เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 170 สามยอดฝีมือกับผีเฒ่า

“นอกจากนี้ภายใต้ค่ายกลพยัคฆ์กักนาคานี้ทำให้พลังการต่อสู้ของเขาถูกลดทอนลงไปกว่าห้าส่วน สิ่งนี้จึงถือเป็นการชดเชยจากทางหมู่ตึกที่กระทำสิ่งผิดพลาดขึ้นมา จะยินยอมหรือไม่นั้นคงต้องอยู่ที่เจ้าแล้ว” ถู่ฟางกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

คำพูดของถู่ฟางทำให้ผู้คนไม่น้อยแตกตื่นขึ้นมา สามารถเชื้อเชิญพวกพ้องให้เข้าร่วมการต่อสู้ได้อย่างนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่การชดเชยทว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด!

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยังคงสงบเงียบ ทว่าชีซิ่งกลับลุกยืนขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสถู่ฟาง ท่านกระทำเช่นนี้ไม่เสมอภาคเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านยังกล่าวอยู่เลยว่าโชคชะตาก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของยอดฝีมือ

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อหลงเฉินได้เข้าไปในถ้ำแห่งนั้นก็ย่อมเป็นโชคร้ายของเขาเอง ที่ท่านทำอยู่นี้ไม่ต่างไปจากการแหกกฎของหมู่ตึกอย่างร้ายแรง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่ชีซิ่งกำลังรักษาตัวอยู่นั้น เขาก็พยายามคัดค้านขึ้นมาเพราะแน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจทนดูหลงเฉินกอบโกยผลประโยชน์เช่นนี้ไปแน่ คำพูดของชีซิ่งทำให้ผู้คนทั้งลานกว้างหันไปมองที่ถู่ฟางเป็นสายตาเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางปรายสายตามองไปทางชีซิ่งแล้วตอบกลับไปอย่างเย็นชาว่า “ทางหมู่ตึกต้องการพัฒนาขุมกำลังขึ้นไปอีก เช่นนั้นจึงต้องให้สิทธิพิเศษแก่ยอดฝีมืออยู่บ้าง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าหากพวกเจ้าไม่พอใจ และคิดว่าไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะปล่อยมารร้ายตัวนี้กลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งสามารถยืนหยัดอยู่ได้ภายในหนึ่งก้านธูปไหม้ ข้าจะมอบแผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายตรงให้ทั้งหมดสามชิ้น”

 

 

 

 

 

 

 

 

คำพูดของถู่ฟางทำให้ผู้คนมากมายเกิดอาการลิงโลดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด แผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายตรงสามชิ้นอย่างนั้นหรือ? คงจะไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่?

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะ ทว่าข้าขอเตือนพวกเจ้าเอาไว้ก่อนว่าจิตวิญญาณของมาร้ายผู้นี้นั้นเป็นยอดฝีมือแห่งยุคเลยทีเดียว มีเพียงผู้ที่มีพลังอันยิ่งใหญ่อย่างท่านจ้าวสำนักเท่านั้นที่จะสามารถสยบเขาได้

 

 

 

 

 

 

 

 

และหลังจากถูกกักขังเอาไว้ภายในร่างศพของปีศาจร้ายมานับหนึ่งพันปี เขาก็ไม่เคยสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณมาก่อน เช่นนั้นระดับพลังการต่อสู้จึงแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

ต่อให้เป็นผู้อาวุโสที่มีพลังอยู่ในขอบเขตขั้นปรือกระดูกเฉกเช่นพวกข้าเข้าไปก็อาจจะถูกสังหารลงได้ง่ายดาย หากยังมีผู้ใดไม่ยอม ก็จงก้าวออกมาลองทดสอบดู” ถู่ฟางกวาดสายตาอันเย็นเยียบไปที่เหล่าผู้คนมากมายที่คัดค้านพร้อมกับกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

 

 

 

 

 

 

 

 

สามารถสังหารเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในขอบเขตปรือกระดูกได้อย่างนั้นหรือ? เมื่อได้ยินคำบอกเหล่าเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาในทันที สายตาทุกคู่หันไปจ้องมองที่หลงเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา หลงเฉินรอดชีวิตกลับมาได้อย่างไรกัน?

 

 

 

 

 

 

 

 

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ผู้อาวุโสถู่ฟางก็ยังประหลาดใจ ความสามารถในการต้านทานประกายลำแสงของแท่นศิลาเอาไว้ได้ อีกทั้งยังพุ่งตัวออกมาสู่ภายนอกได้อีก แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมต้องมีพลังฝีมือที่น่าหวาดกลัวจนไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาย่อมสามารถสังหารหลงเฉินลงไปได้ราวกับใช้มือขยี้มดแมลงตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ทว่าหลงเฉินกลับรอดชีวิตออกมาได้พร้อมทั้งอาภรณ์ที่อยู่ครบถ้วน แม้แต่เส้นผมสักเส้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ผีเฒ่าผู้นี้นั่งสนทนากับหลงเฉินอยู่ภายในอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีซิ่งทอสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พลันก็ได้หลับตาปิดปากลงไป เขานั้นไม่ใช่คนโง่งม และทราบอยู่แก่ใจว่าผู้อาวุโสถู่ฟางเริ่มไม่พอใจต่อเขาขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็อย่าคิดที่จะเป็นปรปักษ์ต่อเฒ่าชราผู้นี้ไปเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ทั่วทั้งลานกว้างเข้าสู่ความเงียบสงัดราวกับเป็นป่าช้าอีกครั้งหนึ่ง ผู้คนทั้งหมดต่างส่งสายตาที่ทอประกายเจิดจ้าไปที่หลงเฉินอย่างไม่วางตา พร้อมทั้งจดจ่อว่าหลงเฉินจะตอบกลับออกมาอย่างไร

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหันกลับมามองที่ผู้อาวุโสถู่ฟางแล้วกล่าวว่า “พลังการต่อสู้ของผีเฒ่าผู้นี้ถูกลดทอนลงไปไม่น้อยแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“เขาใช้หมอกควันสีดำปกคลุมร่างกายเอาไว้เพื่อควบคุมพลังแห่งจิตวิญญาณ อีกทั้งยังใช้ออกมาเพื่อตั้งรับค่ายกลพยัคฆ์กักนาคานี้ ถึงแม้พลังการต่อสู้จะลดลงไป ทว่าก็ยังแข็งแกร่งกว่ามารร้ายที่ต่อสู้กับถังหว่านเอ๋อกว่าสามเท่า” ถู่ฟางเหม่อมองไปที่ค่ายกลแล้วกล่าวขึ้นมา แม้แต่ค่ายกลชิ้นนี้ก็ยังไม่อาจควบคุมมารร้ายผู้นี้เอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินผ่อนลมหายใจออก แล้วหันไปถามถังหว่านเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างกายมาดายตลอดว่า “เด็กน้อยที่ต่อสู้กับเจ้านั้นแข็งแกร่งมากหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อรีบพยักหน้าไปมาแล้วตอบกลับมาว่า “แข็งแกร่งมาก ที่ข้าสามารถสังหารเขาลงไปได้นั้นเพราะเป็นโชคช่วยอยู่หลายส่วน หากให้ต่อสู้กันอีกครั้งไม่แน่ว่าข้าอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อนึกถึงการต่อสู้เมื่อครั้งก่อนหน้านี้ขึ้นมา ถังหว่านเอ๋อก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาจับใจ มาร้ายผู้นั้นแข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบตั้งแต่นางเคยต่อสู้มา ร่างศพของเขาแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้าจนคมวายุของนางยังไม่อาจทะลวงร่างกายนั้นเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน นี่เป็นโอกาสที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง หากมีข้ากับหว่านเอ๋อช่วยเจ้า แน่นอนว่าคงจะได้รับชัยชนะ” เยี่ยจื่อชิวเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างกายของหลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ทว่าเมื่อได้พักฟื้นไปชั่วครู่หนึ่ง อีกยังได้รับโอสถรักษาอาการบาดเจ็บอันสูงส่ง อย่างน้อยร่างกายก็สามารถฟื้นฟูพลังการต่อสู้ขึ้นมาได้กว่าแปดส่วนแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก หากเป็นไปตามคำบอกเล่าของถู่ฟางแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้ก็ยังถือว่าอันตรายและคุกคามต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี

 

 

 

 

 

 

 

 

“และข้าขอเตือนอีกว่าโอกาสที่เข้ามาย่อมมีวิกฤตอยู่เสมอ ไม่มีโอกาสที่ได้มาอย่างง่ายดายในโลกหล้าแห่งนี้ หากว่าสำเร็จ หลงเฉินก็จะได้รับแผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายตรง และได้รับการดูแลเยี่ยงศิษย์สายตรง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าหากการทดสอบล้มเหลว แผ่นป้ายของพวกเจ้าทั้งสองที่ได้รับมาก็จะถือว่าเป็นโมฆะไปด้วย ฉะนั้นจงคิดให้ดี” ถู่ฟางกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อสิ้นเสียงของเฒ่าชรา หลงเฉินก็ปะทุเพลิงโทสะขึ้นมายกใหญ่ “เจ้าช่วยบอกกฎเกณฑ์ทั้งหมดออกมาได้หรือไม่? สิ่งเหล่านี้ช่างบีบคั้นผู้คนมากจนเกินไปแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสนับสิบที่ประจำอยู่หน้าแท่นศิลาเบิกดวงตากลมโตขึ้นมาด้วยความตะลึงลานอยู่ถึงที่สุด ตั้งแต่พวกเขาอยู่ในที่แห่งนี้ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าขึ้นเสียงกับผู้อาวุโสผู้คุมกฎมาก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางแทบจะระเบิดโทสะออกมา ทว่าเขากลับเก็บงำลงไปอย่างรวดเร็ว หากเรื่องราวบานปลายไป มีแต่จะทำให้หมู่ตึกเสียเปรียบอย่างยิ่งยวด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าถึงได้บอกว่าโอกาสที่เข้ามาย่อมมีวิกฤตอยู่เสมอ พวกเจ้าไปตกลงกันเองก็แล้วกัน” ถู่ฟางกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทั้งเยี่ยจื่อชิวและถังหว่านเอ๋อเองต่างก็กระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อครู่เพิ่งจะผ่านการทดสอบที่เปรียบเทียบได้กับขุมนรกแห่งหนึ่ง จนได้รับแผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายตรงมาครอบครอง หากพ่ายแพ้ไปในครั้งนี้ก็ถือว่าทุกอย่างที่ทุ่มเทมานั้นจบสิ้นลงไป การเดิมพันเช่นนี้ถือว่าเลวร้ายกับพวกนางเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“พวกเจ้าถอยไป ข้าจะเข้าไปเอง” หลงเฉินจ้องมองไปที่กุ่ยซาแล้วกล่าวออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อส่ายหน้าไปมาอย่างรุนแรงแล้วตอบกลับไปว่า “เจ้าทราบหรือว่ามารร้ายผู้นั้นน่าหวาดกลัวถึงเพียงใด การที่เจ้าจะเข้าไปสู้เพียงลำพังถือเป็นความสำเร็จที่ต่ำมาก จื่อชิวเจี่ยเจี่ย……”

 

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวไม่รีรอที่จะให้ถังหว่านเอ๋อเชื้อเชิญ “เจ้าไม่ต้องมาชักชวนข้า ในเมื่อพวกเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว ข้าจึงไม่อาจปล่อยให้หลงเฉินกระทำเช่นนั้นแน่”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทั้งชีวิตของคนผู้นี้ ยังไม่เคยเดิมพันอะไรเช่นนี้มาก่อน ข้าคิดที่จะขอลองเสี่ยงโชคของข้าดูว่าแท้จริง เยี่ยจื่อชิวทอแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นขึ้นมา ในช่วงเวลาที่แย่งชิงผลปราณลี้ลับมาได้ นั้นเป็นพวกเขาทั้งสองคนที่ส่งมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกล่าวว่าผลปราณลี้ลับลูกนั้นไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง ทว่านางทราบอยู่แก่ใจว่าย่อมไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

บุญคุณในครั้งนั้นจึงเป็นสิ่งที่นางจดจำไม่เคยลืมเลือน ในเมื่อขณะนี้หลงเฉินต้องการความช่วยเหลือ มีหรือที่นางจะปฏิเสธอย่างไรเยื่อใยได้

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าโฉมงามทั้งสองต่างก็ต้องการที่จะช่วยเหลือ หลงเฉินจึงรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ “มีสองสาวงามรักและทะนุถนอมข้าน้อยเช่นนี้ ช่างน่าปราบปลื้มยิ่งนัก……”

 

 

 

 

 

 

 

 

“หยุด นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้นะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อจ้องเขม็งไปยังหลงเฉินที่เริ่มจะเล่นลิ้นปลิ้นตาขึ้นมาเฉกเช่นปกติ แล้วกล่าวต่ออีกว่า “เตรียมตัวกันเถิด พวกเราสามคนจะต้องใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดออกมา แล้วไปเป็นศิษย์สายตรงด้วยกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้าไปมา “ทว่าก่อนที่จะเข้าไป ข้าอยากจะได้บางอย่างที่เหมาะมือเพื่อจัดการกับเด็กน้อยผู้นี้ก่อน”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกล่าวจบ หลงเฉินก็หันไปหาขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวแล้วตะโกนเสียงดังว่า “เหวย ผู้ใดมีอาวุธหนักสักเล่มหนึ่งบ้าง ยิ่งหนักยิ่งดี”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองชายหนุ่มที่มีร่างกายใหญ่โตก็เดินฝ่าฝูงชนออกมา ในมือข้างหนึ่งมีดาบยักษ์ที่ยาวกว่าลำตัวของคนผู้หนึ่งยื่นมาให้ ดาบยักษ์เล่มนั้นมีความยาวกว่าเก้าเซียะ อีกทั้งยังมีความหนากว่าหนึ่งคืบ เนื้อดาบเป็นสีดำทมิฬ ทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ดาบเบิกภูผาทลายพิรุณของตระกูลข้า มีน้ำหนักเก้าพันเจ็ดร้อยชั่ง เจ้าใช้ได้หรือไม่?” ชายหนุ่มผู้ที่อยู่ในขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิวกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินรับดาบยักษ์เล่มนั้นมากวัดแกว่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความดีใจเสียยกใหญ่ “ขอบคุณพี่ชายมาก ดาบล้ำค่าเล่มนี้ ข้าขอยืมใช้ก่อนก็แล้วกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นเกิดอาการประหลาดใจขึ้นมาไม่น้อยเมื่อเห็นว่าดาบยักษ์ที่อยู่ในมือของหลงเฉินได้กลายเป็นสิ่งที่เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะในช่วงเวลาที่จะใช้ดาบยักษ์ เขาจะต้องปะทุพลังที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาจึงจะใช้ได้ อีกทั้งในขณะที่ใช้อยู่นั้นก็ไม่ได้มีท่าทีที่ผ่อนคลายได้เหมือนกันหลงเฉินในตอนนี้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกวัดแกว่งดาบยักษ์ไปมาอีกครั้งเพื่อให้เกิดความเคยชิน พลังสภาวะทั่วทั้งร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาไม่หยุด จากนั้นก็ได้ลองฟาดประกายคมดาบออกไปจนเกิดเป็นแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งผืนฟ้า ผู้คนที่อยู่โดยรอบจ้องมองเขาราวกับว่าเป็นเทพสงครามถูกปลุกขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว ข้าคงจะต้องเสาะหาอาวุธหนักเช่นนี้มาไว้บ้างแล้ว ทว่าไม่ทราบว่าจะเป็นเมื่อใดที่เข้าได้ครอบครองอาวุธที่ทำให้ตัวเองพึงพอใจได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจับไปที่ด้ามของดาบยักษ์จนแน่น ภายในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น พลันก็ได้กวาดดาบยักษ์ไปพาดไว้บนบ่า แล้วกล่าวต่อถู่ฟางว่า “ข้าพร้อมแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางพยักหน้ารับ ภายในจิตใจปรากฏความชื่นชมขึ้นมาเป็นสาย เห็นๆ กันอยู่ว่าที่เบื้องหน้านั้นมีอันตรายที่ยากจะต้านทานได้ ทว่าพวกเขากลับยังคงกล้าหาญที่จะเผชิญกับศัตรูอย่างไม่ลดละ ช่างเป็นพลังใจที่ไร้ผู้ต้านทานอย่างแท้จริง ด้วยความหนักแน่นเช่นนี้ย่อมฝ่าฟันทุกอุปสรรคไปได้อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

การทดสอบในครั้งนี้เป็นการจัดการของถู่ฟางด้วยความจงใจทั้งหมด หากเป็นไปตามกฎของหมู่ตึก แล้ว การทดสอบของศิษย์สายตรงที่ล้มเหลวจะถูกถ่ายโอนให้เป็นศิษย์สายนอกในทันที หากเป็นเช่นนี้จริงย่อมไม่ยุติธรรมต่อผู้มีพรสวรรค์เฉกเช่นหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นผู้อาวุโสถู่ฟางจึงใช้อำนาจของตัวเองมอบโอกาสให้หลงเฉินอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าท่านจ้าวสำนักจะกำชับเอาไว้แล้วว่าอย่าได้สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเดินทางของหลงเฉิน ทว่าถู่ฟางก็ไม่ได้คิดจะลำเอียงไปเข้าข้างหลงเฉินแต่อย่างใด เพราะหากเปลี่ยนเป็นผู้มีพรสวรรค์คนอื่นแล้ว เขาก็จะทำการชดเชยเช่นนี้ให้คนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ถู่ฟางยังได้เพิ่มแรงกดดันให้กับหลงเฉินเข้าไปอีก ทว่าหลงเฉินก็ยังไม่เปลี่ยนใจ อีกทั้งยังมีอีกสองยอดฝีมือที่ยินยอมเข้าร่วมความเสี่ยงไปกับเขาด้วย เห็นได้ชัดเจนว่าบุคคลอย่างหลงเฉินผู้นี้มีเสน่ห์ที่ลึกลับของตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

และเขาก็เชื่อว่าหากหลงเฉินได้เป็นศิษย์สายตรงแล้วจะต้องโดดเด่นเฉิดฉายประดุจดาวหางส่องแสงสว่างอย่างแน่นอน ด้วยพลังและความสามารถเช่นนี้ย่อมสามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทางหมู่ตึกได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉิน ถังหว่านเอ๋อ และเยี่ยจื่อชิวค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ค่ายกลนั้นมากขึ้น ประกายแสงอันแรงกล้าเฉิดฉายขึ้นมาจนส่องสว่างไปนับหลายร้อยลี้ กุ่ยซาที่ถูกกักขังอยู่บริเวณใจกลางนั้นก็ได้ ดิ้นพล่านไปมาเมื่อต้องกับประกายแสงลี้ลับสายนั้น ทว่าไม่ว่าเขาจะดิ้นอย่างไรก็ไม่เกิดสิ่งใดขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางจ้องมองไปยังแผ่นหลังทั้งสามของยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดที่กำลังเข้าไปยังใจกลางของค่ายกล จากนั้นก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

“การทดสอบเริ่มได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ถู่ฟางกล่าวจบ ค่ายกลที่กักขังร่างกายของกุ่ยซาอยู่นั้นก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป เพียงครู่เดียวกุ่ยซาก็ได้รับอิสรภาพ พลันก็ได้แผดเสียงร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เงาสีดำทมิฬสายนั้นพุ่งทะยานเข้ามาทางหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset