Sign in Buddha’s palm 196 (1) อาณาเขตที่น่าหวาดผวา
โถงพระราชวังอันสูงตระหง่าน
ซูฉินดูมีความสุข
“ระยะเวลาสองปี แม้ว่าอาจจะดูนานไปหน่อย แต่ก็ไม่เสียเปล่าที่ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กขึ้นมา”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย คิดอยู่กับตนเองในใจ
หากให้เหล่าผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ในต่างแดนรู้ความคิดของซูฉินเข้า เกรงว่าดวงตาคงจะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยความอิจฉา
สําหรับพวกเขา แม้ว่าจะใช้เวลาแปดสิบปี หรือร้อยปีเพื่อควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก พวกเขาจะต้องเต็มไปด้วยความปีติยินดีแน่ และจะเชิญชวนตํานานยุทธคนอื่นๆ มาฉลองสังสรรค์กัน
ส่วนระยะเวลาสองปีนั้น
แม้แต่เหล่ายอดยุทธอาวุโสก็คงจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
เพราะเรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป แค่สองปีจะไปทําอะไรได้? ปิดด่านฝึกตนแค่สองปีจะไปควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้อย่างไร เพียงแค่กลั่นแก่นแท้แห่งพลังเพียงเล็กน้อยก็เกรงว่าจะใช้เวลาไปมากถึงสองปีแล้ว
“ควบแน่น”
ทันใดนั้น พลังที่มองไม่เห็นก็แผ่ออกไปในรัศมีหนึ่งร้อยจ้างโดยมีซูฉินเป็นศูนย์กลาง
“ช่วงรัศมีหนึ่งร้อยจ้างนี้ คืออาณาเขตของข้า อํานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในกํามือของข้า”
ซูฉินรับสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงภายในอาณาเขตของเขาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าครุ่นคิด
อาณาเขตและพลังฟ้าดินโดยพื้นฐานแล้วมีความแตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น ถ้าตํานานยุทธสองคนต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเมื่อไหร่ พวกเขาต่างสามารถควบคุมพลังฟ้าดินเข้าน้ำนั่นกันได้
ท้ายที่สุดแล้ว ตราบใดที่เป็นตํานานยุทธก็ล้วนสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ทั้งนั้น ความแตกต่างก็มีเพียงระดับชั้น
แต่อาณาเขตนั้นต่างออกไป
หากตํานานยุทธเข้ามาอยู่ในอาณาเขต แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าหรือนภาชั้นที่หก พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตนไม่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้เลยราวกับว่าถูกลดขอบเขตลงจากการเป็นตํานานยุทธ
หรือจะให้พูดง่ายๆ
ภายในอาณาเขตแห่งนี้ ซูฉินเป็นนายใหญ่เพียงผู้เดียว ตราบใดที่ซูฉินไม่เต็มใจ จะไม่มีตํานานยุทธคนใดที่จะสามารถหยิบยืมพลังอํานาจของฟ้าดินในอาณาเขตของเขาได้
“ไม่เลวไม่เลว”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าตํานานยุทธที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ กับตํานานยุทธที่ควบแน่นไม่ได้จะเป็นสองระดับที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์
ซูฉินดูประหลาดใจ
แม้ว่าซูฉินจะยังคงอยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ด
แต่ภายใต้อาณาเขตแห่งนี้ แม้เขาจะถูกห้อมล้อมด้วยตํานานยุทธหลายสิบคนในระดับเดียวกันก็ไม่ต้องหวั่นกลัว
แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธในระดับเดียวกัน เมื่อตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉินแล้ว เกรงว่าชีวิตและความตายของพวกนั้นคงจะอยู่ในกํามือของซูฉิน
แน่นอนว่าไม่มีตํานานยุทธคนใดที่โง่เขลาพอจะบุกเข้าไปในอาณาเขตตรงๆ หรอก
ท้ายที่สุดอาณาเขตที่ซูฉินเพิ่งจะสร้างสําเร็จก็เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น มีรัศมีเพียงแค่หนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น
สําหรับคนทั่วไป อาณาเขตไกลถึงร้อยจ้างอาจจะใหญ่โตมาก แต่ในสายตาของตํานานยุทธนั้นนับเป็นเรื่องที่เล็กน้อยนัก
ตํานานยุทธมิใช่คนโง่ และคงไม่ผ่านเข้ามาหากรู้ว่าตนจะพ่ายแพ้
“น่าเสียดาย”
“คงจะดีกว่านี้ถ้าอาณาเขตมันใหญ่กว่านี้”
เค้าความเสียใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน อาณาเขตกว้างร้อยจ้าง เมื่อเทียบกับความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินหนึ่งร้อยลี้ก่อนหน้านี้ ระยะทางมันลดลงไปมาก
ความคิดนี้แวบขึ้นมาในหัวของซูฉินเพียงชั่วครู่เท่านั้น
เมื่อนําอาณาเขตที่มีอํานาจเด็ดขาดมาเทียบกับสิ่งที่เรียกว่าพลังฟ้าดินแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลก มันเหมือนกับเอาสิบตําลึงเงินไปเทียบกับตําลึงทอง
“ว่ากันว่า ตราบใดที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี อาณาเขตขนาดเล็กจะแปรสภาพกลายเป็นอาณาเขตขั้นสุดยอด ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยล้ำได้ในพริบตาเดียว”
ซูฉินรู้สึกทึ่ง
อาณาเขตที่เขาควบแน่นมาได้ในตอนนี้คืออาณาเขตขนาดเล็ก เรียกได้ว่าเป็นราวกับอาณาเขตขนาดจําลองเลยก็ว่าได้
แต่ด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นใครก็คงนึกภาพออกว่ายอดอรหันต์หรือเซียนเทพปฐพีนั้นจะทรงพลังสั่นสะเทือนโลกได้เพียงใด?
ต่อจากนั้น
ซูฉินยังคงรับรู้ความสามารถต่างๆ ของอาณาเขตขนาดเล็กต่อไป และในที่สุดก็สงบใจลงได้
“เอาล่ะ”
“มาลองดูว่ามีดเทพเจ้าปีศาจที่ได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ในโลกถ้ำปิศาจจะสามารถเจาะผ่านอาณาเขตได้หรือไม่”
ซูฉินพลันคิดขึ้นมาได้
ใบมีดของมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นคมที่สุดและน่ากลัวที่สุดในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่ซูฉินเคยเห็นมา
แม้แต่ซูฉินก็ไม่สามารถหยุดยั้งคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้หากใช้เพียงกายเนื้อล้วนๆ
แน่นอนว่าซูฉินไม่สามารถหยุดมันได้ แต่มีดเทพเจ้าปีศาจก็ไม่สามารถทําอะไรซูฉินได้เช่นกัน
เพราะด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน มีดเทพเจ้าปีศาจจะไม่มีวันแตะต้องตัวของเขาได้
นอกจากนี้ซูฉินยังมีทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ เว้นแต่ว่ามีดเทพเจ้าปีศาจจะสามารถทําลายล้างซูฉินได้อย่างสมบูรณ์ในฉับเดียว ซูฉินที่มีร่างกายกึ่งอมตะย่อมสามารถฟื้นตัวได้อย่างไร้ขีดจํากัด
หวึ่ง!
ปรากฏมีดยาวรูปร่างประหลาดเหมือนกับเคียว โก่งโค้งวนไปดั่งดวงจันทร์โผล่ขึ้นมาในมือของซูฉิน
ไอพลังแผ่ออกมาแทบจะในทันที ชวนให้ผู้คนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในขุมนรก
“ไม่เลว”
ซูฉินจับด้ามมีดในมือก่อนจะโบกสะบัดไปมา
แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้ใช้พลังใดๆ ก็ตาม เมื่อมีดเทพเจ้าปีศาจมาอยู่ในมือ เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันแหลมคมแทรกซึมอยู่ภายในอากาศ เกือบจะฉีกชั้นบรรยากาศเป็นชิ้นๆ
“อาณาเขต”
หัวใจซูฉินกระตุกวูบ พลังของอาณาเขตก็ก่อตัวเข้าพัวพันกับคมมีดเทพเจ้าปีศาจ
เป้ง!!
เกิดเสียงออกมาจากคมมีดเทพเจ้าปีศาจ ซูฉินสะบัดมือเบาๆ เงามืดจากใบมีดก็ปรากฏขึ้นเฉือนทําลายพลังของอาณาเขตไปส่วนหนึ่ง และในที่สุดก็ค่อยๆ สลายหายไป
“มีดเทพเจ้าปีศาจสามารถเจาะทะลุอาณาเขตได้ แต่อาณาเขตเองก็สามารถกลืนพลังจากมีดเทพเจ้าปีศาจไปได้ด้วย”
ซูฉินแตะปลายคางครุ่นคิดในใจ
ต้องกล่าวว่ามีดเทพเจ้าปีศาจนั้นน่ากลัวมาก แม้แต่อาณาเขตที่ไร้สภาพมองไม่เห็นตัวตนเช่นนี้ก็ยังสามารถทําลายได้
รู้หรือไม่ แม้ว่าจะเป็นปีศาจในระดับนภาชั้นที่เจ็ดและนภาชั้นที่แปด ถ้าไม่สามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้ ก็จะไม่สามารถทําอันตรายต่ออาณาเขตได้เลย แต่มีดเทพเจ้าปีศาจกลับสามารถตัดผ่านพลังของอาณาเขตได้ เห็นได้ชัดว่ามีดเล่มนี้คมกริบขนาดไหน
ความคิดของซูฉินผันผวน แล้วจึงใส่มีดเทพเจ้าปีศาจกลับเข้าไปในคลังของระบบ
พื้นที่ของระบบนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะ ตราบใดที่ซูฉินภายในโลกถ้ำปีศาจเก็บสมบัติเข้ามาในคลังของระบบ ซูฉินที่อยู่ในเมืองฉางอันก็สามารถหยิบสมบัติในคลังเหล่านั้นออกมาใช้สอยได้
และเป็นเช่นเดียวกันกับซูฉินในโลกถ้ำปิศาจใต้พิภพ
“อาณาเขตนี้เพิ่งจะก่อร่างขึ้นมาไม่นาน ต้องทําให้มันมั่นคงเสียก่อน”
ซูฉินค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง แล้วกลับไปฝึกฝนต่อ
ซูฉินใช้เวลาร่วมสองปีในการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก ย่อมวางแผนที่จะทําให้อาณาเขตมั่นคงสมบูรณ์เสียก่อนเป็นอันดับแรกก่อนที่จะพิจารณาสิ่งอื่นต่อไป
และขณะที่ซูฉินยังคงปิดด่านฝึกตนต่อไปนั้น
หร่วนชิงที่กําลังตกตะลึงอยู่ลึกๆ ในใจ ด้านนอกพระราชวังตะวันออก
เมื่อครู่นี้พลังฟ้าดินในรัศมีหลายร้อยลี้สั่นสะเทือนไปหมด หากหร่วนชิงไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง เขาคงไม่มีวันเชื่อ
แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธ แต่ขีดจํากัดในการควบคุมพลังฟ้าดินคือหนึ่งร้อยลี้ ส่วนระยะทางหลายร้อยล้ำนั้น เกรงว่าคงจะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถไปถึงได้
“นายท่านแข็งแกร่งเกินไป..”
หร่วนชิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
เป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแล้ว ซูฉินไม่ได้ห้ามหร่วนชิงฝึกฝน ตรงกันข้าม เขามักจะให้คําแนะนําแก่หร่วนชิงอยู่บ้างในช่วงปีแรก
และตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมในพระราชวังตะวันออกที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าต่างดินแดน ควบคู่ไปกับปราณฉีที่ฟื้นฟู ทั้งยังมีการแนะนําเป็นครั้งคราวจากซูฉิน ฐานการบ่มเพาะของตัวเขาก็ได้พัฒนาขึ้นอีกครั้งและพุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สาม
ยิ่งกว่านั้น หร่วนชิงยังเห็นเค้าลางจางๆ ว่าตราบใดที่เขามีเวลาอีกสักหลายสิบหรือหลายร้อยปี เขาแน่ใจว่าตนเองจะต้องฝ่าโซ่ตรวนของระดับชั้นและขึ้นสู่นภาชั้นที่สี่ได้แน่
ต้องรู้ว่าแม้แต่ในต่างแดนเอง ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ก็เพียงพอที่จะเป็นผู้คุมกฏอาวุโสของนิกายใหญ่แล้ว กล่าวได้ว่าเป็นผู้มีอํานาจอันดับสองรองลงมาจากประมุขและรองประมุข
เดิมทีหร่วนชิงคิดว่าตนคงไม่มีความหวังที่จะไปถึงระดับนั้นในตลอดชั่วชีวิตนี้ แต่หลังจากใช้ชีวิตเพียงสองปในเมืองฉางอัน เขาก็มองเห็นความหวัง
“ปราณฉีฟื้นคืนเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น”
หร่วนชิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พึมพําอยู่กับตนเอง
แน่นอนว่าเขาสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วส่วนใหญ่เป็นเพราะคําแนะนําของซูฉิน แต่อิทธิพลของสภาพแวดล้อมภายในโลกก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน
“เกือบจะสองปีแล้ว”
“การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีนั้นเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก พวกเหล่าอาวุโสในนิกายใหญ่ควรจะรู้อะไรบ้างแล้วใช่หรือไม่?”
ร่องรอยความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหร่วนชิง
แม้ว่าพวกเหล่าอาวุโสในนิกายใหญ่จะไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของโลกที่ยิ่งใหญ่ในตอนแรก และคิดว่าในต่างดินแดนจะยังคงรุ่งโรจน์ตลอดไป แต่ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป กระแสปราณฉีจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความสามารถของคนพวกนั้น จะต้องตระหนักได้ถึงบางสิ่งแน่ๆ
“อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่าน ต่อหน้านิกายใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมานับพันปี ก็ควรจะมีคุณสมบัติพอที่จะเจรจากันได้”
หร่วนชิงคาดเดาอยู่ภายในใจ