เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 153 ความโหดร้ายของแม่น้ำ

หลังจากที่หลงเฉินเดินจากมาอย่างลึกลับไกลเกือบสิบลี้แล้ว ทางด้านหลังของเขาก็ได้มีเสียงคำรามของชีซิ่งดังขึ้นมาจนสะท้านไปทั่วทั้งผืนฟ้า จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา

หือ? น้ำผึ้งทั้งหมดไม่ได้เป็นของเจ้าอยู่แล้ว และข้าเองก็ไม่ได้ยื้อแย่งออกมาจากมือเจ้าด้วย เหตุใดจึงต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนั้นกันเล่า?

ที่สำคัญก็คือหากไม่ใช่เป็นเพราะข้าช่วยออกความเห็นให้กับพวกเจ้า มีหรือที่พวกเจ้าจะได้น้ำผึ้งไปครอบครองได้ แม้แต่ปัสสาวะของผึ้งก็คงจะไม่ได้เห็นกระมัง

และยิ่งไปกว่านั้นก็คือข้าได้หลงเหลือน้ำผึ้งไว้ให้เจ้าอีกตั้งมากมาย เพียงแค่นั้นก็คงจะเพียงพอที่จะแบ่งปันให้พวกพ้องได้ทั้งหมดแล้ว

ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะมีเวลาไม่เพียงพอ เขาจึงไม่อาจขนออกมาได้ทั้งหมด แน่นอนว่าไม่ได้ต้องการจะหลงเหลือสิ่งใดเอาไว้ให้ดูต่างหน้าแม้แต่ชิ้นเดียว

บัดนี้ท้องฟ้าสีครามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดของยามนิทราแล้ว เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิต หลงเฉินจึงรีบวิ่งตะบึงไปตามเส้นทางอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่คิดที่จะพบเจอกับชีซิ่งที่กำลังบ้าคลั่งในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน

สัตว์ประหลาดเช่นนั้นช่างมีพลังฝีมือที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง และหลงเฉินในตอนนี้กลับมีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตระดับที่หกเท่านั้น หากเทียบชั้นกันแล้วยังถือว่าห่างไกลกว่านัก

หลังจากวิ่งมาไกลกว่าร้อยลี้ก็พบว่าบริเวณโดยรอบปรากฏร่องรอยของผู้คนกลุ่มหนึ่งทิ้งเอาไว้ จึงทำให้หลงเฉินเบาใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ต่อให้ชีซิ่งตามมาก็คงไม่อาจไปต่อได้อีกแล้ว

เมื่อกวาดสายตามองไปโดยรอบอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเขากำลังเข้าสู้เขตของสัตว์ป่านานาชนิด นี่เขาออกแรงใต้ฝ่าเท้าซ้ายวิ่งมาจนถึงใจกลางของอีกหุบเขาหนึ่งเลยอย่างนั้นหรือ?

หลังจากที่เสาะหาถ้ำที่สะอาดสะอ้านได้แห่งหนึ่ง หลงเฉินก็ได้นำจอกออกมาหนึ่งใบพร้อมกับเทน้ำผึ้งจากราชินีผึ้งหยกลงไปครึ่งจอก กลิ่นหอมหวานโชยขึ้นมาเตะจมูกอย่างรุนแรงจนต้องปาดน้ำลายที่ไหลออกมาเป็นสาย

ทันทีที่อ้าปากรับสัมผัสจากน้ำผึ้งที่รินไหลเข้าสู่ภายในช่องปาก รสชาติอันหอมหวานแตะที่ลิ้นของเขาอย่างนุ่มนวล รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างกายคล้ายกับอ่อนระทวยลงไป

“เลิศรสยิ่งนัก”

หลงเฉินทอสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างถึงที่สุด น้ำผึ้งบริสุทธิ์เช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นจะต้องแต่งเติมสิ่งใดเข้าไปอีก เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ผู้คนโบยบินประดุจเทพเซียนได้แล้ว ในขณะเดียวกันก็สามารถฟื้นฟูร่ายกายที่อ่อนล้าให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้อย่างหมดจด

เมื่อผู้คนมีจิตใจที่แจ่มใสแล้วย่อมสามารถเข้าสู่สมาธิได้อย่างง่ายดาย ทว่าผลลัพธ์เช่นนี้ยังไม่อาจเทียบเท่าป้ายหยกของเขาก็ตามที

แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป หรือแม้แต่ผู้มีพรสวรรค์เองก็ยังต้องการน้ำผึ้งของราชินีผึ้งหยกเพื่อคอยค้ำจุนสติ และอย่างน้อยต้องรอเวลาอีกกว่าหนึ่งถึงสองชั่วยามจึงจะสามารถใช้น้ำผึ้งได้อีกครั้ง เพราะว่าการเข้าสู่สมาธิอับสงบนิ่งนั้นเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากที่สุด ฉะนั้นน้ำผึ้งของราชินีผึ้งหยกจึงเป็นที่หมายปองของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ซึ่งไม่ต่างไปจากสมบัติอันล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้

หลังจากที่ดื่มน้ำผึ้งของราชินีผึ้งหยกจนหมดจอกแล้ว หลงเฉินก็ได้เอนกายลงนอนไปบนศิลาก้อนใหญ่ ดวงตาคู่คมเหม่อมองไปยังหมู่ดวงดาวที่กระพริบระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิด เห้อ วันนี้ก็ได้ผ่านพ้นความยุ่งยากวุ่นวายไปได้อีกวันหนึ่งแล้วสินะ

หลังจากนอนพักร่างจนเต็มอิ่มแล้ว หลงเฉินก็คล้ายกับเป็นพยัคฆ์ที่มีพลังชีวิตฟื้นฟูขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม ทว่ากว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาอันโดดเดี่ยวของค่ำคืนไปได้ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

ไม่ทราบว่าตอนนี้ทางฉู่เหยาจะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อไปถึงตำหนักป่าสวรรค์แล้วจะมีชีวิตอยู่อย่างไรบ้าง ด้วยความเป็นมิตรของนางย่อมต้องถูกเอารัดเอาเปรียบได้อย่างง่ายดายแน่นอน แล้วหลังจากที่ม่งฉีได้รับโอสถบำรุงวิญญาณไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง หากได้ใช้ไปแล้วนั้นจะทะลวงพลังไปถึงขอบเขตใดแล้ว

ทางบิดาและมารดาก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะมารดาจะเคยชินกับการที่ไม่มีบุตรอยู่เคียงข้างกายหรือไม่?

ยามพลบค่ำช่างเงียบเหงายิ่งนัก บรรยากาศได้นำพาความกังวลให้รุมเร้าเข้ามาอย่างรุนแรงจนแทบจะทำให้หลงเฉินบ้าคลั่งจนแทบเสียสติไปเลยก็ว่าได้

อีกทั้งยังมีเรื่องราวในอดีตที่มืดมัวจนไร้วี่แวว เพียงแค่เกิดมาก็ถูกผู้คนช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ และกระดูกปราณไปเสียแล้ว หากเป็นไปตามปกติของเด็กทารกคนหนึ่งย่อมต้องตายไปแล้ว การคงอยู่มาจนถึงบัดนี้ของเขาถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง

ส่วนเงาร่างที่พาเขาหลบหนีมาก็เป็นเพียงข้ารับใช้ผู้หนึ่ง ฉะนั้นตอนนี้บิดาและมารดาของเขาจะอยู่ที่ใดกันนะ? จะเกิดเรื่องราวอันเลวร้ายกับพวกเขาบ้างหรือไม่?

ขณะที่คิดไปก็ลูบแผ่นหยกไปด้วยเบาๆ บนตัวหยกมีอักขระเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน: มังกรนพเก้าเย้ยฟ้า คำรนแลด้วยนัยน์ตาแดงฉาน สงบสุขยินดีมีสุข ไม่แบ่งแยกโลกาไปนิรันดร์

ตัวอักษรแต่ละตัวเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและความรักอันลึกซึ้ง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าบิดาและมารดาของเขาทั้งรักและทะนุถนอมเขามากมายนัก

ทว่าเขากลับต้องมาพบเจอกับการลงมือที่อำมหิตจากผู้คนถึงเพียงนี้ หากยามใดได้พบเจอกันก็คงจะเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างลึกล้ำแน่นอน

ในเมื่อคนผู้นั้นสามารถลงมืออย่างทารุณได้ถึงเพียงนี้ก็แสดงว่าไม่ได้เกรงกลัวต่อบิดาและมารดาของเขาเลย ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ……เขาไม่กล้าที่จะคิดต่อด้วยเช่นกัน

แท้ที่จริงแล้วเขาจากมาจากที่ใดกันแน่? เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไรกัน? ผู้ใดเป็นคนลงมือ แล้วมีเป้าหมายอันใดอยู่กันแน่?

ภายในห้วงความคิดอันว้าวุ่นของหลงเฉินเกิดเรื่องราวมากมายถาโถมเข้ามานับไม่ถ้วน อยากจะหยุดคิดก็ไม่อาจทำได้เลย จึงต้องปล่อยให้ความวุ่นวายเช่นนั้นดำเนินต่อไปเช่นนั้นทั้งคืน

อีกหนึ่งเรื่องที่ยังไม่เคยลืมเลือนนั่นก็คือเสียงลึกลับที่ไม่ทราบว่าดังมาจากที่ใดและจากคนผู้ใด พลังหมัดที่ทำลายทั้งฟากฟ้าและดวงดาราจากเงาร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่ง หากยังคิดต่อไปเช่นนี้ แน่นอนว่าหัวสมองของเขาคงจะระเบิดไปในเร็ววันนี้แน่นอน

หลงเฉินรีบเรียกสติคืนกลับมาด้วยการสะบัดศีรษะอย่างรุนแรง พลันก็ได้สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจอันใดให้มากมาย ในเมื่อตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ย่อมเติบโตและแข็งแกร่งได้ จากนั้นก็คงจะสามารถล่วงรู้ถึงชาติกำเนิดของตัวเองไปทีละน้อย

บิดาเคยบอกกล่าวเอาไว้ว่าหากวันใดที่เขาสามารถฝึกยุทธ์ไปจนถึงระดับสูงสุดได้ วันนั้นก็เป็นวันที่ทราบถึงชาติกำเนิดของตัวเอง

ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิต ทว่าหากฝึกฝนไปเรื่อยๆ ผนวกกับการพัฒนาอันรวดเร็วของเขา แน่นอนว่าในเร็ววันนี้เขาจะต้องไปถึงจุดสูงสุดของยุทธภพได้

หลังจากที่จัดการกับความคิดอันซับซ้อนจนสงบลงแล้ว หลงเฉินก็ได้เริ่มต้นการฝึกยุทธ์ในรอบหลายวันที่ผ่านมา พลังภายในร่างกายถูกไหลเวียนจนวงแหวนแห่งเทพปรากฏขึ้นมา การดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ถึงแม้ว่าจุดตันเถียนของหลงเฉินจะยังคงเงียบสงบอยู่ ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับเอื้ออำนวยต่อการใช้พลังนับหมื่นวิถี หลงเฉินจึงสามารถชักนำวงแหวนแห่งเทพขึ้นมาได้

นอกจากนี้ยังสามารถปะทุเพลิงกาฬภายในเส้นลมปราณออกมาได้ รวมไปถึงพลังแห่งอัสนีบาตก็สามารถก่อตัวขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อมีพลังอันมหาศาลให้หยิบยืมได้ถึงเพียงนี้แล้วได้ หลงเฉินจึงคิดว่าจุดตันเถียนไม่ได้มีประโยชน์ต่อเขามากนัก

หากเป็นจุดตันเถียนของคนทั่วไปแล้วจะสามารถถ่ายเทพลังได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ฉะนั้นพวกเขาจะฝึกยุทธ์ได้เพียงสายเดียว หากเป็นผู้หลอมโอสถก็จะใช้ได้เพียงพลังเพลิงกาฬ ทว่าตอนนี้หลงเฉินกลับมีพลังอันมหาศาลชนิดอื่นรวมอยู่ด้วย แน่นอนว่าหากเป็นจุดตันเถียนของผู้อื่นคงจะระเบิดกลายเป็นจุลไปตั้งแต่แรกแล้ว

วงแหวนแห่งเทพไหลเวียนพลังทั้งหมดออมาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้ามาเก็บไว้ หลังจากที่หลงเฉินได้เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตได้แล้ว ก็พบว่าในทุกระดับที่จะทะลวงขึ้นไปจะต้องใช้เวลาที่เหมาะสม และยาวนานขึ้นไปเรื่อยๆ ในแต่ละระดับด้วย

แม้หลงเฉินจะมีพลังหนุนจากวงแหวนแห่งเทพ ทว่าก็ยังกินเวลาไปเป็นอย่างมากพอสมควร ในครั้งที่แล้วหลงเฉินใช้เวลาในการทะลวงพลังไปกว่าสิบวันจนความบริสุทธิ์ภายในเส้นโลหิตไม่เพียงพอที่จะทะลวงสู่ระดับต่อไปได้

ขณะนี้เขามีพลังจากวงแหวนแห่งเทพแล้ว จึงสามารถรับพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้ามาได้ง่ายดาย นำไปหล่อเลี้ยงเส้นโลหิตให้ฟื้นฟูพลังขึ้นมาทีละน้อย

เมื่อแสงสว่างของรุ่งเช้าในวันที่สองได้ปรากฏขึ้นมาครึ่งเสี้ยว หลงเฉินก็เริ่มต้นเดินทางสู่จุดมุ่งหมายต่อไปในทันที จุดที่ระบุเอาไว้บนแผนที่จะต้องข้ามภูเขาไปอีกสองลูกจนพบกับแม่น้ำสายหนึ่ง เมื่อข้ามแม่น้ำสายนั้นไปได้แล้วก็จะพบกับพื้นที่ที่เป็นจุดหมายปลายทาง

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา หลงเฉินได้พบกับผู้เข้าทดสอบมากหน้าหลายตาที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หลงเฉินกวาดสายตามองดูมาตลอดก็ยังไม่พบเห็นกัวเหรินเลย ไม่ทราบว่าเจ้าหนูผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

ทว่าเมื่อคิดได้ว่าเจ้าหนูผู้นั้นทั้งฉลาดและเฉลียว คงจะไม่มีปัญหาใหญ่อันใดเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน หลงเฉินจึงผ่อนลมหายใจแล้วมุ่งหน้าเดินต่อไป

บัดนี้หลงเฉินได้เดินทางมาจนถึงบริเวณที่มีการรวมตัวของเหล่ายอดฝีมืออย่างล้นหลาม แม้แต่คนที่ถูกชิงแผ่นป้ายไปแล้วก็ยังคงติดตามมาด้วยเผื่อว่าจะมีโชคอยู่บ้าง

ตามกฎของหมู่ตึกแล้ว ขอเพียงการทดสอบยังไม่จบสิ้นลง ก็ยังสามารถอยู่ในการทดสอบต่อไปได้ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียแผ่นป้ายไปแล้ว

การได้เข้ามาถึงสถานที่เช่นนี้ย่อมเสมือนการเปิดทางให้พวกเขาได้เข้ามาเสาะหาสมบัติจากฟ้าดิน เป็นเสมือนการชดเชยความผิดหวังของพวกเขา ทว่าจะได้รับไปมากหรือน้อยนั้นก็คงต้องอยู่ที่วาสนาของพวกเขาแล้ว

ยอดฝีมือบางกลุ่มกำลังซุบซิบนินทาอะไรกันอยู่ ทว่าเมื่อเห็นหลงเฉินแล้วกลับปิดปากเงียบกันอย่างรวดเร็ว ภายในดวงตาเหล่านั้นแฝงเอาไว้ความหวาดกลัวอยู่เป็นสาย

หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างอดสู นี่ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

หลังจากที่ข่าวของหลงเฉินกับจ้าวหวู่ได้แพร่สะพัดไปถึงหูของผู้คนทั้งหมดแล้ว ในสายตาของพวกเขากลับมองว่าหลงเฉินนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งห้าคนเสียอีก เพราะว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นยังไม่เคยสังหารผู้คนที่เข้าร่วมการทดสอบเลยแม้แต่คนเดียว

อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าหลงเฉินเองถูกพลังแห่งอัสนีบาตรของเหร่ยเชียนซังกักขังเอาไว้ ทว่าตอนนี้พวกเขาก็ยังเห็นว่าหลงเฉินยังมีชีวิตอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อนอันใด  ใบหน้าก็ยังดูหมดจดดีอยู่ หาใช่คนที่ได้รับทัณฑ์จากอัสนีบาตไม่?

หลังจากที่หลงเฉินเดินทางผ่านเส้นทางตามหุบเขาใหญ่ไปแล้วอีกลูกหนึ่ง ที่เบื้องหน้าสายตาของเขาก็มีพื้นที่โล่งกว้างปรากฏขึ้นมา พร้อมทั้งมีแม่น้ำสายหนึ่งทอดผ่านอยู่ด้วย

แม่น้ำแห่งนี้มีความกว้างนับพันเซียะ ทว่าสายน้ำกลับนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง ริมฝั่งแม่น้ำมีกลุ่มยอดฝีมือหลายสิบคนกำลังยืนปรึกษาหารือกันอยู่ว่าจะข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่สายนี้ไปได้อย่างไรกัน

แน่นอนว่าความกว้างเช่นนี้ย่อมไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศข้ามไปได้แน่ และตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีสัตว์มายาให้ใช้อีก มีเพียงทางเดียวนั่นก็คือเสาะหาวิธีที่จะข้ามไปให้จงได้

และที่สำคัญภายในแผ่นที่แห่งนี้มีสัตว์มายาอาศัยอยู่นับไม่ถ้วน การทดสอบที่ผ่านมาจึงมีผู้มารายงานตัวตายตกไปเป็นอาหารอันโอชะของสัตว์มายาแล้วไม่น้อย และภายใต้ท้องน้ำเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าจะมีตัวอะไรอยู่บ้าง ฉะนั้นจึงไม่มีใครโง่เขลาพอที่จะว่ายน้ำข้ามฝั่งอย่างแน่นอน

หลงเฉินหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับเหม่อมองไปยังน้ำในแม่น้ำ พลันก็ขมวดคิ้วขึ้นมาจนแน่น แม่น้ำสายนี้ขุ่นจนไม่เห็นสิ่งใดใต้น้ำเลยแม่แต่น้อย

หลังจากครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ได้ล้วงเอาน่องวัวย่างที่อยู่ในแหวนมิติออกมาชิ้นหนึ่ง ของสิ่งนี้เป็นเสบียงที่หลงเฉินมักจะพกติดตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลา

“ตูม”

หลงเฉินโยนน่องวัวย่างลงไปยังใจกลางของแม่น้ำสายนั้นในทันที เสียงการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงดังขึ้นมาเป็นสาย ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบเอาไว้ได้ทั้งหมด

“อะไรกัน”

ผิวน้ำเกิดเป็นวงน้ำขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วน่องวัวย่างชิ้นนั้นก็ได้หายไปในพริบตา

“อะไรกัน?”

ผู้คนที่ยืนมองอยู่ต่างก็ส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ พวกเขาแทบจะไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จู่จู่น่องวัวย่างชิ้นนั้นก็หายไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ทำให้พวกเขาแตกตื่นกันไปจนหมด

“ศิษย์พี่หลงเฉิน นั่นคืออะไรหรือ?” คนผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าเดินเข้ามาหาหลงเฉินแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

“ปลาปากเสือ มีเรื่องให้สนุกอีกแล้วสินะ” หลงเฉินตอบกลับไปอย่างเย็นชา

“บ้าไปแล้ว ในสถานที่แห่งนี้มีสัตว์ดุร้ายเช่นนี้อยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ” คนผู้หนึ่งคร่ำครวญขึ้นมาในทันที

ปลาปากเสือเป็นปลาที่ดุร้ายที่สุด แม้จะไม่ใช่สัตว์มายา ทว่าหัวของมันกลับมีขนาดเป็นสองในสามส่วนของร่างกายทั้งหมด ปากขนาดใหญ่และฟันอันแหลมคมของมันสามารถทำลายได้แม้แต่ก้อนศิลาขนาดใหญ่

โดยมากแล้วพวกมันจะมีขนาดเพียงหนึ่งศอก อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ หากมีสัตว์มายาหลงเข้ามากินน้ำ แน่นอนว่าจะต้องถูกเขมือบจนไม่หลงเหลือแม้แต่ซากศพ

“จบสิ้นแล้ว พวกเราไม่สามารถข้ามแม่น้ำสายนี้ไปได้แล้ว” ผู้คนแทบจะทั้งหมดตัดพ้อขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง

ในขณะที่ริมแม่น้ำได้มียอดฝีมือมารวมตัวกันมาขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองกลิ่นหอมหนึ่งก็ได้โชยพัดมาตามสายลมพร้อมทั้งเงาร่างที่คุ้นตาเยื้องย่างเข้ามาอย่างช้าๆ  …

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset