ประกายโลหิตหลายสายล่องลอยขึ้นทาทับท้องนภาอีกครั้ง ข้อมือหลายคู่ปลิวอยู่กลางอากาศ ด้วยพลังอันมหาศาลของสิ่งนั้นได้ฟาดลงจนแม้แต่พื้นแผ่นดินยังเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ เพียงครู่เดียวชายชุดดำเหล่านั้นก็ได้ถูกสังหารไปถึงเก้าคน หลงเหลือผู้รอดชีวิตอีกแค่สามคนเท่านั้น
นั่นก็เป็นเพราะว่าชายชุดดำที่เหลืออีกสามคนนั้นลงมือช้ากว่าเพียงเล็กน้อยด้วยความตกตะลึงในขวานยักษ์ที่ปรากฏขึ้นมาจึงได้รอดพ้นจากการประหารหมู่ในครั้งนี้ไปได้
หลังจากที่หลงเฉินได้จู่โจมออกไปครั้งหนึ่ง ภายในดวงตาคู่คมทั้งสองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี ยุทโธปกรณ์ชิ้นนี้มีน้ำหนักมากอย่างมหาศาล หนึ่งพลังที่กวัดแกว่งออกไปกลับสยบสิบสภาวะลงได้ แน่นอนว่าพลังที่แท้จริงของมันคงจะสามารถทำลายได้แทบทุกสิ่งให้ราบเป็นหน้ากลอง
ทว่าข้อเสียเพียงประการเดียวของขวานศึกเล่มนี้ก็คือเขาจำเป็นจะต้องใช้ทั้งสองมือในการกุมไปที่ด้ามขวาน เพราะหากใช้แค่มือข้างเดียวย่อมไม่อาจควบคุมทิศทางของมันได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังไม่มีขุมพลังที่มากพอที่จะถือด้วยมือข้างเดียวได้
ขวานศึกเล่มนี้มีพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งก็จริงอยู่ ทว่าหลงเฉินก็ได้ออกแรงมากจนเกินไปจึงรู้สึกชาซ่านขึ้นมาถึงแขน
“ต่อไปก็จะขอน้อมส่งพวกเจ้าไปหายมบาลพร้อมกัน”
หลงเฉินส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา พลันก็ใช้มือทั้งสองข้างค่อยๆ ยกขวานใหญ่ขึ้น เมื่อเห็นเช่นนั้นชายชุดดำทั้งสามคนจึงค่อยได้มีปฏิกิริยากลับคืนมาแล้วออกแรงสลับขาวิ่งหนีจากไป ทอดทิ้งให้ร่างของสหายนอนจมกองโลหิตอยู่ที่เดิม
เมื่อมองไม่เห็นเงาร่างทั้งสามที่ลับหายไปแล้ว หลงเฉินก็ได้ถอนลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับย้ายบั้นท้ายลงไปนั่งที่ด้านบนของหัวขวาน เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะออกไล่ตามต่อไป
ไม่ใช่ว่าไม่คิดที่จะไล่ตาม ทว่าไล่ตามไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ด้วยน้ำหนักเช่นขวานศึกเบิกภูผาเล่มนี้ที่ได้ถูกกวัดแกว่งออกมาด้วยท่าทีที่ผิดพลาดไปจนข้อมือทั้งสองข้างเกือบจะหลุดออกมา อีกทั้งที่ยกขวานยักษ์ขึ้นมาก็เพื่อต้องการให้เกิดความแตกตื่นก็เท่านั้น หากพวกเขาไม่ยอมหลบหนีไปเมื่อครู่นี้ คงจะต้องเป็นตัวของเขาเองที่หลบหนีแทน
หลงเฉินบีบนวดไปที่ข้อมืออยู่สองสามครั้งก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง ทันใดนั้นเองก็ได้หันไปกล่าวกับป่าต้นสนที่อยู่ด้านข้าง “ท่านก็ได้มองดูอยู่เนิ่นนานแล้ว สมควรที่จะออกมาสนทนากันสักสองสามคำจะดีหรือไม่”
ที่ป่าสนผืนนั้นยังคงไร้ซึ่งซุ่มเสียงอยู่นานหลายลมหายใจ หลงเฉินจึงแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับหยิบโอสถสีแดงเม็ดหนึ่งวางไว้ที่นิ้วแล้วดีดจนพุ่งออกไปกระทบเข้ากับบางอย่างในใจกลางของกลุ่มต้นสน
“ปึก”
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวบริเวณที่โอสถเม็ดเล็กตกลงไป ควันสีแดงโชยพัดไปทั่วทั้งผืนฟ้าเข้าปกคลุมไปในระยะร้อยช่วงตัวอย่างรวดเร็ว
นั่นคือโอสถพิษเม็ดหนึ่งที่ไม่เพียงแต่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ ทว่ายังสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้เช่นกัน ครั้งนี้เขาจึงใช้ออกมาเพื่อปกป้องชีวิต และเขามีโอสถที่ดียิ่งกว่าแล้วโอสถเม็ดนี้จึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
“ซูม”
เงาร่างสายหนึ่งก็ได้ทะยานออกมาจากป่าสน หมายมั่นที่จะจากออกไปไกลในทันที
“ทางที่ดีเจ้าอย่าได้วิ่งหนีไปเลย ไม่เช่นนั้นภายในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปดับ พิษจะล่ามเข้าสู่หัวใจจนตายลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเลยล่ะ” หลงเฉินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทันใดนั้นเองเงาร่างสายนั้นก็หยุดนิ่งลง ในขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าหลงเฉินจะใช้กำลังต่อเขาหรือไม่อยู่นั้น ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะอยู่ต่อ
“ฝีมือของซื่อจื่อช่างน่านับถือยิ่งนัก”
คนผู้นั้นค่อยๆ ก้าวเท้าออกมาพร้อมกับแสดงกิริยาท่าทีมีมารยาท เขาน่าจะมีอายุสามสิบกว่าปี รูปร่างผอมโซเล็กน้อย ใบหน้าเรียวเล็กไม่มีความโดดเด่นอันใด หากอยู่ภายในฝูงชนก็ยากที่จะหาตัวเจอได้
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน?” หลงเฉินมองไปยังร่างของผู้มาเยือน
“ขอเรียนซื่อจื่อ ข้าน้อยมีนามว่าเฉินเฟย โหวเยว่ได้ส่งให้ผู้น้อยมาเฝ้าติดตามและคุ้มครองฮูหยินกับซื่อจื่อ” เฉินเฟยกล่าวอย่างนอบน้อม
“บิดาของข้า? มีหลักฐานยืนยันหรือไม่?” หลงเฉินเกิดอาการทั้งตกใจทั้งยินดีขึ้นมา ทว่ายังจำเป็นจะต้องทราบโดยกระจ่าง
ชายหนุ่มผู้นั้นนำเอาสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นส่งให้หลงเฉิน “นี่เป็นของที่ระลึก หากจะกล่าวไปก็ช่างละอายใจยิ่งนัก สิ่งของชิ้นนี้คิดว่าซื่อจื่อจะต้องจดจำได้อย่างแน่นอน”
หลงเฉินรับสิ่งของชิ้นนั้นมาวางไว้ในมือ กลิ่นคาวเปรี้ยวโชยมาเตะจมูกเป็นสาย ของสิ่งนั้นเป็นกระบี่ไม้ด้ามหนึ่ง นับตั้งแต่จำความได้นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกที่บิดาได้มอบให้เขา ในช่วงเวลาที่เขามีอายุเพียงแค่สองขวบเท่านั้น เขาดีใจอย่างลิงโลดพร้อมกับถือมันกระโดดไปมาอย่างวุ่นวายราวกับว่าตัวเองได้กลายเป็นสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า
และในช่วงเวลานั้นบิดาได้อยู่เป็นเล่นกับเขามาตลอด ดวงตาอันอุบอุ่นของบิดาได้มองการฟาดฟันไปทั่วของเขา อีกทั้งมารดาก็แอบยืนส่งยิ้มอยู่ทางด้านข้างเสมอ ครอบครัวสามชีวิตมีความเป็นอยู่ที่อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อย ของเล่นเพียงชิ้นเดียวย่อมไม่สามารถคงอยู่ด้วยรสชาติที่สดใหม่ได้ยาวนาน หลังจากที่เขาหลงใหลในดาบหอกอันใหม่ก็ลืมเลือนไปว่ากระบี่ไม้นั้นถูกทิ้งเอาไว้ในที่แห่งใดไปแล้ว
หลงเฉินจ้องมองไปยังกระบี่ไม้ที่อยู่ในมือ เนื้อไม้ของกระบี่ยังคงทอประกายความสดใหม่อยู่ นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าผ่านการขัดถูดูแลมานับพันหมื่นครั้ง
“หลายปีมานี้โหวเยว่มักจะนึกถึงซื่อจื่อและฮูหยินอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่อาจที่จะพาฮูหยินและซื่อจื่อมาอยู่ร่วมด้วยได้
ทว่าหากโหวเยว่ได้ทราบว่าซื่อจื่อในตอนนี้ได้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องยินดีเป็นอย่างยิ่งแน่นอน” เฉินเฟยกล่าว
หลงเฉินก็ได้ค่อยๆที่จะเก็บกระบี่เอาไว้อย่างดี เกี่ยวกับข่าวคราวของบิดา นี้ยังเทียบได้ว่าน่ายินดีเสียกว่าเรื่องที่เขาสามารถที่จะทะลวงขอบเขตพลังไปได้มากยิ่งกว่าเสียอีก
หลายปีที่ผ่านมานี้บิดาไม่เคยส่งข่าวคราวใดใดกลับมาโดยทั้งสิ้น เขาได้แต่สงสัยมาโดยตลอดว่าบิดาไม่ต้องการพวกเขาทั้งสองแม่ลูกแล้วหรืออย่างไร ทว่าก็ไม่ได้ชิงชังในตัวบิดาแต่อย่างใด
วันนี้ที่เขาได้ยินคำพูดของเฉินเฟย ความอัดอั้นภายในจิตใจที่ถูกบ่มเพาะมาอย่างเนิ่นนานก็ได้ถูกเปิดออก ในเวลาเดียวกันก็ได้เกิดความรู้สึกละอายแก่ใจขึ้นมาส่วนหนึ่ง ดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นที่เขามีต่อบิดายังห่างไกลจากมารดาอยู่ไม่น้อยเลย
“ติดตามข้ากลับไปที่จวนเถิด ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องการจะปรึกษาหารือกับเจ้าอย่างละเอียด” หลงเฉินกล่าว เขาตอนนี้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด ทว่าเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่อจากนี้ได้
“ซื่อจื่อ เชื่อข้าน้อยเช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ?” เฉินเฟยเกิดสีหน้าฉงนสงสัยขึ้นมา
“แน่นอนว่าต้องเชื่อ หากเมื่อครู่นี้เจ้าได้กล่าววาจาโป้ปด ก็คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง . .