เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 158 พลังอักขระ

“หือ? เจ้าบอกให้ใช้ก็ต้องใช้ออกมาหรือไร คิดจะทำอะไรกันแน่?” ถังหว่านเอ๋อกรอกตาขาวแล้วจ้องเขม็งไปที่หลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

“ที่เจ้ากินไปก็เป็นปลาของข้า ที่เจ้าดื่มไปก็เป็นน้ำผึ้งของข้า แค่ขอให้เจ้าผายมือเล็กน้อยกลับไม่ยินยอม แล้วเจ้าจะมากรอกตาใส่ข้าทำไม” หลงเฉินจ้องมองไปที่ดวงตาคู่งามแล้วกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

ในครั้งนี้หลงเฉินถือว่าเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลกว่า ฉะนั้นถังหว่านเอ๋อจึงรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง “จงบอกความจริงมาว่าเจ้าต้องการจะดูอะไร?”

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตอบกลับไปด้วยความจริงจังว่า “ก็แค่ชักนำคมวายุออกมาก็พอแล้ว ข้าอยากจะดู”

 

 

 

 

 

 

 

เพราะหลงเฉินรู้สึกแปลกใจอยู่ส่วนหนึ่งว่าคมวายุของถังหว่านเอ๋อกับเสี่ยวเสว่ยนั้นมีบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้จู่โจมและป้องกันได้เหมือนกัน ทว่าของถังหว่านเอ่อกลับมีความลี้ลับอย่างไร้ที่เปรียบ

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อยื่นมืออันขาวผ่องขึ้นมาแล้วทำการชักนำคมวายุขึ้นมาสายหนึ่งอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

“หว่านเอ๋อไม่เพียงแต่มีกายาปราณวายุเท่านั้น ทว่ากลับสามารถชักนำคมวายุออกมาใช้ได้ตามที่ใจนึกคิดอีก” เยี่ยจื่อชิวกล่าวชมเชยขึ้นมาจากใจจริง

 

 

 

 

 

 

 

เพราะหากเยี่ยจื่อชิวจะทำการชักนำอาวุธน้ำแข็งออกมานั้นจำเป็นจะต้องผนึกลมปราณขึ้นมาก่อน เช่นนั้นจึงไม่อาจใช้ออกมาได้ตามใจนึกอย่างถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสำรวจคมวายุอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองเขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าที่ใจกลางของคมวายุสายนั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่ขุมหนึ่ง ขอเพียงกระตุ้นขึ้นมาก็จะสามารถทะยานออกไปหาผู้คนได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าคงจะไม่ได้คิดที่จะแอบเลียนแบบคมวายุของข้าอยู่หรอกนะ?” เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงของหลงเฉินแล้ว ถังหว่านเอ๋อจึงถามหยั่งเชิงขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

“ล้อเล่นเกินไปแล้ว” เยี่ยจื่อชิวทอสีหน้าประหลาดใจไปที่หลงเฉิน แล้วหันกลับมามองถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

“เด็กน้อยผู้นี้ชั่วร้ายกว่าที่เจี่ยเจี่ยคิดนัก แม้แต่พลังแห่งอัสนีบาตของเหร่ยเชียนซังก็ยังสามารถขโมยไปใช้ได้ เช่นนั้นไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้” ถังหว่านเอ๋อแสยะยิ้มแล้วกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกรอกตาขาวไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าจะคิดว่านั่นเป็นคำชมเชยขากเจ้าก็แล้วกัน”

 

 

 

 

 

 

 

“หึหึ” ถังหว่านเอ๋อรู้สึกเอือมระอากับชายหนุ่มผู้นี้อย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวเกิดอาการตกใจขึ้นมา ฟังจากบทสนทนาแล้วถังหว่านเอ๋อคงจะกล่าวเรื่องจริงอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

“ทำให้เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้หรือไม่?” หลงเฉินถามขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อพยักหน้าไปมา แล้วคมวายุในมือก็ได้เปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็ว คล้ายกับมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่ฝ่ามือ

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าภายนอกจะเป็นภาวะที่สงบนิ่ง ทว่าภายในกระบี่เล่มนั้นกลับมีการเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล เรียกได้ว่ารวดเร็วเสียยิ่งกว่ารูปร่างเมื่อครู่นี้เสียอีก

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้าไปมา นี่คงจะเป็นการไหลเวียนพลังของวิชาแขนงหนึ่ง หากเขาสามารถหยิบยืมวิธีการเช่นนี้มากับเพลิงกาฬของเขาได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะมีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถอยู่ ทว่ากลับเป็นความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ นอกจากวิชาหลอมโอสถกับการจำแนกสมุนไพรแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากนั้นต่างเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องค้นหาวิธีในการควบคุมพลังเพลิงกาฬด้วยตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

“เมื่อครู่นี้ข้าเห็นว่าที่ใจกลางของคมวายุของเจ้าคล้ายกับมีร่องรอยบางอย่างปรากฏขึ้นมาใช่หรือไม่” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

“นั่นเป็นอักขระของบรรพบุรุษตระกูลของข้า มีเพียงศิษย์จากในตระกูลเท่านั้นที่จะใช้ความสามารถเช่นนี้ได้”

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่กล่าวจบ คมวายุที่อยู่บนฝ่ามือของถังหว่านเอ๋อก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพียงครู่เดียวก็มีขนาดเพิ่มสูงขึ้นไปจากเดิมหลายเซียะ บรรยากาศอันน่าหวาดกลัวปกคลุมอยู่โดยรอบจนอากาศเกิดการบิดเบี้ยวไปมาไม่หยุด สายลมที่โชยพัดมากลับกลายเป็นวังวนอันลึกลับ

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

แล้วคมวายุสายนั้นก็ได้เลือนหายไปในพริบตา บรรยากาศทั้งหมดกลับคืนสู่ภาวะปกติ แล้วถังหว่านเอ๋อก็ได้กล่าวเสริมขึ้นมาว่า “การใช้คมวายุจะทำให้ข้าสูญเสียพลังดั่งเดิมไปอยู่ไม่น้อย ข้าไม่อาจใช้ติดต่อกันได้เป็นเวลานาน ไม่เช่นนั้นหากถึงวันสุดท้ายของการทดสอบ คงจะเป็นผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของข้าแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

แม้คมวายุจะเป็นพลังที่แข็งแกร่ง ทว่าการฟื้นตัวของมันกลับเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ฉะนั้นถังหว่านเอ๋อจึงสามารถแสดงให้หลงเฉินดูได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินมองเห็นพลังอันลี้ลับของคมวายุจนกระจ่างแจ้งแล้ว มีเพียงกระบวนท่าท้ายสุดเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมา การปรากฏของอักขระทำให้พลังของคมวายุเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่าภายในชั่วครู่เดียว

 

 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้ชีซิ่งเองก็ได้ใช้กระบวนท่าที่มีอักขระเช่นนี้ออกมา ขุมพลังอันมหาศาลนั้นซัดหลงเฉินจนลอยกระเด็นออกไปไกล เรียกได้ว่ายากที่จะต้านทานพลังอันแข็งแกร่งเช่นนั้นเอาไว้ได้

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเบิกเพลิงกาฬขึ้นมาสายหนึ่งทำให้ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวตกใจขึ้นมาไม่น้อย จากนั้นโฉมงามทั้งสองก็ได้กวาดดวงตาคู่งามไปที่หลงเฉิน คล้ายกับอยากจะรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เพลิงกาฬปรากฏขึ้นมา หลงเฉินก็ได้พยายามผนึกจนกลายเป็นจันทราครึ่งเสี้ยวที่ไม่ได้แตกต่างไปจากคมวายุของถังหว่านเอ๋อเลยแม้แต่น้อย ทว่าเพลิงกาฬสายนั้นกลับอยู่แน่นิ่งบนฝ่ามือของหลงเฉิน ไม่สามารถหมุนควงไปทิศทางใดได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่ายหน้าไปมา แล้วเปลี่ยนคมวายุสายนั้นให้เป็นลูกเพลิงขนาดใหญ่เท่าหนึ่งกำปั้น จากนั้นก็ได้เสริมพลังให้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสามเซียะอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

ลูกเพลิงขนาดยักษ์ถูกหมุนควงไปมาอยู่ที่ใจกลางฝ่ามือของหลงเฉินจนบรรยากาศรอบข้างบิดเบือนไปมาอย่างรุนแรง

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก”

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ นางไม่เคยทราบเลยว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินจะมากมายประดุจท้องมหาสมุทรเลยก็ว่าได้ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่สามารถสร้างลูกเพลิงที่มีแรงกดดันมหาศาลขึ้นมาได้

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม” ลูกเพลิงขนาดยักษ์สลายหายไปกลางอากาศ

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่ายหน้าไปมาด้วยความกังวลใจ เขาอยากจะทราบว่าตัวเองจะสามารถผนึกพลังจนสร้างอักขระเช่นเดียวกับของถังหว่านเอ๋อขึ้นมาได้หรือไม่ และผลลัพธ์ก็คือล้มเหลว ถึงแม้ว่าเขาจะมองวิธีในการควบคุมคมวายุของถังหว่านเอ๋อออก ทว่ากลับไม่อาจที่จะผนึกพลังอักขระขึ้นมาได้

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ระดับเพลิงกาฬของเจ้านั้นยังไม่เพียงพอ อีกทั้งยังไม่ใช่พลังเพลิงอันเป็ยพลังดั่งเดิมของเจ้า แน่นอนว่าย่อมไม่อาจใส่ผนึกของพลังอักขระเข้าไปได้

 

 

 

 

 

 

 

ความล้ำลึกของพลังอักขระนั้นถูกสืบทอดมาจากสายโลหิต แม้คนนอกจะทราบวิธีการไหลเวียนพลังทว่าก็ไม่มีประโยชน์อันใด” ถังหว่านเอ๋อกล่าว นางมองออกว่าหลงเฉินคิดจะหยิบยืมการควบคุมพลังไปเพื่อใช้กับพลังเพลิงกาฬของตัวเขาเอง

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อใช้สายตาอันแหลมคมเพียงครั้งเดียวก็มองออกแล้วว่าหลงเฉินใช้พลังจากสัตว์เพลิง ซึ่งนั่นไม่ใช้พลังเพลิงกาฬภายในร่างกาย ฉะนั้นการคิดจะชักนำพลังอักขระขึ้นมาย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

“ถึงแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับเอาไว้ทั้งหมด ทว่าที่เจ้ากล่าวมาก็เป็นเรื่องจริง นี่คงจะเป็นชะตาชีวิตอันเลวร้ายของข้าเอง” หลงเฉินยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกไป

 

 

 

 

 

 

 

“อย่าได้ท้อแท้ไป ภายในหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ยังมีเคล็ดวิชาอีกมากมายที่เจ้าสามารถเรียนรู้และใช้ได้ ขอเพียงเจ้ามีความมานะที่มากพอ แน่นอนว่าย่อมต้องค้นพบเส้นทางแห่งเพลิงกาฬของตัวเองได้” ถังหว่านเอ๋อกล่าวปลอบใจ

 

 

“ขอบคุณคุณหนูหว่านเอ๋อที่ปลอบประโลมจิตใจของข้า ทว่าหากเจ้าโอบกอดข้าไว้สักเล็กน้อย ข้าเชื่อว่าคงจะสามารถรักษาบาดแผลที่อยู่ภายในจิตใจของข้าได้อย่างดีเลยทีเดียว” หลงเฉินทอสีหน้าเว้าวอนไปที่ถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

“ไสหัวไป!” ถังหว่านเอ๋อแยกเคี้ยวยิงฟันไปทางหลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

เหตุใดนางถึงมักจะตกหลุมพรางจากเด็กน้อยผู้ที่มีหน้าหนาอย่างหลงเฉินได้นะ มีหรือที่คนผู้นี้จะท้อแท้อับสิ่งเหล่านี้ไปอย่างง่ายดาย นี่นางต้องมาทำให้ตัวเองกลุ้มใจโดยเปล่าประโยชน์มากถึงเพียงนี้ไปเพื่อสิ่งใดกัน

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหัวเราะฮาฮาอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่ได้หยอกเย้าสาวงามจนสำเร็จ รู้สึกได้ว่าภายในจิตใจของตัวเองเกิดความเบิกบานขึ้นมาไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่าจะไม่อาจผนึกพลังอักขระขึ้นมาได้ ทว่าหากใช้วิธีการเดียวกับถังหว่านเอ๋อ เขาย่อมทำให้พลังเพลิงกาฬเพิ่มพูนขึ้นมาได้อีกมาแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

และเขาก็ไม่ได้รู้สึกหดหู่เช่นนั้นจริงๆ สัตว์เพลิงที่เขาหลอมรวมไปนั้นเป็นเพียงสัตว์มายาระดับสอง ฉะนั้นพลังเพลิงของมันจึงไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก หากเมื่อใดที่หล่อหลอมกิ้งก่าเพลิงขึ้นมาได้ล่ะก็ย่อมสามารถช่วงชิงความได้เปรียบเป็นอย่างมาก

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่จัดการกับความคิดอันว้าวุ่นของตัวเองได้แล้ว หลงเฉินเองก็ได้ถามสาวงามทั้งสองว่ามาร่วมมือกันอย่างกะทันหันได้อย่างไรกัน

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อจึงบอกต่อหลงเฉินว่าหลังจากที่เข้ามาถึงหมู่ตึกแล้ว ข้อมูลต่างๆ ของทางหมู่ตึกก็ได้แพร่กระจายออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้นหากอยากได้ข้อมูลเพิ่มก็มีแต่ต้องช่วงชิงมาด้วยตัวเอง

 

 

และการแย่งชิงข้อมูลนั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีพลังฝีมืออันแข็งแกร่ง ขอเพียงไม่ได้ฝ่าฝืนกฎ ทางหมู่ตึกก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะแย่งชิงสิ่งใดและด้วยวิธีการเช่นไรอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าเมื่อได้เข้ามาแล้วกลับสัมผัสได้ว่าการแย่งชิงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเส้นทางการฝึกฝนที่โหดร้ายเช่นนี้ หากไม่อยากถูกผู้ใดเหยียบย้ำก็ต้องเหยียบย้ำผู้อื่นแทน เรื่องเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ที่ช่วยไม่ได้เลยสักนิด

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อเป็นคนแรกที่มาถึงบริเวณที่มีผลปราณลี้ลับปรากฏอยู่ ทว่าในช่วงเวลาที่เพิ่งจะมาเยือนนั้นผลไม้ยังไม่สุกงอม นางจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยอยู่ละแวกนั้น ส่วนผู้ที่ตามมาคนที่สองก็คือเหร่ยเชียนซัง

 

 

 

 

 

 

 

และด้วยนิสัยที่ไม่ชอบความพ่ายแพ้ของเหร่ยเชียนซังจึงได้หาโอกาสในการเอาคืน เขาเลยส่งคำท้าขึ้นมาว่าอยากจะให้แน่ใจกันไปเลยว่าระหว่างถังหว่านเอ๋อกับเขานั้นผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงได้เปิดศึกต่อสู้ขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

ในระหว่างที่กำลังต่อสู้อยู่นั้น เหล่าสัตว์ประหลาดคนอื่นก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาทีละคน ถังหว่านเอ๋อจึงได้ชักนำเยี่ยจื่อชิวให้ออกห่างจากถ้ำเพื่อหลีกเลี่ยงจากความเสียหาย และเยี่ยจื่อชิวเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะแน่นอนว่าศึกการแย่งชิงหลังจากนี้คงจะทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับผู้ใด และเป็นคนเย็นชาจนยากที่ผู้ใดจะเข้าถึง ทว่าด้วยความเป็นมิตรและจริงใจของถังหว่านเอ๋อจึงไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอได้ ฉะนั้นสถานการณ์จึงกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างสองต่อสามขึ้นมาในที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

ยวี่จื่อเฟิงมาถึงยังบริเวณนั้นเป็นคนสุดท้าย และในช่วงเวลานั้นเหร่ยเชียนซังกับชีซิ่งก็เริ่มปะทุพลังอันร้ายกาจขึ้นมาไม่หยุด ส่วนถังหว่านเอ๋อกับเยี่ยจื่อชิวก็ไม่คิดที่จะผูกมิตรกับยวี่จื่อเฟิงอยู่แล้ว ฉะนั้นเขาจึงถูกเหร่ยเชียนซังชักชวนเข้าไปเป็นพันธมิตร

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าถังหว่านเอ๋อกล่าวว่ายวี่จื่อเฟิงผู้นั้นเป็นคนที่ประหลาดอยู่ไม่น้อย แม้เขาจะไปร่วมมือกับเหร่ยเชียนซังชั่วคราว ทว่ากลับต่อสู้โดยไม่ใช้พลังทั้งหมดออกมาเสียด้วยซ้ำไป หากเขาใช้พลังที่แท้จริงออกมาย่อมทำให้พวกนางตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงนึกถึงช่วงเวลาที่ยวี่จื่อเฟิงจากไป ชายหนุ่มผู้นั้นทั้งสงบและเรียบง่าย ทว่าเขากลับสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นสุดยอดฝีมือผู้หนึ่ง ซึ่งมีความแตกต่างจากเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งเป็นอย่างมาก

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ที่มีความใจกว้างและยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้วปล่อยวางลงไปได้ บุคคลเช่นนี้ย่อมสามารถเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกยุทธ์ได้อีกไกลอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

และถังหว่านเอ๋อกับเยี่ยจื่อชิวก็ได้กำชับย้ำเตือนหลงเฉินว่าให้ระวังตัวเองจากเหร่ยเชียนซังกับชีซิ่งเอาไว้ให้ดี เพราะพวกเขาทั้งสองคนเรียกได้ว่าชิงชังหลงเฉินจนเข้ากระดูกดำไปแล้วก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

เพราะไม่อาจสังหารหลงเฉินในสถานที่แห่งนี้ได้ ทว่าหากสบโอกาสอันดีแล้วพวกเขาย่อมต้องลงมือจนหลงเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือพิกลพิการลงไปอย่างแน่นอน กฎของหมู่ตึกนั้นมีช่องโหว่สำหรับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่มากมายหลายประการเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

ไม่เช่นนั้นในครั้งที่หลงเฉินสังหารจ้าวหวู่จนตายไปก็คงจะไม่ทำเสมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นนั้นหรอก อีกทั้งยังให้เข้ารับการทดสอบต่อไปอีก

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากสนทนากันมาครู่หนึ่งและพบว่าทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ถังหว่านเอ๋อก็กล่าวตัดบทขึ้นมาว่า “ไปกันเถิด ข้าลองคำนวณวันเวลาดูแล้ว หลังจากนี้ไม่จำเป็นที่พวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปอีก เช่นนั้นรีบไปยังจุดสุดท้ายในการทดสอบด้วยกันเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินไม่อาจปฏิเสธข้อเสนออันยอดเยี่ยวเช่นนี้ได้ลงคออย่างแน่นอน ในเมื่อมีสาวงามถึงสองนางเดินทางไปเป็นเพื่อน การเดินทางหลังจากนี้คงจะเป็นที่จับตามองของผู้คนมากมายที่อิจฉาริษยาจนแทบจะคลั่งตายอย่างไม่ต้องสงสัย …

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset