ว พวกเราก็แยกกันเตรียมตัว โดยที่ผมจะไปรับวินอีกทีเมื่อถึงเวลา และคาดว่าเวลานั้นคงจะมาถึงในไม่อีกกี่ชั่วโมง ใช่ ผมจะรีบออกเดินทางกลับอาณาจักรฟัฟนิร์โดยเร็ว ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องที่ต้องพาพวกวินไปส่งที่เมืองชันไม หรือเรื่องของเอเธอร์ที่แปลกไปจากทุกที ผมเลยจำเป็นต้องรีบกลับบ้านเกิดของตัวเอง
ทว่า ระหว่างที่กำลังเดินตามทางเดินอยู่นั้นเอง ..
คนๆหนึ่งโผล่ตรงหน้าของผม ในทีแรก ผมคิดอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาได้เลยละ หรือว่าเรื่องที่พยายามจะปกปิดตัวตนของวินจะความแตกแล้วกัน? ถ้าเป็นอย่างนั้นแย่แน่ๆ คงจะออกจากอาณาจักรเนลยอนได้ยาก แต่ข้อสงสัยนั้นก็ถูกลบหายไปในทันทีที่คนผู้นั้นปรากฏตัวภายใต้แสงไฟจากเสาไฟเวทมนตร์
สูงราว 170 ซ.ม. มีเลือนผมสีน้ำเงินเข้มมัดจุกปลายปล่อยยาวลงมาจนถึงเอว เป็นผู้ชาย? ผู้หญิง? ให้นิยามกลางๆก็เป็นคนที่หล่อเสมือนผู้ชาย และสวยเสมือนผู้หญิง แต่ถ้าหากถามถึงเพศสภาพก็คงจะเป็นผู้หญิง เพราะหน้าอกที่นูนออกมาอย่างกับจะทะลึกออกมาจากเสื้อเชิ้ตของบุคคลตรงหน้า
นอกเหนือจากใบหน้าที่งดงามคาบเกี่ยวทั้งสองเพศอันเป็นเอกลักษณ์ที่สุด ก็คือดาบเรเปียร์อันงดงามเหมือนดั่งตัวตนของหมอนั่นซึ่งเหน็บไว้ตรงเอวของตัวเอง
พอมาลองดูดีๆก็มีเรื่องให้ชวนคิดหลายอย่าง ..จุดที่มัดจุกเอาไว้ยาวขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยแฮะ แล้วก็ดวงตาของมหามังกรที่มาจากครึ่งหนึ่งของฟัฟนิร์นั่นก็ทำให้แววตาของชินดูคมขึ้นมาก แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด..หน้าอกนั่นคือของจริง หมอนั่นเหมือนจะเป็นผู้หญิงจริงๆด้วย ถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีแฮะ
ผมหัวเราะพึมพำในลำคอ พลางหรี่ตามองเธอตรงหน้า และค่อยๆส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“ไม่ได้เจอกันนานนะ”
“นั่นสินะขอรับ”
….นึกว่าตายไปแล้วซะอีก—-นึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเสียอีก
คิดมาโดยตลอดว่าตัวเองทำพลาดอย่างรุนแรง รู้สึกผิด และเสียใจอย่างถึงที่สุด ปารถนาล้มๆแล้งๆว่าพวกเราจะต้องได้เจอกันอีก เพราะสัญญากันเอาไว้แล้ว มันคือพันธสัญญานายบ่าวรักเดียวใจเดียวที่พวกเราเคยมอบให้แก่กัน
หลงคิดไปว่าสัญญาของพวกเรามันจบไปเสียแล้วในช่วงชีวิตหนึ่ง ..แต่ไม่ใช่
พันธสัญญาของพวกเราไม่มีวันถูกทำลาย และตอนนี้ก็ได้เวลาสานต่อคำสัญญาในค่ำคืนนั้นอีกครา
โดยไม่ต้องบอก ชินคุกเข่าลงกับพื้น หยิบดาบเรเปียร์ข้างตัวขึ้นมายื่นให้ผม ผมรับมันไว้ ชินโค้งศรีษะให้ผม
“จะไม่ถามว่าคิดดีแล้วเหรอหรอกนะ ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องเป็นอัศวินของฉัน มีแค่นายคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรจะยืนอยู่ข้างฉันในฐานะอัศวิน”
เพราะถนัดเรียกชินมากกว่าชินดร้า ผมจึงจะเรียกเธอว่าชินต่อไป ถนัดเรียกว่านายมากกว่าเลยแทนว่านาย แน่นอน คงไม่ว่าอะไรกันหรอกเนอะ?
“ตามท่านปารถนาขอรับ กระผมเป็นเพียงดาบของท่านเรเซอร์ และจักเป็นดาบที่ไม่มีทางเปลี่ยนวิถีดาบของตัวเอง”
ผมดึงดาบเรเปียร์ออกจากฝัก จากนั้นก็นำปลายดาบไว้บนบ่าของชินตามพิธี
“วิถีดาบของนายคืออะไรกัน?”
“วิถีดาบของกระผม คือการ—”
….
…
ชินโพล่งออกมาโดยไร้ซึ่งความลังเล สมกับเป็นอัศวินของผมเพียงผู้เดียว
“แปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่เลวเลยนี่”
ผมแสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็เก็บดาบเรเปียร์เข้าฝัก และส่งคืนให้ชิน ชินรับมันไว้ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม มาดอัศวินผู้สูงส่งของคนๆนี้ไม่เคยจางหายไปไหนเลย แอบคิดว่าไปอยู่กับฟัฟนิร์มาตั้งนานน่าจะมีหลุดๆบ้างแต่ก็ไม่แฮะ
“มีเรื่องที่อยากคุยกับนายเยอะเลยนะ ชิน แต่ว่าก่อนอื่น”
ผมส่งสายตาไปที่อีกคนซึ่งกำลังยืนแอบอยู่หลังเสา
“ยัยบ๊องที่เขาโผล่แบบไม่รู้ตัวตรงนั้น ออกมาได้แล้ว”
“วะ ว่าใครยัยบ๊องกันหา!?”
เสียงตบมุกนั้นดังฟังชัด เธอที่แอบดูพิธีอันสูงส่งระหว่างผมกับอัศวินที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลกก็โผล่หัวออกมา
มหามังกรเพลิงฟัฟนิร์นั่นเอง
“แอบดูเวลานายบ่าวจู๋จี๋กันซะเพลินเลยนะ”
“อย่าพูดชวนเข้าใจผิดสิครับ ท่านเรเซอร์”
ฟัฟนิร์มีท่าทีดูเขินๆอายๆอะไรก็ไม่รู้ เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด เหมือนจะเดินเข้ามาแต่ก็เดินแบบกล้าๆกลัวๆไม่เต็มก้าว ทำท่าทางอย่างกับสาวน้อยวัยแรกแย้มที่กำลังจะสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น เห็นแล้วก็ตลกดี
“..”
“ถ้าจะให้ขอบคุณเดี่ยวตอบแทนโดยการเลี้ยงข้าวให้นะ”
“นั่นก็ดีอยู่หรอก แต่มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอีกนะ ..แบบว่า”
ฟัฟนิร์ถอนหายใจเฮือกโต กลืนน้ำลายดึงอึก ทำท่าขยับแขนไปมาอย่างยิ่งใหญ่ก่อนจบลงด้วยการยืนเชิดหน้ากอดอก และโพล่งขึ้น—
“แค่แปปเดียวก็ดี จงรับข้าเข้าทำงานซะ!!”
“แหม่ ให้รับคนที่มีศัตรูทั่วสารทิศเข้ามาเป็นพวก ทางนี้ก็ลำบากแย่เลยไม่ใช่รึไง”
…….
“….นั่นสินะ”
ฟัฟนิร์ซึมขึ้นมาทันตาเห็น ตอนแรกยังวางท่าซะใหญ่โตอยู่เลยแท้ๆ แล้วก็ที่โพล่งออกมามันไม่ใช่วิธีขอเข้าทำงานหรอกนะ ยัยมหามังกรบ๊อง ก่อนที่มหามังกรตนนี้จะเดินจากไปจากที่แห่งนี้ ..ผมเดินเข้าไปใช้ฝ่ามือทุบหัวฟัฟนิร์เบาๆคล้ายหยอกล้อกับแมว
“แต่ว่าคู่อริของหล่อนมันมีแต่พวกกระจอกที่ไม่คณามือฉันแล้วละ ถ้ามันมาหาเรื่องห้าวินาทีก็จบแล้ว เพราะพวกนั้นมันโคตรกระจอก”
อาจจะดูพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ครึ่งหนึ่งผมก็คิดอย่างนั้นถึงโพล่งออกมา
“ท่านเรเซอร์เปลี่ยนไปเยอะเลยนะขอรับ”
“จะบอกว่าปากดีขึ้น?”
“องอาจขึ้นต่างหากขอรับ”
รู้งานซะเหลือเกิน สมกับเป็นอัศวินที่ผมเลือกมากับมือคนนี้ พอพูดไปอย่างนั้นผมและชินก็หัวเราะให้กันและกันแบบไม่คิดอะไรมาก
ผมผละมือออกจากหัวของฟัฟนิร์ และยิ้มให้ทั้งสองคน
“ไม่ใช่แค่ชิน ฟัฟนิร์ เธอช่วยเป็นกำลังให้ฉันได้รึเปล่า ถึงศัตรูของหล่อนมันจะกระจอก แต่ศัตรูของฉันค่อยข้างแข็งแกร่งน่ะนะ”
“ต้าวเรเซอร์ เข้าใจผิดไปเรื่องหนึ่งนะ”
???
“ตัวข้านั้นแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องให้ต้าวเรเซอร์มาปกป้องหรอกนะจะบอกให้”
ฟัฟนิร์แสยะยิ้มออกมาอย่างห้าวหาญสมกับเป็นมหามังกรผู้เคยจมโลกนี้สู่ความมืดมิด ..
“นั่นสินะ”
และในที่สุด ผมก็ได้กลับมาพบกับทั้งสองคนอีกครั้ง