เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 240 : ม่อเนี่ยน

ในขณะที่เสียงของชายหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ ทอดลงไป มือข้างขวาก็คลายออกจากสายธนู ส่งประกายแสงสีทองประดุจดาวตกพุ่งไปยังศิษย์ฝ่ายอธรรมนับพันที่อยู่เบื้องหน้า

 

คมศรที่เพิ่งจะถูกแผลงออกมาสลายสภาวะความเร็วจนเลือนรางหายไปกับบรรยากาศ อากาศโดยรอบก่อเกิดเป็นพายุลมโหมกระหน่ำน่าหวาดกลัวจนฟ้าดินสั่นสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

เมื่อสายลมหอบนั้นลอยละล่องเข้าไปถึงหมู่ศิษย์ฝ่ายอธรรม บริเวณหลายสิบลี้ก็ระเบิดขึ้นมาเสียงดังสนั่น พลังทำลายล้างกวาดเงาร่างของผู้คนเหล่านั้นพัลวัน

 

“ตูม”

 

พลังมหาศาลอันน่าหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศประดุจคลื่นยักษ์ซัดสาดอยู่ในมหาสมุทร เปลวเพลิงเริงระบำอยู่เหนือท้องฟ้าสีคราม ผืนดินขนาดใหญ่ถูกกวาดเรียบจนโล่งเตียน

 

เหล่าศิษย์ฝ่ายอธรรมที่อยู่ในเส้นทางของคมศรต่างก็แหลกลานกลายเป็นจุล ฝนโลหิตสีแดงสดละเลงไปทั่วทั้งผืนฟ้าอันเย็นเยียบ พลังสภาวะอันน่าหวาดกลัวได้สังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมไปมากกว่าครึ่งด้วยคมศรสายเดียว

 

“ช่าง……ช่างน่ากลัวยิ่งนัก” ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าสายตาด้วยสีหน้าแตกตื่นตกใจ

 

ในหมู่ศิษย์ฝ่ายอธรรมเหล่านั้นมีมากถึงหนึ่งพันคนเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงทั้งหมดแปดคนด้วย ทว่าศิษย์สายตรงเหล่านั้นกลับถูกสังหารจนราบคาบภายในการโจมตีครั้งเดียว เรียกได้ว่าเป็นทักษะยุทธ์ระดับปีศาจเลยก็ว่าได้

 

หนึ่งในศิษย์สายตรงทั้งแปดคนนั้นได้สบโอกาสนำโล่ที่มีพลังสภาวะพิสดารชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วใข้ต้านการโจมตีของชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ ทว่าก็ยังไม่อาจหลบรอดพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวขุมนั้นได้จนโล่ที่อยู่ในมือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

เมื่อศิษย์ฝ่ายอธรรมตายลงไปกว่าครึ่งก็หลงเหลือเพียงศิษย์ธรรมดาราวสี่ร้อยคน ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากคมศรจนเสียชีวิต ทว่าตามร่างกายของพวกเขากลับเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์

 

ศิษย์ฝ่ายธรรมะก็เคยได้พบเจอกับยอดฝีมือที่มีพลังสภาวะอันมหาศาลมาก่อน ทว่ากลับยังไม่เคยพบพานกับพลังฝีมือที่โหดร้ายมากถึงเพียงนี้เลย แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังรู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังสั่นเทาไปทั้งหมด

 

ความน่าหวาดกลัวของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้เป็นเพราะพลังทำลายของประกายศรสีทองนั้น ทว่ากลับเป็นความแน่วแน่ที่สูงล้ำจนน่าตกใจที่แฝงอยู่บนลูกศรสายนั้น และนี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลงเฉินได้พบเห็นการโจมตีที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังของความแน่วแน่อย่างเต็มเปี่ยม

 

ในหมู่ผู้คนทั้งหมดคงจะมีเพียงหลงเฉินที่สามารถสัมผัสถึงพลังสภาวะของชายหนุ่มผู้นี้ได้ เพราะว่าการโจมตีของเขาเองก็แฝงพลังของความแน่วแน่เอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ทว่ากลับเป็นความแน่วแน่ที่แตกต่างกันอยู่หลายส่วน มีเพียงความเหมือนกันอยู่หนึ่งประการนั่นก็คือความแน่วแน่ที่จะสังหารศัตรูให้ตายตกไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

 

“ถอย”

 

ศิษย์ฝ่ายอธรรมผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดังกังวาน จากนั้นผู้คนมากมายก็เริ่มวิ่งตะบึงหน้าตั้งออกมาจากสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

 

“อย่าให้พวกเขาหลบหนี รีบเข้าไปขวางเอาไว้!” สายตาของศิษย์ฝ่ายธรรมะจดจ้องไปยังศิษย์ฝ่ายอธรรมที่กำลังหลบหนี

 

“ไม่ต้องลงมือ” หลงเฉินรีบโบกมือขึ้นมาในทันที

 

เมื่อสิ้นคำสั่งของหลงเฉิน ชายหนุ่มลึกลับที่ยืนอยู่บนประตูเมืองก็แสยะยิ้มเย็นชาขึ้นมาที่มุมปาก พลันก็ยกคันธนูสีรุ้งขึ้น มือข้างขวาง้างไปที่สายธนูพร้อมปล่อยคมศรอีกครั้งหนึ่ง

 

หลงเฉินพยายามเพ่งสมาธิไปที่การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มผู้นั้นจนสามารถสัมผัสได้ว่าในขณะที่ชายหนุ่มลึกลับกำลังง้างสายธนูอยู่นั้น บนคันธนูสีรุ้งก็มีอักขระหลายสายส่องประกายแสงขึ้นมา บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง และเพียงพริบตาเดียวก็ได้แปรสภาพเป็นลูกศรดอกหนึ่ง

 

“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะสามารถใช้พลังแห่งฟ้าดินได้ด้วย! ช่างเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!” หลงเฉินพึมพำขึ้นมาด้วยสีหน้าปากอ้าตาค้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบศาสตราวุธที่สามารถหยิบยืมพลังแห่งฟ้าดินออกมาใช้ได้

 

“พันคมศร”

 

ชายหนุ่มลึกลับกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ พลันก็ปล่อยมือข้างขวาออกจากสายธนูส่งประกายแสงสายหนึ่งลอยละล่องสู่กองทัพของศิษย์ฝ่ายอธรรมอีกครั้ง

 

“พรวด พรวด พรวด พรวด……”

 

ในขณะที่ศิษย์ฝ่ายอธรรมยังคงอยู่ในสภาวะแตกตื่นอย่างไม่เสื่อมคลายอยู่นั้น จู่จู่ที่แผ่นหลังของพวกเขาก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย กว่าจะมีปฏิกิริยากลับคืนมาก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปทั้งหมดแล้ว

 

มีเพียงศิษย์สายตรงผู้นั้นที่ได้หยิบยืมพลังฝีมืออันแข็งแกร่งสาดคมกระบี่ฟาดไปที่ประกายศรจนสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ ทว่าด้วยการโจมตีอันรุนแรงที่จู่โจมเข้ามาติดต่อกันถึงสองครั้งก็ได้สร้างผลกระทบให้กับร่างกายของเขาจนสั่นเทาไปทั้งหมด อีกทั้งยังทำให้เสียโลหิตออกไปมากกว่าเดิม

 

และที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือสติสัมปชัญญะทั้งหมดได้กระเจิงไปจนหมดสิ้นแล้วจนไม่มีความคิดที่จะต่อสู้อีกต่อไป มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงแห่งความคิดนั่นก็คือต้องหลบหนีออกไปจากที่แห่งนี้เท่านั้น

 

ชายหนุ่มลึกลับเหม่อมองไปยังศิษย์สายตรงที่กำลังวิ่งหนีไปด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มขึ้นมา พลันก็ใช้นิ้วมือเกี่ยวสายธนูแล้วง้างออกเบาๆ

 

“ผึง”

 

เสียงปล่อยสายธนูดังขึ้นมาแผ่วเบา ทว่ากลับทำให้จิตใจของผู้คนทั้งหมดเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสาย ศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมที่กำลังวิ่งตะบึงออกไปไกลก็ราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว

 

“พรวด”

 

โลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมาในทันที ภายในใจกลางของโลหิตแฝงเอาไว้ด้วยชิ้นส่วนของอวัยวะภายในที่ถูกบดละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี ร่างกายอันแข็งทื่อของคนผู้นั้นล้มลงกับพื้นในช่วงเวลาต่อมา อีกทั้งยังคงความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดเอาไว้บนใบหน้า

 

‘วิหคตื่นธนู’
* 惊弓之鸟 นกตื่นธนู เป็นสำนวนจีนที่ใช้เปรียบเปรยคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมา แล้วในภายหลังเมื่อได้ถูกเหตุการณ์เช่นนั้นมากระทบเพียงเล็กน้อยก็เกิดความตื่นกลัวขึ้นมาได้ง่ายดาย

 

ภายในจิตใจของศิษย์ฝ่ายธรรมะต่างก็ปรากฏสำนวนนี้ขึ้นมาตามๆ กัน เพราะเบื้องหน้าสายตาของพวกเขาในตอนนี้เป็นเสมือนฉากการต่อสู้ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในตำราเก่าแก่อย่างไรอย่างนั้น

 

แม้แต่หลงเฉินยังอดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา ชายหนุ่มลึกลับผู้นี้มีความล้ำลึกอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย นอกจากพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบแล้วยังมีความคิดที่ยากจะหยั่งถึงได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะจัดการศิษย์ฝ่ายอธรรมได้อย่างหมดจดไปแล้ว ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับยังแฝงพลังแห่งจิตวิญญาณและความแน่วแน่เอาไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย

 

เมื่อชายหนุ่มลึกลับเก็บคันธนูยาวสีรุ้งลงไปแล้ว ทันใดนั้นเขาก็จ้องมองมาที่หลงเฉิน เมื่อหลงเฉินสบสายตากับคนผู้นั้นก็รู้สึกได้ว่าหยาดโลหิตภายในร่างกายกำลังไหลเวียนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ภายในห้วงสมองราวกับสาดจิตสำนึกแห่งการต่อสู้ออกมาไม่หยุด ทว่าเขาก็รีบชักนำปฏิกิริยานั้นกลับไปด้วยความรวดเร็ว

 

‘เหตุใดถึงได้หวาดกลัวที่จะเปิดศึกกับคนผู้นี้กัน?’

 

ทางด้านของชายหนุ่มลึกลับเองก็ได้รับผลกระทบจากพลังสภาวะของหลงเฉินด้วยเช่นเดียวกัน หมวกที่คลุมครึ่งใบหน้าของเขาขยับไปมาทั้งที่ไร้ซึ่งสายลมโชยพัด พลันก็รีบข่มพลังสภาวะของตัวเองกลับลงไป

 

“ซูม”

 

ชายหนุ่มผู้นั้นเปิดหมวกคลุมศีรษะออกจนเผยให้เห็นใบหน้าคมคายประดุจวีรบุรุษ เขามีคิ้วเข้มดั่งกระบี่เสียดฟ้า ดวงตาคมประดุจสายฟ้าคำรณ ทว่าคางของเขากลับมนกลมเป็นอย่างยิ่ง ดูโดยรวมแล้วแฝงเอาไว้ด้วยความเยาว์วัยอยู่เล็กน้อย

 

เมื่อจ้องมองเข้าไปภายในแววตาคู่นั้นก็ได้เห็นจิตวิญญาณที่มากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับมากมายจนไม่อาจอธิบายออกมาได้เลย

 

หลังจากที่ชายหนุ่มผู้นั้นเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ผู้คนทั้งหมดประจักษ์แก่สายตาแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปยืนในท่าเอามือไพล่หลังแล้วเหม่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีครามอันว่างเปล่า “สิบปีที่แบกธนูท่องเจียงฮู ใช้คมศรสั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน เก้าสวรรค์ทศทิศสั่นคลอนห่วงมิติ กลับคงไว้แต่เพียงนามแห่งม่อเนี่ยน”

 

เสียงของชายหนุ่มลึกลับทุ้มต่ำเป็นอย่างยิ่ง ทว่าคำพูดเหล่านั้นกลับแบ่งจังหวะการไล่เรียงเสียงสูงต่ำได้อย่างไพเราะเสนาะหูจนทำให้ผู้คนทั้งหมดสัมผัสได้ถึงความสูงส่งจนรู้สึกว่าหนาวเหน็บขึ้นมา เมื่อผนวกเข้ากับใบหน้าที่ฉายแววโดดเดี่ยวของคนผู้นั้นแล้ว ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

“ซูม”

 

จู่จู่คนผู้นั้นก็กระโดดลงจากประตูเมืองแล้วมุ่งหน้าเดินออกไปอย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียง ทว่าที่ทำให้ผู้คนต้องตกใจขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันนั่นก็คือเมื่อเขาก้าวเท้าออกไปเพียงครั้งเดียวก็ถึงกับเดินทางห่างไกลออกไปหลายลี้แล้ว

 

ช่างเป็นท่าร่างที่พิสดารและลึกล้ำจนน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ได้อยู่ห่างไกลออกไปจนในที่สุดก็เลือนรางหายไปจากเบื้องหน้าสายตาของผู้คน

 

หลังจากชายหนุ่มผู้นั้นจากไป ประตูเมืองขนาดใหญ่ก็ถูกเปิดออกช้าๆ พลทหารกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาสอดส่องความเคลื่อนไหวจนเมื่อพบกับซากศพที่นอนกองอยู่บนพื้นต่างก็เกิดอาการลิงโลดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังโห่ร้องขึ้นมาด้วยความยินดี

 

“บ้าเกินไปแล้ว เป็นคุณสมบัติที่บ้าเกินไปแล้ว”

 

กู่หยางกล่าวขึ้นมาในขณะที่ยังมองตามเส้นทางที่คนผู้นั้นเดินลับหายไป ภายในห้วงสมองของเขายังคงมีภาพการดึงสายธนูของคนผู้นั้นที่สามารถกวาดล้างศิษย์ฝ่ายอธรรมไปได้กว่าพันคน ราวกับว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมที่โหดเหี้ยมเป็นเพียงผักปลาที่สามารถสังหารโดยไม่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย

 

“หลงเฉิน เจ้าทราบหรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน?” ถังหว่านเอ๋อถามขึ้นมาด้วยความใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง

 

เพราะก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปคล้ายกับว่าได้หันมามองทางนี้อยู่ครู่หนึ่ง ทว่าถังหว่านเอ๋อและพวกพ้องต่างก็เห็นเป็นทางเดียวกันว่าคนผู้นั้นได้มองมาที่หลงเฉิน จากเดิมที่เขาเอาแต่ปิดบังใบหน้าก็ถึงกับเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมาเมื่อเห็นหลงเฉิน ซึ่งพวกเขาก็ไม่ทราบว่าการกระทำเช่นนั้นมีความหมายใดซ่อนอยู่

 

หลงเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมา ภายในจิตใจยังคงรู้สึกแตกตื่นอยู่ไม่เสื่อมคลาย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าและบรรยากาศบนร่างกายของชายหนุ่มผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างของพวกเขาเชื่อมต่อถึงกันอยู่

 

“ไม่ทราบว่าเขาเป็นผู้ใด ทว่าที่แน่นอนที่สุดก็คือไม่ใช่ศัตรู” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อย ทั้งยังพยายามข่มความตื่นตระหนกภายในจิตใจลงไปก่อนที่จะกล่าวขึ้นมา

 

พวกพ้องทั้งหมดต่างก็พยักหน้ารับแล้วคลายความสงสัยลงไป พลันก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความยินดีขึ้นมาเมื่อมีบุคคลที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้มาช่วยเหลือ หากเปลี่ยนเป็นศัตรูขึ้นมาคงจะทำให้พวกเขาฝันร้ายจนแทบคลั่งอย่างแน่นอน

 

“อยากทราบนักว่าคนผู้นั้นเป็นศิษย์ของสำนักแห่งใด? ถึงแม้ว่าจะมีพลังการฝึกยุทธ์ที่ไม่ต่างไปจากพวกเรามากนัก ทว่ากลับมีพลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวจนไร้ที่เปรียบ เป็นสัตว์ประหลาดที่เหนือสัตว์ประหลาดไปแล้ว” ผู้คนทั้งหมดต่างก็สัมผัสได้ว่าพลังสภาวะที่คนผู้นั้นปะทุออกมาเป็นพลังของขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนต้นเท่านั้น

 

“หยุดคาดเดาไปต่างๆ นานาเถิด ช่วยแบ่งคนส่วนหนึ่งเข้าไปสำรวจบริเวณนั้นด้วย ดูว่ายังพอจะมีศีรษะที่สมบูรณ์อยู่มากน้อยเพียงใด จากนั้นก็ตัดมาเก็บไว้ ในครั้งนี้ถือว่าพวกเราได้รับผลพลอยที่นับไม่ถ้วนเลย” หลงเฉินกล่าว

 

ทว่าในขณะเดียวกลับมีความคิดโลดแล่นขึ้นมาวุ่นวาย คนผู้นั้นเรียกขานตัวเองว่าม่อเนี่ยน? นั่นก็หมายถึงเขาไม่ใช่ศิษย์ฝ่ายธรรมะ แต่เป็นจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ? ทั้งแข็งแกร่งและลี้ลับจนทำให้รู้สึกว่าหยาดโลหิตภายในร่างกายร้อนระอุขึ้นมา เพราะนับตั้งแต่กำเนิดมาจนถึงบัดนี้หลงเฉินยังไม่เคยเห็นผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้มาก่อนในท่ามกลางผู้คนระดับเดียวกัน

 

ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจเข้าออก ทั่งทั้งสนามรบเมื่อครู่นี้ก็ได้ถูกเก็บกวาดจนสะอาดหมดจด มีศีรษะที่สมบูรณ์อยู่เพียงสามลูกด้วยกัน ทว่าทั้งหมดนั้นเป็นศีรษะของศิษย์สายตรง ส่วนคนที่เหลือนั้นได้กลายเป็นเนื้อบดไปจนหมดสิ้น

 

จากนั้นก็ได้มีศิษย์กลุ่มหนึ่งเข้าไปสืบหาเบาะแสของคนผู้นั้นจากพลทหารและชาวบ้านที่อยู่ในเมืองจนได้ความมาว่าเมื่อคนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาก็ได้ตะโกนบอกกับพลทหารทั้งหมดให้ปิดประตูเมือง และไม่ให้ผู้ใดออกจากเมืองโดยเด็ดขาด แล้วหลังจากนั้นก็คือเหตุการณ์ที่ศิษย์ฝ่ายธรรมะมาพบเจอนั่นเอง

 

หลงเฉินกางแผนที่ออกแล้วก็พบว่าเมืองแห่งนี้มีนามว่าหนานหลี่เฉิง (南里城เมืองทิศใต้) อันเป็นเขตแดนที่พวกเขาจะต้องปกป้องเอาไว้เพื่อรอให้กำลังเสริมมาถึง

 

“พวกเจ้าช่วยแบ่งคนส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายชาวบ้านออกไป”

 

ถึงแม้ว่าจะจัดการศิษย์ฝ่ายอธรรมไปได้แล้วทั้งหมด ทว่ากลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากว่ามีศิษย์ฝ่ายอธรรมบุกโจมตีเข้ามาอีกระลอก พวกเขาอาจจะไม่สามารถปกป้องเมืองใหญ่เช่นนี้เอาไว้ได้ แล้วชาวบ้านก็จะต้องถูกเข่นฆ่าไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

 

และหากรอให้กำลังเสริมมาถึงที่ก็อาจจะไม่ทันกาล ฉะนั้นการโยกย้ายถ่ายเทชาวบ้านออกไปจึงเป็นทางเลือกที่สมควรกระทำที่สุดแล้วในสถานการณ์เช่นนี้

 

ในขณะที่พวกพ้องกำลังนำพาชาวบ้านออกจากเมืองอยู่นั้น จู่จู่ป้ายหยกที่คาดอยู่ตรงเอวของหลงเฉินก็ร้อนผ่าวขึ้นมา หลงเฉินจึงรีบหยิบป้ายหยกชิ้นนั้นขึ้นมาดู พลันก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงในทันที

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset