เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 188 ดูดกลืนโอสถภายใน

ชั้นแรกของหอพลิกสวรรค์เป็นห้องโถงใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยสมุนไพรและยาโอสถหลากหลายชนิด ส่วนในชั้นที่สองนั้นเป็นตำราวิชากำลังภายในและทักษะยุทธ์

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เลือกซื้อสมุนไพรมาจนครบแล้ว ถังหว่านเอ๋อ หลงเฉิน และกัวเหรินก็เดินลงมาที่ชั้นสอง ห้องโถงขนาดใหญ่โล่งกว้างเต็มไปด้วยศิษย์พี่ที่เป็นยอดฝีมือหลายสิบคน พวกเขาสวมชุดยาวสีขาวดูสะอาดสะอ้าน อีกทั้งยังง่วนอยู่กับการจัดสถานที่ภายในชั้นแห่งนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

กำแพงรอบด้านถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องไม้ ตามชั้นไม้ต่างก็มีบางอย่างเด้งออกมาคล้ายกับเป็นกลไกชนิดหนึ่ง

 

 

ส่วนทางด้านล่างของกลไกเหล่านั้นก็คือคำอธิบายเกี่ยวกับวิชากำลังภายในและทักษะยุทธ์ในส่วนนั้นๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือราคาค่างวดของตำราเล่มนั้นนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ดวงตาคู่คมกวาดมองไปที่ราคาเหล่านั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจขึ้นลึกคำหนึ่ง เจ็ดหมื่นหกพันแปดแต้มคะแนน! อีกทั้งยังเป็นเพียงทักษะยุทธ์ระดับพสุธาเล่มหนึ่งเท่านั้น ทว่าหากสามารถอยู่ในหมู่ตึกแห่งนี้ได้ย่อมต้องเป็นของชั้นยอดอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นตำราที่ล้ำค่า ทว่ากลับเรียกราคาที่สูงจนมากเกินไป ต่อให้เป็นศิษย์สายตรงที่มีเงินเดือนมากอย่างถังหว่านเอ๋อเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความอดสู

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เลย นั่นคงจะเป็นเพราะว่าสิ่งของที่ขายมีราคาสูงมากถึงมากที่สุด ด้วยความเป็นศิษย์ใหม่อย่างพวกเขาก็แทบจะไม่อาจซื้อหามาใช้ได้เลยแม้แต่เล่มเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งแต้มคะแนนของพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องนำออกมาใช้สำหรับการเพิ่มพูนระดับพลังฝึกยุทธ์ของส่วนรวม ฉะนั้นจึงไม่อาจนำออกมาใช้จ่ายส่วนตัวของคนเพียงคนเดียวได้ ไม่อย่างนั้นหากตกอยู่ในสถานการณ์ของการแย่งชิงแล้วจะได้มีพลังเพียงพอที่จะกดดันอีกฝ่ายหนึ่งได้ อีกทั้งยังป้องกันการสูญเสียขุมกำลัง

 

 

 

 

 

 

 

 

แต้มคะแนนที่อยู่ในมือของถังหว่านเอ๋อตอนนี้มีอีกทั้งหมดห้าหมื่นแต้มที่เป็นของส่วนตัว ทว่าดูเหมือนว่าแต้มเหล่านี้จะยังไม่เพียงพอที่จะซื้อหาตำราภายในสถานที่แห่งนี้ได้ สู้เก็บเอาไว้ใช้ในภายหลังยังจะดีเสียกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่ชุดยาวสีขาวนับสิบคนทอแววตาเยือกเย็นมองมาที่หลงเฉินและพวกพ้อง ไม่มีแม้แต่ซุ่มเสียงอันใดเล็ดลอดออกมาตั้งแต่พบเจอพวกเขา อีกทั้งยังคล้ายกับว่าเห็นอาการแตกตื่นตกใจของผู้คนราวกับเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาเสียเที่ยวแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่หรอก แค่ได้เดินดูก็พอแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยิ้มแล้วหันกลับมองยังชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยกลไกเหล่านั้น เขากวาดสายตามองไปยังทักษะยุทธ์ลี้ลับที่อยู่บนชั้นอย่างรวดเร็ว ก็พบว่าโดยมากแล้วต่างก็จัดอยู่ในระดับพสุธาขึ้นไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ทักษะยุทธ์ระดับพสุธาที่ยังอยู่ในสภาพดีและน่าซื้อหานั้นมีอยู่หลายเล่มด้วยกัน ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะว่ามีราคานับหลายสิบหมื่นแต้มเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนตำราที่มีราคาต่ำกว่านั้นต่างก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาลับ หรือไม่ก็เป็นทักษะลับส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทักษะยุทธ์ที่แท้จริง อีกทั้งยังจัดอยู่ในระดับล่างจึงไม่มีประโยชน์ต่อการนำมาใช้มากมายนัก

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เลื่อนสายตามองไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองแววตาของหลงเฉินก็เกิดประกายเจิดจ้าขึ้นมา ร่างกายหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของชั้นหนังสือแห่งหนึ่งอย่างแน่นิ่ง บนชั้นหนังสือนั้นมีอักษรเขียนเอาไว้ว่า——วิชาควบคุมช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ

 

 

 

 

 

 

 

 

ในที่สุดก็หาเจอแล้ว! ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดอาการลิงโลดจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาจากอก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะหามันพบในสถานที่แห่งนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

ควบคุมช่องว่างแห่งจิตวิญญาณเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาที่หายากและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกสัตว์ เป็นการใช้จิตวิญญาณของผู้ฝึกสัตว์เปิดช่องว่างพิศวงชนิดหนึ่งขึ้นมาเพื่อจัดเก็บสัตว์เลี้ยงของตัวเองเข้าไปอยู่ภายในร่างกายได้

 

 

 

 

 

 

 

 

และในตอนที่ลู่ฟางเอ๋อได้มอบเสี่ยวเสว่ยให้กับเขา นางก็ได้บอกเอาไว้ว่าไม่อาจสอนวิชานี้ให้เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนกฎของทางสำนัก ฉะนั้นหลงเฉินจึงได้แต่จดจำเอาไว้ และค้นหามาโดยตลอด

 

 

 

 

 

 

 

 

หากได้ร่ำเรียนวิชาเช่นนี้ แน่นอนว่าด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอันมหาศาลของหลงเฉินต้องสามารถควบคุมช่องว่างแห่งจิตวิญญาณได้ตั้งแต่แรก เช่นนั้นเสี่ยวเสว่ยก็จะสามารถอยู่ข้างกายเขาได้ตลอดเวลา อีกทั้งก็จะไม่มีผู้ใดขัดขวางได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อหลงเฉินเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างเพื่อดูราคาค่างวดที่ติดเอาไว้ ‘หกหมื่นกับสามพันคะแนน’ ก็ถึงกับกระอักของเหลวภายในปากออกมา เคล็ดวิชาที่เป็นทักษะของสำนักอื่นกลับถูกนำมาขายด้วยราคาที่สูงลิบลับได้ถึงเพียงนี้ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ไม่เคยพบเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าต้องการที่จะร่ำเรียนวิชานี้อย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นหลงเฉินหยุดอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนานแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“อือ” หลงเฉินพยักหน้าไปมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อจึงส่งยิ้มหวานกลับไปแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เรียนเถิด ยังมีแต้มคะแนนเหลืออยู่”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ขอบคุณมาก ส่วนเรื่องของพรรคฟ้าดินนั้นวางใจได้เลย” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความตื้นตันใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินไม่ต้องการที่จะใช้แต้มคะแนนของส่วนรวมไปกับเรื่องส่วนตัว ทว่าวิชาควบคุมช่องว่างแห่งจิตวิญญาณกลับมีความสำคัญต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง หากได้เปิดช่องว่างแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาได้แล้วก็เสมือนกันว่าเขาจะมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

และในขณะนี้เขาก็มีอีกหนึ่งสถานะเพิ่มขึ้นมาด้วย——ผู้ฝึกสัตว์ เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับศัตรูก็จะสามารถชักนำเสี่ยวเสว่ยเข้าร่วมการต่อสู้ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ต่อให้ผู้อื่นเกิดความอิจฉาริษยาก็ไม่มีผลอันใด เพราะต่อให้พวกเขาสามารถเบิกช่องว่างแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาได้เฉกเช่นเดียวกับหลงเฉิน ทว่าสัตว์มายาและพวกเขากลับไม่ได้ผสานจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน เช่นนั้นก็ไม่อาจเบิกช่องว่างแห่งจิตวิญญาณออกมาได้อยู่ดี ด้วยเหตุนี้สัตว์มายาของพวกเขาจึงเป็นได้แค่พาหนะเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนเสี่ยวเสว่ยและหลงเฉินนั้นคล้ายกับการทำสัญญาใจกันเอาไว้ เขาไม่อยากจะผนึกจิตวิญญาณของเสี่ยวเสว่ยเพื่อให้เป็นทาส ทว่าจิตวิญญาณของพวกเขากลับผูกพันต่อกันอย่างลึกซึ้ง นั่นจึงเป็นเสมือนสัญญาที่ไร้ข้อจำกัดนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งตอนนี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็เพิ่มพูนระดับพลังขึ้นไปกันทั้งหมดแล้ว หากเขามีเสี่ยวเสว่ยคอยช่วยเหลือ ไม่ว่าจะไปสู่จุดสูงสุดได้ไกลเพียงใด แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดสามารถรังแกเขาได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหตุใดจู่จู่ถึงได้เกรงอกเกรงใจข้าถึงเพียงนั้นกัน ในเมื่อเจ้าเป็นผู้บริหารของพรรคฟ้าดินแล้ว จงอย่าทำให้พลังความสามารถของพรรคฟ้าดินลดลงไปก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะสอบสวนเจ้าเอง” ถังหว่านเอ๋อหัวเราะร่าแล้วกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“เถ้าแก่โปรดวางใจ หลงเฉินผู้นี้จะทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเพื่อพรรคของพวกเราเอง” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยกิริยาท่าทางมีมารยาท

 

 

 

 

 

 

 

 

“เอาเถิด หยุดท่าทางแปลกประหลาดของเจ้าได้แล้ว” ถังหว่านเอ๋อตีไปที่แขนของหลงเฉินเบาๆ แล้วกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา พร้อมกับกวาดสายตามองหลงเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วกล่าวเตือนสติขึ้นมาด้วยความหวังดีว่า “วิชานี้มีราคาสูงเสียยิ่งกว่าประโยชน์ของมันอีก เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้ารับ “รบกวนศิษย์พี่ด้วย”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นรับแผ่นป้ายของหลงเฉินไป จากนั้นแต้มคะแนนที่อยู่ด้านบนก็ลดลงไปในทันที หลงเฉินจ้องมองแต้มคะแนนที่หลงเหลือด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่รับแต้มคะแนนไปแล้ว คนผู้นั้นก็เปิดตู้ออกแล้วล้วงเอาป้ายหยกแผ่นหนึ่งยื่นให้หลงเฉิน “นี่คือป้ายหยกแห่งจิตวิญญาณ ภายในนี้เก็บวิชาลับทั้งหมดเอาไว้แล้ว สิ่งที่อยู่ในนี้สามารถเก็บเอาไว้ได้เพียงสามวันเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเจ้ายังศึกษาไม่สำเร็จภายในสามวันก็สามารถมารับแผ่นใหม่ได้อีกครั้ง ทว่าเมื่อเกินสองครั้งไปแล้วยังไม่อาจเรียนรู้ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้อีกแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นทั้งสามคนก็เดินจากไป ทว่ากลับไม่คิดที่จะลงไปชั้นล่างอีก เพียงแต่สอดส่องสายตามองตาเป็นมันเพราะทราบดีว่าไม่มีปัญญาที่จะซื้อสิ่งของเหล่านั้นได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าแต้มคะแนนของถังหว่านเอ๋อยังไม่ได้ถูกใช้เลยแม้แต่แต้มเดียว ทว่าการเป็นผู้ดูแลขุมกำลังก็ต้องมีแต้มสำรองเอาไว้บ้าง อีกทั้งแต้มคะแนนของส่วนรวมก็ได้ถูกหลงเฉินจับจ่ายใช้สอยไปจนเกือบหมดแล้ว ถังหว่านเอ๋อเองจึงไม่กล้ามองของสิ่งอื่นอีก เพราะเกรงว่าตัวเองจะไม่อาจห้ามใจได้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ทั้งสามคนเดินออกมาจากหอพลิกสวรรค์แล้ว ถังหว่านเอ๋อก็กล่าวขึ้นมาเป็นครั้งแรกว่า “หลงเฉิน พวกเราไปหาสมาชิกใหม่กันเถิด จะได้รวบรวมผู้คนให้ครบตั้งแต่เนิ่นๆ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะนี้ขุมกำลังของนางมีสมาชิกอยู่ทั้งหมดเจ็ดสิบเก้าคน เช่นนั้นก็จะต้องเปิดรับคนเพิ่มอีกยี่สิบเอ็ดคน และแน่นอนว่าจะต้องเป็นการคัดเลือกอย่างเข้มงวด เพราะในช่วงการสอบคัดเลือกนั้นก็ยังมีผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมกับขุมกำลังใดเลย ทว่าก็ยังสามารถสอบผ่านมาได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าโดยส่วนมากแล้วจะเป็นศิษย์สายนอกแทบจะทั้งหมด ทว่าต่อให้รับศิษย์สายนอกเข้ามาเพิ่มก็ยังสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับขุมกำลังได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงตอบกลับไปว่า “หว่านเอ๋อ เจ้าและกัวเหรินไปรับคนเพิ่มเถิด ข้าต้องรีบกลับไปหลอมโอสถก่อน หากเพิ่มพูนระดับพลังของทุกคนขึ้นมาได้แล้วย่อมไม่มีปัญหาใดต้องห่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

ในส่วนของการรับสมัครคนนั้นอย่าได้มองเพียงพลังฝีมือ ที่ควรให้สำคัญคือความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน หากเจอคนที่เลวร้ายเหมือนกับกัวเหรินก็ปล่อยไป ภายในขุมกำลังของพวกเรามีแค่เขาคนเดียวก็เรียกว่ามากเกินพอแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินเบิกดวงตาโพลงโต ทว่ากลับไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้ ส่วนถังหว่านเอ๋อก็เอาแต่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่หยุด จากนั้นก็เดินนำกัวเหรินไปยังลานกว้างพลิกสวรรค์ ซึ่งขณะนี้รายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมากมายที่กำลังรอคอยความหวังที่จะได้เข้าร่วมกับขุมกำลังหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อหลงเฉินได้ย้อนกลับมาถึงถ้ำที่พักแล้ว เขาก็พบว่าชิงยวูจึงบอกกล่าวให้นางไปช่วยถังหว่านเอ๋ออีกแรงหนึ่ง และภายหลังจากนี้ก็จะมีผู้ร่วมชะตากรรมเพิ่มและอยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง การมีคนเพิ่มย่อมดีกว่ามีเพียงน้อยนิด

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ชิงยวูจากไปแล้ว หลงเฉินก็ได้นำเตาหลอมโอสถออกมา พลันก็ได้จัดเตรียมสมุนไพรจำนวนมากวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นเขาก็วาดมือครั้งหนึ่งจนเพลิงกาฬสีแดงลุกโชนขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“นานแล้วที่ไม่ได้หลอมโอสถ อย่าได้พลาดโดยเด็ดขาด เพราะซื้อสมุนไพรมาแค่อย่างละหนึ่งชุดเท่านั้น”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่อุ่นเครื่องได้ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็เริ่มเพิ่มระดับความรุนแรงของเพลิงขึ้นมา จากนั้นก็นำสมุนไพรหย่อนลงไปในใจกลางของเตาหลอมโอสถทีละชนิดตามที่ได้จัดเรียงเอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินรู้สึกปิติยินดีขึ้นมาอย่างท่วมท้น ทักษะในการหลอมโอสถของเขายังคงเหมือนเดิมราวกับว่าได้ซึมซาบเข้าไปถึงแกนกระดูกของเขาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้หลอมมานาน ทว่าก็ยังสามารถทำได้คล่องแคล่วโดยไม่หวั่นต่อความผิดพลาดอันใดเลย อาจเป็นเพราะเขามีพลังการฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นจึงทำให้พลังแห่งจิตวิญญาณมั่นคงมากขึ้นไปด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เตาหลอมก็ระเบิดขึ้นมาเสียงดัง มือใหญ่ค่อยๆ เปิดฝาเตาหลอมขึ้น สายตาประสบกับเม็ดโอสถขนาดเท่าลูกลำไยเกลือกกลิ้งไปมา

 

 

 

 

 

 

 

 

โอสถเม็ดนั้นไม่ได้เปล่งประกายแสงอันใดออกมาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะดูไปทางใดก็คล้ายกับก้อนเหล็กที่ขึ้นสนิมลูกหนึ่งเท่านั้น ทว่าใบหน้าของหลงเฉินกลับปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลอมรวมเพลิงโอสถเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่ไม่เลวเลยด้วย”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลอมรวมเพลิงโอสถได้แล้ว เขาก็เริ่มจัดแจงสมุนไพรอย่างวุ่นวายอีกครั้งหนึ่ง ทว่าในครั้งนี้กลับไม่ใช่การหลอมโอสถ เพียงแต่เป็นการต้มโอสถเหลวชนิดหนึ่งเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

โอสถเหลวนั้นมีสีแดงชาดประดุจหยาดโลหิต มีความเข้มข้นมากจนเกินกว่าโอสถเหลวทั่วไป หลังจากที่หลงเฉินต้มโอสถเหลวจนเปลี่ยนสีไปแล้วถึงสามครั้ง เขาก็หยุดการต้มนั้นลงทันที จากนั้นก็พักโอสถเหลวให้เย็นลง จากนั้นหลงเฉินก็ล้วงเอาโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิงออกมา แล้วหย่อนเข้าไปผสมกับโอสถเหลวนั้นช้าๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

โอสถภายในที่มีขนาดเท่ากับไข่ใบใหญ่ใบหนึ่งเริ่มดูดซึมโอสถเหลวเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง จากที่มีสีขาวประดุจหิมะก็ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงชาดในทันที อีกทั้งยังมีพลังความร้อนอันน่าหวาดกลัวขุมหนึ่งระอุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อโอสถเหลวภายในเตาหลอมถูกดูดกลืนไปแล้วทั้งหมด โอสถภายในของกิ้งก่าเพลิงก็เริ่มแสงสว่างวาบขึ้นมา ภายในนั้นมีการเคลื่อนไหวของบางอย่างไปมา อีกทั้งยังรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นปล่องภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“พลังเพลิงอันมหาศาลของโอสถภายในถูกกระตุ้นขึ้นมาได้แล้ว ทว่าจะดูดกลืนพลังอักขระภายในได้หรือไม่นั้นก็ต้องคอยดูต่อไป”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตรวจสอบโอสถภายในอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกมาจากถ้ำไป จากนั้นก็วิ่งตะบึงไปยังด้านหลังของหุบเขา หลังจากที่เสาะหาสถานที่เงียบสงบได้แห่งหนึ่งแล้ว เขาก็ล้วงโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิงออกมาวางไว้บนพื้น พลันก็กลืนหลอมรวมเพลิงโอสถลงไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อโอสถเริ่มไหลซึมเข้าสู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายแล้ว ทันใดนั้นสภาวะร้อนระอุสายหนึ่งก็ได้ถูกกระตุ้นขึ้นมา จากนั้นก็ไหลเวียนเข้าสู่เส้นโลหิตทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงสำรวจภายในร่างกายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พบว่าเส้นลมปราณทั่วร่างคล้ายกับถูกเคลือบด้วยทองคำ อีกทั้งยังเป็นเหมือนด่านปกป้องเส้นโลหิตและผิวหนังเอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

นี่จึงเป็นคำตอบที่ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงได้ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปนานโดยไม่ทำการดูดกลืนโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิงเอาไว้ แม้ว่าเขาจะมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แกร่งกล้า ทว่าก็ยังไม่เพียงพอที่จะดูดกลืนพลังเพลิงกาฬอันมหาศาลของโอสถภายในเข้าไปได้ หากทำเช่นนั้นไปตั้งแต่แรกก็คงจะทำให้เส้นลมปราณของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

สัตว์เพลิงนี้เป็นของสัตว์มายาระดับสาม อีกทั้งยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่เก้าสิบเจ็ดอีกด้วย เช่นนั้นหลงเฉินจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วทำการตรวจสอบสภาวะภายในร่างกายที่กำลังอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด มือใหญ่ทั้งสองข้างโอบเข้าไปที่โอสถภายในของกิ้งก่าเพลิงเบาๆ พลันก็เริ่มไหลเวียนพลังลมปราณขึ้นมาเพื่อดูดกลืนพลังอันมหาศาลภายในนั้นจนหมดสิ้น

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset