ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง แววตาคู่งามทั้งสองสายจดจ้องมาที่หลงเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา ทว่าหลังจากตกตะลึงไปได้ไม่นานบนใบหน้าของถังหว่านเอ๋อกลับสลายอาการตกใจไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าอวดอ้าง”
“เจ้าทราบหรือ?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ครืน”
เมื่อเห็นสีหน้าแตกตื่นของหลงเฉินแล้ว ถังหว่านเอ๋อก็พรวดเสียงหัวเราะออกมาประดุจดอกไม้แรกแย้ม ก่อนจะสำรวจหลงเฉินอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าตัวบัดซบ อย่าหยอกล้อให้ข้าต้องหัวเราะมากไปกว่านี้เลย ไม่อย่างนั้นริ้วรอยตีนกาจะขึ้นเต็มใบหน้าของข้าได้”
หลงเฉินมองไปที่ถังหว่านเอ๋อแล้วหันไปมองเยี่ยจื่อชิวครู่หนึ่ง “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดใบหน้าของคุณหนูชิวจึงได้เต่งตึงเช่นนั้น”
เยี่ยจื่อชิวมองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าช่างน่าเบื่อยิ่งนัก”
หลงเฉินฉีกยิ้มขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน “เหอะเหอะ ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น อย่าได้จริงจังถึงเพียงนั้นเลย”
ส่วนถังหว่านเอ๋อก็ยังกุมท้องพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะดังขึ้นมาไม่หยุด หลงเฉินได้แต่ยักไหล่ทำทีว่าช่วยไม่ได้ออกมา: นางหัวเราะเยาะเจ้าเองนะ ไม่เกี่ยวกับข้าเลย
หลังจากหัวเราะจนเริ่มจะหมดเรี่ยวแรงแล้ว ถังหว่านเอ๋อก็ได้ใช้มืออันขาวผ่องแตะไปที่แก้มสีแดงเบาๆ แล้วหันไปยิ้มกับหลงเฉิน “นึกไม่ถึงเลยว่าคนไม่เอาอ่าวอย่างเจ้าจะใช้ไม้นี้ออกมาได้”
“เหอะเหอะ กลยุทธ์ของข้ายังมีอยู่อีกมากนัก เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง? หวั่นไหวขึ้นมาบ้างหรือไม่? ข้าเชื่อว่าต้องมีสักวันที่เจ้าจะต้องหวั่นไหวต่อข้า ฉะนั้นข้าแนะนำว่าลงมือให้เร็วเสียหน่อยน่าจะดีนะ
ยุคนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการช่วงชิง การลงมือก่อนย่อมเป็นนิสัยของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า การลงมือล่าช้ามีแต่จะรั้งท้ายเอา ฉะนั้นวัยเยาว์อย่างเราต้องมีเลือดร้อนกันบ้าง
หากสบโอกาสอันดีก็ควรจะรีบไขว่คว้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นจะหลุดลอยจนเสียใจในภายหลังได้” หลงเฉินทอสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวขึ้นมาประดุจผู้อาวุโสที่ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนมากมายผู้หนึ่ง
เยี่ยจื่อชิวทอสีหน้าประหลาดไปที่หลงเฉิน คล้ายกับว่าหลงเฉินมีความคิดที่คล้ายกับนางอยู่ส่วนหนึ่ง
“นี่ จะเอามือสกปรกของเจ้าออกไปได้หรือยัง?” ถังหว่านเอ๋อจ้องเขม็งไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ออ ข้าคงจะหยอกล้อมากเกิดไปแล้ว แค่กแค่ก ต้องขออภัยด้วย ข้าน้อยขอประทานอภัยจากแม่หญิงด้วย” หลงเฉินยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมาแล้วชักมือที่โอบอยู่บนไหล่ของถังหว่านเอ๋อกลับมาในทันที
“เอาเถิด หลงเฉิน พวกเรามาแบ่งผลปราณลี้ลับกันเถิด ไม่ว่าอย่างไรผลไม้ผลนี้ก็มีความสำคัญต่อพวกเราเป็นอย่างยิ่ง” เยี่ยจื่อชิวกล่าว
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะปฏิเสธกลับไป ทว่าความรู้สึกที่แท้จริงนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา ส่วนเยี่ยจื่อชิวเองก็ไม่ใช่ว่ามองไม่ออก ผลปราณลี้ลับผลนี้มีค่ามากเกินไปจนนางไม่อาจกินทั้งหมดเพียงคนเดียว
“หลงเฉิน เจ้าก็แบ่งกับจื่อชิวเจี่ยเจี่ยเถิด ข้าทราบดีอยู่แล้วว่าผลปราณลี้ลับไม่ได้มีประโยชน์ต่อข้ามากมายนัก
ทว่าที่ข้าเปิดซึกแย่งชิงนั้นก็เพื่อจัดการกับเจ้าตัวบัดซบเหร่ยเชียนซังผู้นั้น ข้ากับจื่อชิวเจี่ยเจี่ยต่างก็เป็นพันธมิตรกันอยู่แล้ว ตามความสัตย์จริงก็คือข้าออกแรงไปทั้งหมดก็เพื่อเจ้า”
เมื่อเห็นหลงเฉินทอสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมา ถังหว่านเอ๋อจึงรีบกล่าวอย่างร้อนรนว่า “นี่ เจ้าอย่าได้คิดเกินเลยไปเชียวนะ ข้าแค่มองการณ์ไกลก็เท่านั้น อย่างน้อยหากได้ลูกมือที่แข็งแกร่งพอก็อาจช่วยผ่อนแรงได้บ้าง”
“หว่านเอ๋อ เจ้าช่างดีต่อข้ายิ่งนัก! ข้าจะตอบแทนอย่างไรดี ข้านั้นไม่มีเงินทอง สิ่งที่มีค่าที่สุดก็เห็นจะเป็นร่างกายอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของข้า แต่ช่างมันเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องตกเป็นของเจ้าอยู่แล้ว” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีเคอะเขิน
“เจ้าตัวบัดซบ หาที่ตายหรือ?” ถังหว่านเอ๋อกระทืบเท้าไปมาอย่างเหลือออด แล้วใช้มือหยิกไปที่สีข้างของหลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย
“หยิกได้เลยข้ายอม ไม่ว่าอย่างไรร่างกายของข้าก็เป็นของเจ้าอยู่ดี เกิดมาเพื่อเป็นคนของคุณหนูหว่านเอ๋อ ตายไปก็เป็นผีเฝ้าคุณหนูหว่านเอ๋อ……” ร่างกายของหลงเฉินนั้นกำยำอย่างถึงที่สุด แม้ถังหว่านเอ๋อจะเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง ทว่ามีหรือที่เรี่ยวแรของหญิงสาวจะทำให้เขาเจ็บได้?
“ครืน”
หลงเฉินและถังหว่านเอ๋อหยุดลงมือต่อกัน เสียงเมื่อครู่นี้ไม่ได้ดังออกมาจากฝีปากพวกเขาแน่นอน พลันก็ได้หันหน้าตกตะลึงไปที่ต้นเสียงก็พบว่าเยี่ยจื่อชิวกำลังใช้มือป้องไปที่ใบหน้าแล้วหันหลังให้พวกเขา เยี่ยจื่อชิวหัวเราะอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้นเยี่ยจื่อชิวก็ได้ปั้นสีหน้าอันขาวผ่องให้กลายเป็นความเยือกเย็นประดุจภูเขาน้ำแข็งอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าไปมา “พวกเจ้าทั้งสองคนช่างน่าเบื่อเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะแบ่งผลปราณลี้ลับแล้วนะ”
เยี่ยจื่อชิวเปิด**บหยกแล้วล้วงเอากริชเล่มหนึ่งออกมา หมายมั่นที่จะตัดแบ่งผลปราณลี้ลับให้กับตัวเองและหลงเฉิน
“อย่าได้ทำเช่นนั้นเชียวนะ”
หลงเฉินยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับที่ข้อมือของเยี่ยจื่อชิวแล้วตะโกนท้วงขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ผลปราณลี้ลับเป็นผลไม้ประหลาด หากเจ้าใช้มีดเฉือนลงไปจะทำให้ประสิทธิภาพของมันสูญหายไปกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว” หลงเฉินกล่าว
สาวงามทั้งสองมองไปที่หลงเฉินด้วยอาการตกใจเสียยกใหญ่ แน่นอนว่าตระกูลของพวกนางนั้นยิ่งใหญ่อยู่ไม่น้อยจึงล่วงรู้อยู่แล้วว่าในการทดสอบจะได้พบกับต้นผลปราณลี้ลับที่อยู่ในช่วงเวลากำลังจะสุกงอม
ฉะนั้นแหล่ายอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดจึงต้องรีบมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อมาช่วงชิงผลปราณลี้ลับไปให้จงได้
พวกนางทราบเพียงแต่ว่าผลไม้ผลนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทะลวงขอบเขตขึ้นไป ยิ่งถ้าเป็นยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตแล้วย่อมสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้อย่างหมดจด
ทว่าในส่วนของสิ่งที่พึงระวังกับผลลัพธ์นั้นแทบจะไม่ทราบรายละเอียดเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นเยี่ยจื่อชิวที่เป็นผู้ลงมือนั้นจึงรู้สึกผิดอย่างมหันต์ขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นต้องทำอย่างไรเล่า?” เยี่ยจื่อชิวเอ่ยถามออกไป
หลงเฉินกล่าว “นี่ข้าพูดความจริงนะ ร่างกายของข้ามีลักษณะพิเศษบางอย่างอยู่ ฉะนั้นข้าจึงไม่ต้องการผลปราณลี้ลับ ต่อให้กินเข้าไปก็เสียเปล่าอยู่ดี เชิญคุณหนูชิวเก็บไว้เองเถิด”
เมื่อเห็นว่าในครั้งนี้หลงเฉินได้กล่าววาจาจริงจังขึ้นมา เยี่ยจื่อชิวกับถังหว่านเอ๋อจึงสบสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง ถังหว่านเอ๋อยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “วาจาของเจ้าตัวเลวร้ายผู้นี้พอจะมีส่วนที่เชื่อได้บ้างในบางครั้ง ฉะนั้นจื่อชิวเจี่ยเจี่ยก็รับผลไม้ผลนี้เอาไว้เถิด”
เยี่ยจื่อชิวพยักหน้าแล้วเก็บผลปราณลี้ลับลงแหวนมิติไป ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความตื้นตันว่า “ขอขอบคุณพวกเจ้าทั้งสอง บุญคุณและน้ำใจในครั้งนี้ข้าจะขอจดจำเอาไว้จนขึ้นใจ”
“เอาเถิด ในเมื่อจบเรื่องวุ่นวายแล้วก็ไปเสาะหาสถานที่สำหรับย่างปลากันเถิด” ถังหว่านเอ๋อกล่าวพร้อมกับฉุดลากเยี่ยจื่อชิวไปตามเส้นทาง
ทว่าหลงเฉินกลับส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “พวกเจ้าไปกันเถิด ข้าไม่ไป”
“ถ้าเจ้าไม่ไปแล้วพวกเราจะเอาปลาจากไหนมาย่างกินกันเล่า?” ถังหว่านเอ๋อกล่าวออกมาอย่างแง่งอน
“ข้าว่าเจ้ากำลังเข้าใจผิดไป คนที่คิดจะเลี้ยงอาหารมื้อนี้เป็นเจ้า แล้วเหตุใดถึงเป็นปลาของข้ากันเล่า?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป
“เจ้าเป็นลูกน้องของข้า ฉะนั้นสิ่งของของเจ้าก็คือของข้า เจ้าคิดจะปฏิเสธคำสัตย์เช่นนี้หรือ?” ถังหว่านเอ๋อหยิกเข้าไปที่สีข้างของหลงเฉินอีกครั้ง
หลงเฉิน “……”
หลังจากที่เดินทางมาได้หนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ได้มาหยุดลงตรงบริเวณด้านบนของหุบเขา สายธารที่มีน้ำกระจ่างใสไหลรินไปตามเส้นทาง ศิลาขนาดใหญ่ที่ดูสะอาดสะอ้านก้อนหนึ่งกำลังมีกลิ่นหอมของปลาย่างโชยพัดออกมา
“หลงเฉินช่างมีความสามารถมากมายเสียจริง สามารถจับปลาฉีหลิงและนำน้ำผึ้งของผึ้งหยกมาได้ด้วย” เยี่ยจื่อชิวเอ่ยปากชมขึ้นมาอย่างจริงใจในขณะที่กลืนปลาย่างลงคอไป
ทว่าที่หลงเฉินนำออกมานั้นเป็นเพียงน้ำผึ้งธรรมดาที่ผสมกับน้ำผึ้งของราชินีผึ้งหยกเล็กน้อย เพื่อให้เกิดกลิ่นที่หอมหวานยิ่งขึ้น
หลงเฉินยกหัวแม่โป้งไปทางเยี่ยจื่อชิว แล้วเอ่ยกลับไปว่า “คุณหนูจื่อชิว ช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามยิ่งนัก ต่างกับใครบางคนอย่างสิ้นเชิง กินของคนอื่น ดื่มของคนอื่น แล้วยังไม่ขอบคุณสักคำ”
สายตาของหลงเฉินปรายไปมองที่ถังหว่านเอ๋อผู้ก็กำลังง่วนอยู่กับการกินปลาย่างและดื่มน้ำผึ้งอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ ทว่าถังหว่านเอ๋อกลับไม่โต้ตอบกลับมาแต่อย่างใดคล้ายกับไม่ได้ยินคำพูดของหลงเฉินที่กล่าวออกมา นางทราบอยู่แก่ใจว่าหลงเฉินจงใจจะยั่วโมโห ฉะนั้นจึงข่มโทสะเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นไปตามแผนการของหลงเฉิน
“หลงเฉิน ที่เหร่ยเชียนซังเกลียดชังเจ้านั้นข้ายังพอจะเข้าใจได้ ทว่าในครั้งนี้เหตุใดชีซิ่งจึงคล้ายกับสุนัขบ้าที่พร้อมจะกัดเจ้าได้ทุกเมื่อกัน?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความคับข้องใจอย่างถึงที่สุด
“คำถามของเจ้าช่างอ่อนต่อโลกยิ่งนัก ถามออกมาได้อย่างไรกัน? แน่นอนว่าเขาคงจะอิจฉาในความหล่อเหลาของข้าเป็นแน่” หลงเฉินตอบแล้วกัดกินเปลาย่างไปหนึ่งคำเต็มๆ
“ข้าต้องการบทสนทนาที่จริงจัง!” ถังหว่านเอ๋อตะเบ็งเสียงดังขึ้นมา
“เจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะ โดยปกติแล้วข้าก็พูดจาปกติดีอยู่หรอก ทว่าหลังจากที่ได้พบกับเจ้าแล้ว ข้ากลับติดเชื้อบ่างอย่างขึ้นมา” หลงเฉินก็ได้ทอสีหน้าช่วยไม่ได้แล้วกล่าวออกมา
“บัดซบ เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าไม่ปกติอย่างนั้นหรือ” ถังหว่านเอ๋อโยนก้างปลาที่อยู่ในมือไปที่หลงเฉินอย่างรุนแรง
หลงเฉินเหวี่ยงตัวหลบในทันที แล้วก็จดจ้องไปที่ใบหน้าเหยเกของถังหว่านเอ๋อ เขาคงจะหยอกล้อนางมากจนเกินไปเสียแล้ว พลันก็รีบยื่นน้ำผึ้งชามหนึ่งให้ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิว
“น้ำผึ้งของราชินีผึ้งหยกที่ข้าส่งให้นี้เป็นสิ่งที่ชีซิ่งได้ช่วยเหลือจนได้มา” หลงเฉินเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นว่าเขาได้ ‘ร่วมมือ’ กับชีซิ่งเพื่อตีรังผึ้งหยก
หลังจากที่หลงเฉินเล่าจนจบ เยี่ยจื่อชิวก็ได้ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมา “ชีซิ่งผู้นั้นช่างโชคร้ายเสียจริง”
ถังหว่านเอ๋อเองพิงศีรษะไปที่ไหล่ของเยี่ยจื่อชิวพร้อมทั้งยิ้มระรื่นขึ้นมา “หลงเฉิน เจ้าร้ายกาจนัก……และก็เกินไปแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดและมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของนางมีสีแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายกับคนเมา ทว่าในสายตาผู้คนแล้วช่างเป็นใบหน้าที่งดงามยิ่งนัก
ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวจึงเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดเวลาที่ชีซิ่งพบหลงฉินถึงได้บ้าคลั่งราวกับเป็นหมาบ้า ถึงแม้ว่าจะแสร้งทำเป็นวางมาดอยู่บ้าง ทว่าแท้จริงแล้วเนื้อตัวของเขากำลังสั่นเทาอยู่ เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากหลงเฉินแล้ว แน่นอนว่าย่อมสมเหตุสมผล ไม่ว่าจะให้เปลี่ยนเป็นผู้ใดก็คงจะต้องโกรธจนแทบจะะคลั่งตายอย่างแน่นอน
หลงเฉินมองไปที่ใบหน้าของถังหว่านเอ๋อแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “คุณหนูหว่านเอ๋อ วาจาเช่นนั้นข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
“เจ้าคนเลวร้าย เจ้านี่พูดเรื่องจริงจังได้ไม่ถึงสามประโยคก็เปลี่ยนเป็นไร้สาระอีกแล้ว ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวแล้วเบือนหน้าหนีไปทันที
ทันใดนั้นเองเยี่ยจื่อชิวก็ได้นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หลงเฉิน ถึงแม้ว่าพลังการต่อสู้ของเจ้าจะแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัว ทว่าด้วยพลังการฝึกยุทธ์ของเจ้ายังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตตอนกลางเท่านั้น เช่นนั้นจงระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ดี
ถึงแม้ว่าในครั้งนี้จะทำให้เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งพลาดท่าเสียทีไปได้ ทว่าไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นอ่อนแอ เจ้าก็อย่าเพิ่งได้ใจมากจนเกินไปนัก”
ถึงแม้ว่าเยี่ยจื่อชิวจะเป็นคนเย็นชา ทว่าจิตใจของนางกลับอบอุ่นกับผู้อื่นมากกว่าถังหว่านเอ๋ออย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าหลงเฉินกำลังมีสีหน้าทะเล้นขึ้นมาจึงได้กล่าวเตือนสติออกไป
หลงเฉินตะลึงขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ายังไม่ได้ลงมือด้วยพลังทั้งหมดที่มีอย่างนั้นหรือ?”
“อือ ถึงแม้ว่าผลปราณลี้ลับจะสำคัญ ทว่าความมุ่งมั่นต่อการฝึกยุทธ์ก็สำคัญเช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ใดต้องการได้รับบาดเจ็บในเวลาเช่นนี้ เพราะในอีกสิบวันข้างหน้าก็จะถึงช่วงสุดท้ายของบททดสอบแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวด้วยเสียงขึงขัง
หลงเฉินพยักหน้าไปมา ไม่ผิดคาดเลย ยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ย่อมต้องไม่ได้มีพลังการต่อสู้อยู่เพียงแค่นี้อย่างแน่นอน ที่แท้เป้าหมายของพวกเขาต่างก็อยู่ที่การทดสอบในครั้งสุดท้ายนั่นเอง
จู่จู่หลงเฉินก็ทักท้วงขึ้นมาว่า “เจ้าใช้คมวายุของเจ้าออกมาให้ข้าดูอย่างละเอียดได้หรือไม่”..