หลงเฉินขยับมือใหญ่ข้างหนึ่งเปิดฝาเตาขึ้นอย่างช้าๆ กลิ่นหอมหวนของโอสถกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาเตะจมูกของเขา สายตาคู่คมจ้องมองผ่านไอควันไปยังโอสถเม็ดหนึ่งที่กำลังกลิ้งเกลือกอภายในเตา พลันสีหน้าของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนไปทันที
ใบหน้าของหลงเฉินที่ปรากฏต่อสายตาของฉู่เหยาในตอนนี้ช่างทำให้นางเกิดความเป็นห่วงขึ้นมาอย่างท่วมท้นเหลือเกิน ซือเฟิงและเจ้าอ้วนก็มีอารมณ์ที่ไม่ต่างจากนางด้วยเช่นกัน
ผลลัพธ์ของการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสยิ่งนัก เสมือนกับถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีที่สร้างมาให้ดับสูญไปในพริบตา ย่ำแย่กว่าการตายจากโลกนี้ไปเสียอีก แต่เซี่ยฉางเฟิงและพรรคพวกกลับหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกเช่นนั้น
“ฮาฮา หลงเฉิน ยังจะรอสิ่งใดอยู่อีกเล่า? ยังไม่คลานเข้ามาหาข้าอีกอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยปายฉือเผยรอยยิ้มกริ่มอันชั่วร้ายที่มุมปาก
การสั่งสอนให้หลงเฉินนั้นหลาบจำเช่นนี้ช่างน่าสนใจเสียยิ่งกว่าการพัฒนาทักษะหลอมโอสถของตัวเองก็ว่าได้ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยความแค้นที่กำลังจะถูกคลี่คลายออกไปในไม่ช้านี้
หลงเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่จ้องมองเข้าไปในเตาหลอม จากนั้นเอื้อมมือไปหยิบโอสถเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้วกล่าวออกไปว่า “ถึงแม้ว่าข้านั้นจะไม่ได้เก่งกาจ แต่เหตุใดสวรรค์จึงไม่ยิ้มให้ข้ากัน”
โอสถเม็ดนั้นได้ถูกยื่นขึ้นไปจนสุดแขนของหลงเฉิน ผู้คนมากมายต่างก็อดไม่ได้ที่จะด่าทอออกมาด้วยความเกลียดชังปนโล่งใจกันยกใหญ่ นี่เจ้าตีบทแตกจนกระเจิดกระเจิงไปเสียหมดสิ้นแล้ว
“เจ้าตัวร้ายที่น่าชัง”
แววตาคู่งามของฉู่เหยาเกิดประกายเจิดจ้าของความปิติยินดี จากที่เมื่อครู่นั้นตกใจจนหัวใจแทบจะหล่นไปที่ตาตุ่มแล้ว
“สวรรค์ ข้ารู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ตายไปเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความอัดอั้นภายในใจของข้าคงยากที่จะทนรับได้อีก” เจ้าอ้วนทรุดลงกับพื้นราวกับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหัน
ทุกผู้คนที่อยู่ในเขตลานประลองถูกหลอกลวงด้วยความปลิ้นปล้อนของหลงเฉินกันทั้งหมดโดยเฉพาะเซี่ยปายฉือที่บัดนี้ใบหน้าได้บิดเบี้ยวและชาซ่านไปทั่วราวกับถูกตบเข้าที่แก้มฉาดใหญ่
“หลงเฉิน เจ้ากล้าตบตาข้าอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยปายฉือกล่าวออกไปด้วยโทสะที่กำลังปะทุ
“เรื่องเช่นนี้ ต่อให้ปิดก็ไม่คงจะปิดได้มิดอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่สร้างความสนุกสนานครื้นเครงก็เท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องเคร่งเครียดถึงเพียงนี้กันเล่า” หลงเฉินเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่แยแส
“เหอะ หลงเฉิน แม้ว่าเจ้าจะหลอมโอสถก่อโลหิตได้สำเร็จ แต่ก็คงต้องพ่ายแพ้ไปอยู่ดี โอสถที่เจ้าหลอมขึ้นมานั้นคงจะแค่ระดับต่ำ เทียบไม่ได้โอสถกับระดับกลางของข้าหรอก”
เซี่ยปายฉือคลายมือที่กุมโอสถออกจนเผยให้เห็นร่องรอยที่อยู่รอบเม็ดโอสถนั้น คล้ายกับมันกำลังเปล่งแสงเป็นประกายออกมาให้ผู้คนสามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“คุณหนูปายฉือช่างเปี่ยมไปด้วยอัจฉริยภาพเสียจริง อายุยังเยาว์เพียงเท่านี้กลับสามารถหลอมโอสถระดับกลางขั้นที่สองขึ้นมาได้ ช่างน่านับถือยิ่งนัก” องค์ชายฉู่หยางกล่าวชื่นชมออกมา
แน่นอนว่าการที่จะพบกับผู้หลอมโอสถที่อยู่ในวัยเพียงแค่นี้นั้นหาได้ยากเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรที่คลื่นซัดอยู่ตลอดเวลา พรสวรรค์เช่นนี้ก็เพิ่งจะปรากฏขึ้นมาครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา จึงคาดเดาได้ว่าเซี่ยปายฉือจะต้องโดดเด่นในเส้นทางของการหลอมโอสถได้อีกยาวไกลอย่างแน่นอน
หลงเฉินแสยะยิ้มไปที่เซี่ยปายฉือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใช่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินได้หรอกนะ”
“หลงเฉิน เจ้าคิดจะกลับคำอย่างนั้นหรือ? ดูที่ร่องรอยบนเม็ดโอสถของข้า แล้วดูของเจ้านั้นช่างโล้นเกลี้ยงเกลา ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้วว่าช่างแตกต่าง นี่เจ้ามองไม่ออกอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยปายฉือหัวเราะอย่างได้ใจ
“โอสถระดับกลางของเจ้านับว่าไม่เลวเลย แต่ว่าในมือของข้าก็เป็นโอสถระดับกลางเช่นเดียวกัน” หลงเฉินคลายโอสถที่อยู่ในมือออกมาแล้วกล่าว
หลงเฉินเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ แต่กลับไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเป็นเช่นที่เขาว่าไว้ โอสถในมือของหลงเฉินนั้นไม่ว่าจองมองไปด้านใดก็เป็นเพียงโอสถสามัญธรรมดาเท่านั้น แม้จะมีลักษณะกลมกลิ้งดูสมบูรณ์ แต่กลับไม่มีร่องรอยแห่งโอสถให้พบเห็นได้เลยแม้แต่น้อย
“โอสถระดับกลาง? เหอะ เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกกัน?” เซี่ยปายฉือปรายสายตามองไปที่เม็ดโอสถ แล้วกล่าวน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“แท้จริงแล้วข้าเองก็เคยคิดเช่นเดียวกับเจ้า แต่ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เหตุใดดวงตาถึงได้บอดสนิทเร็วเช่นนี้กัน มีผู้ใดบอกหรือว่าโอสถระดับกลางนั้นจำเป็นจะต้องมีร่องรอยแห่งโอสถทุกเม็ดกัน?” หลงเฉินถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา
เมื่อสิ้นถ้อยคำของหลงเฉิน บนใบหน้าของเว่ยชางก็ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ แววตาของเขาบังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาไม่น้อย สายตาจ้องมองไปยังเม็ดโอสถที่อยู่ในมือของหลงเฉินจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า
ก่อนหน้านี้เว่ยชางเองรับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างของเม็ดโอสถในมือของหลงเฉิน ยิ่งได้ฟังถ้อยคำของหลงเฉินเช่นนั้นผนวกกับภาพการเคลื่อนไหวในการหลอมโอสถของหลงเฉินในความทรงจำ ยิ่งทำให้เขารู้สึกแตกตื่นขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก
“นำโอสถมาตรวจสอบเถิด”
ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวตัดบทขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็มีศิษย์ผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งโน้มตัวคารวะแล้วนำเครื่องมือขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งออกมา
เครื่องมือตรวจสอบชิ้นนี้มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเวทีขนาดเล็กเวทีหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทันใดนั้นเองบริเวณกลางเวทีก็ปรากฏแท่นนูนโผล่ขึ้นมาซึ่งเป็นที่สำหรับจัดวางโอสถและมีความสามารถในการตรวจสอบระดับความบริสุทธิ์ของโอสถได้อย่างแม่นยำ
“ความบริสุทธิ์มีอยู่หนึ่งในห้า โอสถของคุณหนูปายฉือตรงตามหลักเกณฑ์ของโอสถระดับกลาง” ศิษย์ผู้หลอมโอสถผู้นั้นอ่านตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าปัดของเครื่องมือ
ความบริสุทธิ์ของโอสถที่มีเพียงหนึ่งในหกจะจัดอยู่ในระดับล่าง หนึ่งในห้าส่วนขึ้นไปจะจัดอยู่ในระดับกลาง โอสถก่อโลหิตของเซี่ยปายฉือจึงอยู่คาบเส้นของระดับโอสถระดับกลางอย่างพอดิบพอดี
“หลงเฉิน คุณหนูเช่นข้าก็อยากจะเปิดหูเปิดตาด้วยเช่นกันว่าในมือของเจ้าจะเป็น‘โอสถระดับกลาง’ จริงหรือไม่” เซี่ยปายฉือเก็บโอสถที่ตรวจสอบแล้วมาไว้ในมือ พลางก็จ้องมองที่หลงเฉินด้วยรอยยิ้มอาฆาต
เดิมทีนางก็ไม่คาดคิดว่าเม็ดโอสถในมือของหลงเฉินนั้นจะจัดอยู่ในระดับกลางได้ อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยแห่งโอสถเลยด้วยซ้ำไป ย่อมไม่มีผู้ใดแน่ใจได้ การกระทำเช่นนี้คล้ายกับการขุดหลุมฝังตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นก็จงเบิกดวงตาของเจ้าดูให้ดีแล้ว”
หลงเฉินยิ้มเยาะแล้วนำโอสถยื่นให้ศิษย์ผู้หลอมโอสถ การประลองหลอมโอสถเพิ่งจะสิ้นสุดลงไม่ถึงสามชั่วยามย่อมทำให้โอสถมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุดอยู่แน่นอน จึงไม่อาจมีข้อโต้แย้งอันใดได้
“ความบริสุทธิ์มีอยู่สามในห้า โอสถของท่านหลงเฉินตรงตามหลักเกณฑ์ของโอสถระดับกลาง” ศิษย์ผู้หลอมโอสถผู้นั้นอ่านตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าปัดของเครื่องมืออีกครั้ง
“อะไรกัน?”
เซี่ยปายฉือมีใบหน้าด้านชาขึ้นมาอีกครั้ง มือไม้อ่อนระทวยจนโอสถก่อโลหิตของนางร่วงหล่นลงสู่พื้น ภายในห้วงความคิดมีแต่ความว่างเปล่าที่ขาวโพลนไปหมด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้
ไม่เพียงแค่เซี่ยปายฉือ แต่ผู้ชมทั้งหมดต่างก็ปากอ้าตาค้างไปตามกัน โดยเฉพาะเว่ยชางที่กำลังเหม่อมองตัวอักษรบนหน้าปัดของเครื่องมือตรวจสอบจนสายตาพร่ามัว
เป็นไปไม่ได้ เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นอยู่ในสายตาของเขามาโดยตลอด แน่นอนว่าไม่อาจถูกบิดเบือนไปได้ คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเฉินผู้นั้นจะสามารถหลอมโอสถระดับกลางที่ไร้ซึ่งร่องรอยแห่งโอสถขึ้นมาได้อย่างดีเยี่ยม
อีกทั้งยังมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะต้องเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เพราะเขาได้เตรียมผลก่อโลหิตที่มีอายุถึงสามร้อยปีให้เซี่ยปายฉือเพื่อการประลองหลอมโอสถครั้งนี้โดยเฉพาะ นั่นไม่เรียกว่าเป็นความพ่ายแพ้อย่างหมดจดไปแล้วอย่างนั้นหรือ
หากรู้ว่าจะออกมาเป็นเช่นนี้เขาก็คงจะไม่ใจกว้างจนถึงขั้นยอมมอบเสือดาวเพลิงกาฬที่เป็นสัตว์เพลิงให้เป็นรางวัลแก่ผู้ชนะ นึกไม่ถึงเลยว่าเซี่ยปายฉือจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ยากที่จะปั้นหน้าให้ได้รูปขึ้นมาเสียแล้วตอนนี้
“เป็นไปไม่ได้ อย่างเจ้าลูกเต่าเจ้าเล่ห์อย่างหลงเฉินนั่นน่ะหรือ นี่จะต้องเป็นกลโกงอย่างแน่นอน เจ้าได้ซื้อผลการตัดสินเอาไว้แล้ว ข้าจะฆ่าเจ้า”
เซี่ยปายฉือทันใดนั้นก็ได้กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดใจ หยาดน้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้ม พร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว หลงเฉินยืนรออยู่อย่างแน่นิ่ง ขอเพียงเซี่ยปายฉือเข้ามาใกล้เท่านั้น เขาก็จะใช้เท้าข้างเดียวเตะนางให้กระเด็นออกไปเลยเชียว
“ปายฉือ หยุดมือ อย่าได้ทำตัววุ่นวาย” เว่ยชางคว้าเข้าไปที่ข้อมือของเซี่ยปายฉือ สุ่มเสียงฟังดูอ่อนล้าโรยแรง ไม่คิดว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้
อีกทั้งยังมีดวงตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองเข้ามาอยู่ หากเขากลับคำพูดแม้แต่นิดเดียว คงไม่อาจเสนอหน้ายืนอยู่ในจักรวรรดิแห่งนี้ได้อีกต่อไป จึงได้แต่ห้ามปรามเซี่ยปายฉือเอาไว้
เซี่ยปายฉือหันมาเจอเว่ยชางที่เข้ามาขัดขวางก็ยิ่งคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม ตะโกนออกมาด้วยความเคียดแค้น “เฒ่าตัณหากลับ เมื่อคืนตอนที่เจ้าอยู่บนเตียงแล้วกำลังเล่นกับข้าอยู่ เจ้าให้คำมั่นสัญญาแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าเสือดาวเพลิงกาฬตัวนั้น เจ้าจะให้ข้า? ตอนนี้เจ้าก็มอบมาให้ข้าสิ!”
เซี่ยปายฉือกตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงของนางดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ไม่มีผู้ใดที่จะไม่ได้ยินอย่างแน่นอน หลังจากที่ได้ยินแล้วก็ผู้คนไม่น้อยที่เอาแต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความระอา
เว่ยชางผู้นี้เป็นยิ่งว่าเศษเสียอีก เสียทีที่มีฐานะเป็นถึงปรมาจารย์ ก่อนหน้านี้เพียงแต่ได้ยินคำเล่าลือที่ทุเรศทุรังของเขามาเท่านั้น แต่ขณะนี้กลับได้ยินออกมาจากปากของเซี่ยปายฉืออย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้ มีหรือที่ยังจะลอยหน้าลอยตาอยู่สบสายตาผู้อื่นได้อีกต่อไป
“ผัวะ”
เว่ยชางโมโหจนใบหน้ามีสีม่วงคล้ำขึ้นมา เขายกฝ่ามือข้างหนึ่งตบไปที่ปากของเซี่ยปายฉือจนใบหน้างดงามสะบัดหนีไป “ปายฉือรีบคืนสติกลับมาเสียที เอาแต่กล่าววาจาเลอะเลือน นำตัวนางลงไป”
เซี่ยปายฉือถูกพาตัวลงไปจากเวทีประลอง ทั่วทั้งงานกลับเข้าสู้ความเงียบงันอีกครั้ง หลงเฉินจ้องมองไปที่ดวงตาของเว่ยชาง พร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งออกไป “เอามา”
เว่ยชางผู้นี้ก็ไม่ทราบว่าจะปั้นสีหน้าออกไปเช่นไรดีเพื่อข่มอารมณ์ที่เดือดพล่านในร่างกายเอาไว้ เสือดาวเพลิงกาฬตัวนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากสำหรับเขา จึงได้คิดไว้ตั้งแต่ต้นว่าเซี่ยปายฉือจะได้รับชัยชนะและได้ครอบครองเสือดาวเพลิงกาฬตัวนี้
แต่ความคิดนี้กลับต้องมลายหายไปเพราะชัยชนะเป็นของหลงเฉิน ทั้งยังไม่สามารถทำให้หวินฉีเสียหน้าได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังต้องเสียสมบัติอันล้ำค่าไปอีก แต่เมื่อมีสักขีพยานมากมายถึงเพียงนี้ก็คงไม่อาจที่จะกลับคำพูดได้
“รับไว้”
“ผัวะ”
หลงเฉินยื่นมือไปคว้าขวดหยกจากมือของเว่ยชาง เมื่อเขามองเข้าไปภายในขวดก็เห็นการไหลเวียนไปมาของกลุ่มพลังเพลิงอยู่กลุ่มหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลงออกมาด้วยความดีใจ
“ฮาฮา ขอบใจนะ” หลงเฉินกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงสดใส เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเฒ่าผู้นี้ก็ยังมีส่วนที่ดีอยู่บ้าง
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าทำได้อย่างไรกัน?” เว่ยชางข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ การพ่ายแพ้ในครั้งนี้ช่างสูญเปล่าอย่างยิ่ง
หลงเฉินเกิดความสงสัยขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาหันหน้าไปทางปรมาจารย์หวินฉี แล้วก็ได้กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะออกมา “เห็นแก่เจ้าที่รับฟังคำตัดสินอย่างยุติธรรม ข้าจะยอมบอกเจ้าก็ได้”
“เคล็ดลับของการหลอมโอสถที่ข้าใช้ได้มาจากบันทึกลายมือเค่อกู่ ภายในนั้นได้บันทึกเอาไว้ว่า
ในขณะที่โอสถเริ่มส่งสัญญาณแจ้งเตือนขึ้นมา จำต้องเปิดฝาออกเล็กน้อย แล้วก็ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าปิดกั้นความบริสุทธิ์ของฤทธิ์โอสถเอาไว้ อีกทางหนึ่งก็ต้องชักนำสิ่งเจือปนออกไปด้วย จึงกลายเป็นว่าต้องใช้ออกมาพร้อมกันทั้งสองขั้นตอน แค่นี้ก็คงจะเข้าใจแล้วสินะ”
“บันทึกลายมือเค่อกู่? ที่เจ้ากล่าวอยู่นั้นหมายถึงราชันย์โอสถเค่อกู่อย่างนั้นหรือ?” เว่ยชางเบิกตากว้าง
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน เหมือนกับเคยอ่านผ่านตามาก่อน เจ้าไปหาดูเองก็แล้วกัน” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว แต่ที่ได้กล่าวออกมาก็เหมือนกับไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอยู่ดี
เว่ยชางเคยศึกษาวิชาหลอมโอสถภายในสภามาก็ไม่น้อย แทบจะทั้งหมดของเคล็ดวิชาก็เคยพบพานมาก่อนทั้งสิ้น แต่ว่าวิชาหลอมที่หลงเฉินใช้นั้นกลับไม่คุ้นเคยมาก่อนเลย
วิชาหลอมระดับสูงจะทำการเบิกเพียงแค่หนึ่งอย่าง แต่การเบิกของหลงเฉินนั้นกลับมีถึงสองอย่างนั่นก็คือการชักนำพลังแห่งจิตวิญญาณและการดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดิน ไม่เช่นนั้นคงจะยากที่จะรักษาพลังภายในเตาได้อย่างเพียงพอ หากเป็นผู้หลอมโอสถธรรมดาคงจะไม่สามารถหลอมด้วยวิธีนี้ได้จนสำเร็จ
ถ้าทำการเบิกเพียงหนึ่งอย่าง คงจะมีแต่ทำให้พลังปราณไหลออก และต่อให้มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมากกว่านี้หลายเท่าก็ไม่อาจที่จะหลอมโอสถได้สำเร็จ หรือทำให้โอสถในเตาหลอมกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านไป
หลงเฉินย่างเท้าเดินเข้ามาหยุดลงต่อหน้าปรมาจารย์หวินฉี แล้วโค้งคำนับลงอย่างมีมารยาท ปรมาจารย์หวินฉีเหลือบตามองไปที่แผ่นหลังที่โค้งลงมาแล้วพยักหน้าไปมา ท่วงท่าของหลงเฉินในวันนี้ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปทั้งหมดทั้งสิ้น
ในขณะเดียวกันนี้เองก็รู้สึกชื่นชมต่อพลังแห่งจิตวิญญาณอันมหาศาลของหลงเฉิน นึกไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มผู้นี้จะกล้านำชีวิตมาเดิมพันกับกับดักที่ตนนั้นก็ทราบดีอยู่แล้ว หลงเฉินได้สัตว์เพลิงมาครอบครองได้สำเร็จแล้ว ถ้าเพียงเขาหมั่นเพียรในการฝึกฝนก็จะทำให้ปราณเพลิงของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมนับสิบเท่าได้
เมื่อได้สัตว์เพลิงอันแข็งแกร่งมาอยู่ในมือก็เหมือนกับมีสิ่งช่วยเสริมพลังแห่งจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น หนทางแห่งการหลอมโอสถของหลงเฉินในภายภาคหน้าจะไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางอย่างแน่นอน
จากนั้นหลงเฉินก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของฉู่เหยา แววตาของทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ใบหน้าที่งดงามของนางแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจนเขานั้นแทบจะไม่อาจหักห้ามใจอยากจะเข้าไปคว้าตัวของนางมาโอบกอดเอาไว้
การแสดงออกในวันนี้เหมือนกับได้ทลายกำแพงสูงที่ปิดกั้นอยู่ภายในจิตใจของทั้งคนลงไป คล้ายกับว่าดวงใจสองดวงได้เข้าไปใกล้กันมากยิ่งขึ้น
“เรื่องที่ข้าเคยรับปากเจ้าเอาไว้ จะต้องทำให้ได้อย่างแน่นอน เชื่อข้านะ” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ฉู่เหยาพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย มองไปที่ใบหน้าของหลงเฉิน ความรู้สึกอบอุ่นใจก่อเกิดขึ้นมาอยู่เต็มหัวใจ รู้สึกได้ว่าตัวเองจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
จากนั้นหลงเฉินก็ได้หันไปโค้งคำนับให้กับไทเฮาอย่างช้าๆ แล้วเดินลงจากเวทีการประลองกลับไปยังที่ของตน ตลอดรายทางที่เขาเดินผ่านมาแทบทุกสายตาก็ได้จ้องมองมาที่เขา
โดยเฉพาะเหล่าหญิงสาวที่มองเข้ามาด้วยสายตาที่ทอประกายเจิดจ้า ท่วงท่าของหลงเฉินในวันนี้แทบทำให้พวกนางนั้นบ้าคลั่งจนถึงที่สุด ใช้ความสำเร็จเข้าตบไปที่หน้าของปรมาจารย์เว่ยชางจนทำให้พวกนางรู้สึกถึงความหาญกล้าแบบใหม่อย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินดึงดูดสายตาเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจและรอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติที่เขาแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว จากการประลองที่นับได้ว่าอันตรายและไม่ยุติธรรมกลับยังสามารถพลิกขึ้นมาเอาชนะได้อย่างสะอาดหมดจด
บุคคลเช่นนี้ควรค่าแล้วที่พวกนางใฝ่ฝันและไม่เคยพบเจอมาก่อน ชายหนุ่มผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่สดใหม่ต่างจากชายอื่น ในช่วงเวลาที่หลงเฉินเดินผ่านไปนั้นก็ได้หญิงสาวบางส่วนที่เขินอายจนไม่กล้าชายตามองไปที่หลงเฉินได้เลย
“พี่หลง ท่านแข็งแกร่งยิ่งนัก” เจ้าอ้วนกล่าวขึ้นมาอย่างลิงโลด
“เหอะเหอะ ข้าได้สัตว์เพลิงมาครอบครองแล้ว หลังจากนี้พวกเจ้าจะได้เข้าสู่ขั้นก่อโลหิตกันแล้ว ข้าจะคอยช่วยเหลือพวกเจ้าเอง” เมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พวกพ้องส่งมา หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวให้กำลังใจออกไป
แม้ว่าหลงเฉินนั้นจะง่วนอยู่กับการประลองที่ดุเดือดอยู่ด้านบนของเวที แต่เขาก็มองลงมายังเบื้องล่างที่ซือเฟิง เจ้าอ้วน และพวกพ้องอยู่อย่างไม่ขาดสาย เขามองเห็นความห่วงใยของพวกพ้องที่มีต่อเขาในขณะที่สถานการณ์เริ่มคับขัน
เจ้าอ้วนและพวกพ้องมีการฝึกยุทธ์ได้ไม่สูงนัก อีกทั้งพลังฝีมือของหลงเฉินก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด ย่อมไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะสอดมือเข้าไปช่วยเหลือหลงเฉินได้เลย
หลงเฉินจึงเปิดพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะติดตามเขาโดยตลอด ความรู้สึกเช่นนี้ย่อมถือว่าไม่เลวเป็นอย่างยิ่ง
ในระหว่างที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่อย่างครื้นเครง ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโห่ร้องขึ้นมาเป็นสายจนทำให้หลงเฉินและพวกพ้องได้สติขึ้นมา ซือเฟิงหัวเราะขึ้นเสียงดังแล้วกล่าวว่า
“เรื่องสนุกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” . .