เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 40 คำท้าประลองจากหว่างซาน

หลงเฉินสอดส่องสายตาไปยังบรรยากาศโดยรอบของงานเทศกาล ทันทีที่มองผ่านไปทางเวทีก็ต้องสะดุดกับเงาร่างของชายหนุ่มร่างกายกำยำที่ปรากฏตัวอยู่บนเวทีร่างกายสูงใหญ่นั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากทั่วทุกสารทิศ

หลงเฉินค่อนข้างมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าไม่เคยรู้สึกมักคุ้นมาก่อน ชายหนุ่มผู้นั้นดูเยาว์กว่าเขามาก ในขณะที่ชายหนุ่มร่างกำยำเดินไปยืนอยู่กลางเวทีก็เกิดเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นมาหลงเฉินอดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

เมื่อเสียงจากเวทีเริ่มดังขึ้น ผู้คนมากมายต่างก็กลับมารายล้อมที่เวทีประลองอีกครั้งอย่างครึกครื้น จำนวนล้นหลามยิ่งเสียกว่าช่วงที่มีเหล่าราชวงศ์มาทำพิธีเปิดเทศกาลโคมไฟก่อนหน้านี้เสียอีก

แม้จะเป็นศึกต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งนักสู้อันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีการความเข้มงวดของกฎเกณฑ์มากนัก หลงเฉินมองเข้าไปยังปะรำพิธีที่มีไทเฮาทรงนั่งอยู่ รอบตัวของนางมีเหล่าขุนนางเดินกันขวักไขว่ หนึ่งในนั้นที่เห็นก็คือเงาร่างของขุนนางหมานฮวงด้วย

หากมองจากตรงนี้แล้วคนเหล่านั้นต่างก็มีอายุอานามที่มากพอสมควร แต่ร่างกายของพวกเขากลับเปี่ยมไปด้วยพลังที่พุ่งพล่านอย่างต่อเนื่องสมกับเป็นยอดฝีมือที่มีขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตอย่างแท้จริง รังสีสังหารของพวกเขาแผ่กระจายไปทั่วอย่างเข้มข้น ไม่ว่าผู้ใดที่เข้าใกล้ก็ได้แต่ขนลุกขนพองไปตามกัน

ในขณะที่หลงเฉินกำลังกวาดสายตาเพื่อสำรวจร่างกายของคนเหล่านั้นอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้สบถคำเสียงดังเหอะออกมาเมื่อพบร่างของชายหนุ่มผู้ที่กำลังก้าวขึ้นไปบนเวทีต่อสู้อย่างช้าๆ ร่างกายนั้นแผ่รังสีสังหารออกมาอย่างดุเดือด

“เฝิงหยาง” ซือเฟิงมองไปที่ชายผู้นั้นแล้วเอ่ยนามออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“เป็นอะไรไป เจ้ารู้จักเขาอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถามซือเฟิง

“อือ เขานั้นมีอายุเท่ากันกับข้า สองปีก่อนได้เข้าร่วมกับกองทัพด้วยพลังขั้นก่อรวมระดับที่สาม ในขณะนี้เขาน่าจะเข้าถึงระดับที่แปดแล้ว”

ด้วยระยะเวลาเพียงไม่ถึงสองปีสามารถพัฒนาพลังขั้นก่อรวมขึ้นไปได้ถึงห้าขั้นย่อมต้องไม่ใช่ผู้คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน

“ไม่มีอันใด การเข้าร่วมกับกองทัพย่อมต้องเจอกับภารกิจที่เสี่ยงตายเป็นประจำอยู่แล้ว ก็เสมือนกับได้ฝึกฝนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง การก้าวกระโดดของระดับพลังย่อมถือเป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างยิ่ง” หลงเฉินพยักหน้า

“ถึงแม้ว่าเฝิงหยางผู้นั้นมีพลังการฝึกยุทธ์ที่ไม่สูงมาก แต่ว่าทั่วร่างกายกลับแฝงไปด้วยรังสีสังหารอยู่นับไม่ถ้วน ถือได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียวหากเป็นเด็กอมมือที่เติบโตขึ้นมาด้วยความทะนุถนอมย่อมจะเทียบเปรียบเอาได้”

ในขณะที่หลงเฉินฟังคำเล่าของซือเฟิงอยู่นั้นทางด้านบนของเวทีก็เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มทั้งสองคนขึ้นเฝิงหยางเริ่มเข้าประชิดที่อีกฝ่ายก่อนในทันที

พลังในการฝึกยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นต่างก็อยู่ในระดับเดียวกัน และอีกฝ่ายนั้นดูจะแข็งแกร่งกว่าเฝิงหยางเสียด้วยซ้ำไป แต่ทว่าพลังการต่อสู้นั้นช่างต่างกันยิ่งนักเฝิงหยางใช้ออกมาไม่ถึงสิบกระบวนท่าก็ทำอีกฝ่ายหนึ่งร่วงตกเวทีไปด้วยฝ่ามือเดียว

“แม้ว่าพลังในด้านของวิทยายุทธ์ของเขาจะไม่สูงมาก แต่กลับมีพลังการต่อสู้ที่มหาศาล มีอยู่ครู่หนึ่งที่เขาใช้เพียงพลังแห่งจิตวิญญาณอันน้อยนิดไหลเวียนออกมาจนทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายเกิดการสั่นเทาสูญเสียความเชื่อมั่นและลดทอนพลังการต่อสู้ลงไปแม้ยังไม่ได้ออกท่วงท่าใดใด

หากคิดที่จะเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งวิทยายุทธ์ให้ยาวไกลจำเป็นที่จะต้องมีใจฝักใฝ่ในเชิงยุทธ์ที่ว่ารบร้อยครั้งต้องชนะร้อยครั้ง ” หลงเฉินตบไปที่ไหล่ของซือเฟิงแล้วกล่าวออกมา

“ข้าทราบแล้ว ข้าต้องทำได้แน่นอนข้ายอมตายหากจะต้องถูกเหยียดหยาม”ซือเฟิงพยักหน้าไปมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

หลงเฉินหัวเราะแห้งๆ ออกมา ซือเฟิงเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างจำกัด หนทางแห่งการฝึกยุทธ์ย่อมถูกลดทอนไปไม่น้อย แต่จิตใจของเขานั้นมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมก็ย่อมทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายได้อย่างแน่นอน

“ปึก”

เฝิงหยางได้โค่นล่มยอดฝีมือลงติดต่อกันถึงสามคนแล้ว บัดนี้เขาถูกคู่ต่อสู้คนที่สี่เหวี่ยงคมหมัดใส่จนต้องกระเด็นถอยออกไป

“หลงเฉินข้าไปแล้วนะ”

“หือ?เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ? อาจต้องต่อสู้ติดต่อกันเจ้าจะทนไหวอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถามออกไปด้วยความกังวล

“ข้าคิดจะใช้การประลองในครั้งนี้เป็นเสมือนการฝึกฝนอย่างหนึ่ง ผลลัพธ์นั้นไม่สำคัญเท่ามีจิตที่มุ่งมั่นในเชิงยุทธ์” ซือเฟิงยิ้มกว้างแล้วตอบกลับไป

“เยี่ยม พวกเราจะเป็นกำลังให้เจ้าเอง” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างให้เกียรติ พวกเขาต่างก็จดจ่อต่อการลงมือของซือเฟิง

“สู้สู้”

หลงเฉินตบไปที่บ่าของซือเฟิงอีกครั้ง

“ซือเฟิงมาเพื่อขอรับคำชี้แนะ”

เสียงของซือเฟิงดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนั้นดั่งมีอสนีบาตผ่ากลางเวทีเสียงโห่ร้องจากผู้ชมรอบเวทีประลองดังขึ้นอีกครั้ง ซือเฟิงถือได้ว่าเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์แห่งจักรวรรดิเฟิงหมิงเลยก็ว่าได้ ชื่อเสียงของเขานั้นเลื่องลือและไม่ธรรมดาเลย

เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็ได้ส่งเสียงให้กำลังใจอีกแรงเสียงตะโกนเซ็งแซ่ที่แม้แต่ตัวของพวกเขาเองก็ยังฟังไม่ออก อดที่จะหันมาสบตากันแล้วหัวเราะออกมาไม่ได้

ซือเฟิงมีผิวพรรณดำคล้ำ ระดับพลังของเขานั้นช่างลึกล้ำเป็นอย่างยิ่งเมื่อเงาร่างของเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าของอีกฝ่าย ก็ได้ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับเขาลูกใหญ่ที่เต็มไปด้วยป่าอาถรรพ์อย่างไรอย่างนั้นไม่กล้าที่จะผลีผลามอันใดออกไป

บัดนี้ซือเฟิงกำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อรวมระดับเก้าผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นมีร่างกายสั่นเทาเมื่อเห็นซือเฟิงยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของเขา ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนได้คล้ายถูกผนึกไว้จากสิ่งเร้นลับบางอย่าง

“ลงมือเถิด ข้าจะใช้เพียงพลังของขั้นก่อรวมระดับที่เก้าเท่านั้น” ซือเฟิงยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าได้กลายเป็นหินไปแล้ว

แต่ชายผู้นั้นกลับเกิดโทสะอย่างเดือดพล่านเมื่อสิ้นเสียงของซือเฟิงรอบเวทีทางด้านล่างก็มีผู้คนมากมายถึงเพียงนั้นจะให้เขาลงจากเวทีไปตอนนี้ได้อย่างไรกัน

“ชิ ผู้ใดร้องขอให้เจ้าต่อให้กัน”

คนผู้นั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้น พลันก็ออกหมัดข้างหนึ่งพุ่งเข้าไปที่ร่างของซือเฟิงแต่ทว่าซือเฟิงกลับยืนแน่นิ่งคล้ายกับมองไม่เห็นคมหมัด

“คนอย่างเจ้านั้นห้าวหาญเกินตัวไปแล้วกระมัง?”

“ซูม”

ผู้คนมากมายคิดว่าซือเฟิงกำลังเป็นบ้าคล้ายสติจะล่องลอยออกไปจากร่างเสียแล้ว ชายผู้นั้นโจมตีไปที่ซือเฟิงด้วยคมหมัดที่พลิกแพลงไปมาอยู่สองสามครั้ง จนในที่สุดก็กระแทกเข้าไปที่ท้องน้อยของซือเฟิงอย่างแรง

“ผัวะ”

มือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งคว้าเข้าไปที่หมัดของคนผู้นั้นจนเกิดเสียงกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว  ซือเฟิงออกแรงบีบมือใหญ่ของเขาเข้ากับหมัดของอีกฝ่ายอย่างแรง

“ไสหัวไป”

“ซูม”

ร่างของชายผู้นั้นลอยคว้างอยู่ท่ามกลางอากาศไปไกลนับหลายสิบก้าวแล้วร่วงลงกระแทกกับพื้นดินอย่างรุนแรง ร่างนั้นคืบคลานอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด

แต่ก็ยังไม่วายหันมาหาซือเฟิงแล้วพ่นวาจาด่าทอออกมามากมายหลายคำแล้วก็สะบัดหน้าหนีไป ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองที่การประลองอีก

“ซือเฟิงช่างมีวิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจยิ่งนัก”

เจ้าอ้วนและพวกพ้องรีบคว้าโอกาสที่ผู้คนกำลังอึ้งทึ่งอยู่กับท่วงท่าสุดท้ายนั้นแล้วร้องตะโกนออกไปเป็นเสียงแรก หลังจากนั้นก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีตามมามากมาย

โดยเฉพาะเสียงเจื้อยแจ้วจากกลุ่มของหญิงสาวที่ดังขึ้นมาเซ็งแซ่จนทำให้หลงเฉินอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้คนมากมายถึงมุ่งหมายที่จะขึ้นไปประลอง นั่นก็เพราะว่าเวทีแห่งนี้สามารถแสดงพลังฝีมือได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นเลยทีเดียว

ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็ได้สัมผัสถึงกลุ่มพลังบางอย่างที่ถูกแผ่ออกมาจากบริเวณหนึ่งของจุดชมการต่อสู้ เขาหันไปมองยังทิศทางนั้นพลันสายตาก็ได้ประสานเข้ากับสายตาคู่งามของฉู่เหยาที่กำลังจ้องมองมาพอดี

หลงเฉินยิ้มให้ฉู่เหยาที่กำลังมีใบหน้าสีแดงก่ำขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างรีบก้มศีรษะลงเพื่อหลบหลีกสายตาของอีกฝ่าย ดวงตาของนางช่างงดงามเสียยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้า

ทว่าความบังเอิญของสายตาของทั้งคู่กลับฉายขึ้นมาในดวงตาของชายผู้หนึ่งที่เห็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม

เซี่ยฉางเฟิงมีอาการชาซ่านขึ้นมาทั้งใบหน้า เขาเค้นเสียงทุ้มต่ำออกมาจากลำคอแล้วถามไปทางด้านหลังว่า “ที่ให้เจ้าไปทดสอบความตื้นลึกของมันนั้นได้ความเป็นเช่นไร? พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้าง?”

“เรียนนายท่าน ผู้น้อยได้ตรวจสอบมาแล้วพบว่าเจ้าหนูผู้นั้นมีพลังการฝึกยุทธ์ที่แสนจะประหลาดพิสดาร อีกทั้งยังไม่แสดงพลังที่แท้จริงออกมาแต่อย่างใด แต่ดูจากพลังการต่อสู้แล้วจัดอยู่ในระดับพลังขั้นก่อโลหิตขั้นต่ำเท่านั้น” คนผู้นั้นกล่าวตอบกลับด้วยเสียงอันแผ่วเบา

หากหลงเฉินอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยคงจะพอฟังออกในสิ่งที่พวกเขากำลังสื่อสารกัน ตั้งแต่ช่วงเวลาที่หลงเฉินออกมาจากจวนมาถึงงานเทศกาลก็ถูกติดตามและลอบทำร้ายจากชายนิรนามผู้นี้นี่เอง

“ชิ เป็นช่นนั้นก็ดี หว่างซาน…วันนี้ข้าต้องการให้มันตาย และไม่ต้องการให้เจ้าเปิดเผยไพ่ตายออกไปมากนัก” เซี่ยฉางเฟิงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

หว่างซานอยู่ในชุดขององค์รักษ์ของจักรวรรดิต้าเซี่ย ที่ด้านข้างของเขานั้นมีชายหนุ่มที่มีรอยบากนั่งอยู่ด้วย ชายหนุ่มผู้นั้นแสยะยิ้มแล้วหันไปมองหว่างซาน “นายท่านโปรดวางใจ เขาจะต้องมีชีวิตไม่พ้นค่ำคืนนี้ไปได้อย่างแน่นอน”

“ปัง!”

ไม่อาจละสายตาจากการประลองไปได้เลย ซือเฟิงที่เข้าสู่ขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตได้นั้นก็ถือว่ามีความเก่งกาจอยู่ไม่น้อยแล้ว แต่บัดนี้กลับล้มคู่ต่อสู้ไปได้ทั้งหมดถึงสิบแปดคนติดต่อกัน ความแข็งแกร่งเช่นนี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว

ในส่วนของคู่ต่อสู้สองคนสุดท้ายเป็นยอดฝีมือในขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตอย่างแน่นอน และด้วยพลังการต่อสู้เช่นนั้นดูช่างห่างชั้นกับซือเฟิงอยู่พอตัว

ซือเฟิงสามารถที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตได้ก็เพราะว่ามีหลงเฉินคอยช่วยเหลือ ด้วยขอบเขตพลังที่เขามีอยู่ถือได้ว่ามากกว่าของผู้อื่นหลายเท่านัก

ในที่สุดยอดฝีมือขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตก็ถูกปะทะจนพ่ายแพ้ต่อซือเฟิง เขาตะโกนอยู่บนเวทีประลองออกมาเสียงดังกังวานอย่างเหลืออดติดต่อกันถึงสามครั้ง

ตามกฎของการประลองยุทธ์นี้ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว การจัดอันดับนักสู้แห่งเฟิงหมิงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกจากชัยชนะอันต่อเนื่องของซือเฟิงนั่นเอง

เสียงโห่ร้องก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง ซือเฟิงเดินไปคุกเข่าต่อหน้าของไทเฮา นางได้ส่งป้ายหยกแผ่นหนึ่งให้แก่ซือเฟิง จากนั้นก็ได้กล่าวอวยพรออกมาอีกหลายประโยค

ซือเฟิงเดินกลับขึ้นไปบนเวทีประลองอีกครั้งพร้อมกับชูป้ายหยกแห่งนักสู้อันดับหนึ่งขึ้นสุดแขน เรียกเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีอย่างคึกคักมากยิ่งขึ้น มีหญิงสาวหลายนางที่พยายามจะโยนดอกไม้จำลองที่ตนเองขึ้นไปบนเวทีประลองเพื่อมอบให้แก่ซือเฟิง

ดอกไม้จำลองนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสองมือของเหล่าหญิงสาว เป็นเสมือนสิ่งของแทนใจเพื่อต้องการเชื่อมความสัมพันธ์กับชายในดวงใจ หากว่าชายหนุ่มผู้นั้นรับเอาไว้ก็ถือเป็นการตอบรับความในใจของหญิงสาว

ในดอกไม้จำลองทุกอันต่างก็ได้สลักนามของเจ้าของเอาไว้เพื่อความสะดวกแก่การค้นหา จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงนั้นมีชายหนุ่มที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งส่วนใหญ่ก็มีภรรยามากมายอยู่แล้ว หญิงสาวเหล่านั้นจึงมักจะได้ตบแต่งกับชายหนุ่มที่มีครอบครัวแล้วเพื่อไปเป็นภรรยาน้อยมากกว่าตบแต่งกับผู้ที่ไม่มีความมั่นคง

ซือเฟิงเดินกลับลงมาหาหลงเฉินและพวกพ้อง ตลอดทั้งร่างถูกประดับเอาไว้ด้วยดอกไม้จำลอง เห็นก็แต่เพียงศีรษะที่ยังโผล่ออกมาให้เห็นได้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะเดินเหินไม่สะดวกเป็นแน่

“ฮาฮา ซือเฟิง ยินดีด้วย” หลงเฉินจ้องมองไปด้วยความปลาบปลื้มพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของชายหนุ่มผิวคล้ำ

“โหโห ซือเฟิง การกลับมาครั้งนี้ของเจ้าช่างดูยิ่งใหญ่นัก” เจ้าลิงผอมเผยสีหน้าแห่งความอิจฉาแล้วกล่าวออกมา

“ยิ่งใหญ่อันใดกัน ซือเฟิงไม่ใช่คนที่ไร้จิตใจเสียหน่อย ทว่าเจ้าต้องจัดการให้ดีล่ะว่าจะคัดเลือกภรรยากลับไปที่ห้องหอสักกี่คนดี” เจ้าอ้วนแผ่วเสียงลงในตอนท้ายของประโยค พลางหัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่ง

หญิงสาวมากมายที่ได้นำดอกไม้จำลองมามอบให้ซือเฟิงแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าต้องการที่จะตบแต่งกับซือเฟิง ขอเพียงซือเฟิงตอบรับเท่านั้น ส่วนสินสอดทองหมั้นก็มีบ้างพอเป็นพิธีให้สามารถแต่งได้ในเร็ววัน

ซือเฟิงมีใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “ซือเฟิงผู้นี้สามารถมีวันนี้ได้ด้วยความช่วยเหลือของหลงเฉิน ด้วยเหตุนี้พวกเราก็เอาดอกไม้จำลองเหล่านี้มาแบ่งกันเถิด”

“ครืน”

ทุกคนที่ได้ยินต่างก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ของเช่นนี้ผู้ใดจะเอามาแบ่งกันได้เล่า คงจะมีแต่เพียงซือเฟิงเท่านั้นคิดออกมาได้เช่นนี้

ซือเฟิงทอสีหน้าโง่งมออกมาครู่หนึ่งจนพวกพ้องต่างพรวดเสียงหัวเราะร่าออกมาให้กับความซื่อของสหายผู้นี้ ทันใดนั้นซือเฟิงจึงเริ่มเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เขาได้เอ่ยออกไปนั้นช่างโง่งมเสียจริงๆ

เดิมทีเมื่อการประลองได้จบลงจะถือเป็นการสิ้นสุดงานของเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิง ผู้คนมากมายต่างก็เริ่มทยอยกันออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เซี่ยฉางเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวออกมาว่า

“การประลองในครั้งนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผู้คนมากมายเกิดความครึกครื้นขึ้นมาได้ไม่น้อยเลย ผู้น้อยมีเรื่องที่อยากจะทูล ไม่ทราบว่าเห็นสมควรหรือไม่”

ไทเฮาขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างฉงนสงสัย เรื่องที่เกิดขึ้นมาในวันนี้ถือว่ามากเกินพอแล้ว เดิมทีงานเทศกาลคงรจบลงแต่โดยเร็ว แต่ว่าเซี่ยฉางเฟิงนั้นเป็นแขกจากต่างจักรวรรดิ นางจึงไม่อาจที่จะปฏิเสธเขาได้ จึงได้กล่าวถามออกไปว่า “องค์ชายเซี่ยต้องการสิ่งใดอย่างนั้นหรือ”

“เพื่อเพิ่มความคึกครื้นให้กับเทศกาลโคมไฟ ทางฝ่ายเราก็ได้จัดนักสู้รุ่นเยาว์ติดตามมายังเฟิงหมิงด้วยเช่นกัน จึงอยากจะขอเข้าร่วมการประลองกับเฟิงหมิงเพื่อดูว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งมากกว่ากัน” เซี่ยฉางเฟิงกล่าวด้วยวาจานอบน้อม

เว่ยชางสอดปากเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่รีรอให้ไทเฮาตอบกลับ “ต้าเซี่ยและเฟิงหมิงต่างก็นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน นี่จึงถือว่าเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เชื่อว่าไทเฮาคงจะไม่ปฏิเสธ”

ไทเฮาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด การใช้วาจาเช่นนั้นเป็นการบีบบังคับให้ยินยอมแต่โดยดีไม่ใช่หรือ หากว่านางไม่ยอมตกลงก็คงจะต้องมีปัญหากับเว่ยชางเป็นแน่

“ท่านปรมาจารย์กล่าวขึ้นมาได้ดียิ่ง ให้พวกเราเหล่าลูกผู้ชายแห่งต้าเซี่ยได้ประลองฝีมือบ้าง ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดต้องการจะขึ้นไปบนเวทีบ้าง”

“หว่างซาน เจ้าไปเถิด ลงมืออย่างไว้ไมตรีบ้าง อย่าได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บไปถึงภายใน” เซี่ยฉางเฟิงโบกมือไปมา

“ขอรับ” แล้วหว่างซานก็ก้าวเท้าเดินจากไปประดุจนกยักษ์กำลังโบยบินแล้วค่อยๆ ร่อนลงสู่กลางเวที

“หว่างซานแห่งต้าเซี่ย ต้องขอคำชี้แนะจากวีรบุรุษแห่งเฟิงหมิงเสียแล้ว” หว่างซานกอดอกแล้วตะโกนออกมาสุดเสียง

หลงเฉินปรายสายตาไปทางเจ้าลิงผอมที่อยู่ด้านหลัง เขาเข้าใจขึ้นมาได้ในทันทีจึงได้ตะโกนออกไปเสียงดัง “นี่ต้องมีสิ่งใดผิดพลาดอย่างแน่นอน เจ้ามีอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว แต่กลับเสแสร้งแกล้งตีหนังหน้าให้หนามากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง”

หว่างซานแสยะยิ้มขึ้นมา “ปีนี้ข้ามีอายุสิบเก้าปี สามารถนำบัตรทะเบียนราษฎร์มาเป็นเครื่องยืนยันได้ ทุกผู้คนแห่งจักรวรรดิต้าเซี่ยต่างก็ทราบกันเป็นอย่างดี”

เมื่อได้ยินหว่างซานเอ่ยความออกมาเช่นนั้น ทั่วทั้งสนามก็ต่างเข้าใจความนัยว่ามีบางคนที่เกิดมาแล้วดูสูงอายุอย่างไม่อาจเลือกได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด

“คุณชายหลงเฉิน ตั้งแต่ข้ามาเยือนจักรวรรดินี้ต่างก็ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาอย่างหนาหู ช่างน่านับถือยิ่งนัก ไม่ทราบว่าพอเป็นเกียรติของข้าที่จะได้ประลองกับท่านสักครั้งหนึ่งได้หรือไม่” หว่างซานมองไปที่หลงเฉินด้วยหมัดที่กำแน่นอยู่ข้างตัว

เสียงตะโกนของหว่างซานทำให้สายตาทุกคู่ทอเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั่วทั้งสนามประลองเกิดความแตกตื่นขึ้นมาเหมือนกับน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในกาอีกครั้ง

“หลงเฉิน”

“หลงเฉิน”

“หลงเฉิน”

เสียงเรียกขานนั้นมีทั้งสูง ทั้งแหลม และทุ้มต่ำปะปนกันไป เสียงฮึกเหิมที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว สายตาทุกคู่จ้องมาที่หลงเฉินอย่างมีความหวัง . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset