“เช้ง”
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งถูกชักออกมาเสียงดังประดุจมังกรคำรามใต้พิภพ ประกายของคมกระบี่อันเย็นเยียบได้แผ่ซ่านไปทั่งทุกสารทิศ พลังกดดันอันมหาศาลที่คล้ายกับว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้วได้พวยพุ่งเข้าไปหาฮาฉีอย่างรวดเร็ว
ฮาฉีกวาดหมัดข้างหนึ่งแหวกม่านสายลมด้วยพลังที่หมายจะให้กลุ่มคนเหล่านั้นกลายเป็นชิ้นเนื้อละเอียด ทว่าเขากลับร้อนรุ่มขึ้นมาภายในจิตใจเมื่อการรับรู้อันสูงล้ำของเขาได้สัมผัสเข้ากับพลังคุกคามที่มหาศาลกำลังพุ่งเข้ามาทางทิศทางหนึ่ง จึงไม่รีรอที่จะหันกระบวนท่าเข้ารั้งสภาวะอีกทางทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ปึง”
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจากหมัดของฮาฉีที่กำลังต้านคมกระบี่เล่มหนึ่งเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ทว่าบนตัวกระบี่เล่มนั้นกลับมีพลังอันน่าหวาดกลัวสถิตอยู่อย่างมหาศาลจนทำให้ร่างของเขาถอยหลังออกไปหลายสิบจั่งทำให้เขาตกใจขึ้นมาเสียยกใหญ่
ทันทีที่หยุดร่างกายเอาไว้ได้แล้ว ฮาฉีก็ได้จ้องเขม็งตรงไปยังเป้าหมายใหม่ กลับพบว่าที่เบื้องหน้าสายตาของเขาปรากฏเป็นร่างของสตรีผู้เยาว์นางหนึ่งที่กำลังสวมอาภรณ์ประจำราชวงศ์สีขาว บนศีรษะเกล้าผมมวยที่สูงจนสะดุดตา ช่างสูงส่งเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดที่เขาเคยประสบพบเจอมา
“องค์หญิงสาม?”
ซือเฟิงและพวกพ้องส่งเสียงออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ หญิงสาวที่ถือกระบี่ยาวอยู่ในมือและกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในตอนนี้คือองค์หญิงสามแห่งจักรวรรดินามว่าฉู่เหยานั่นเอง
“พวกเจ้าระวังตัวด้วย อย่าได้ใจร้อนไป พวกเราจะต้องประวิงเวลาเอาไว้ เพื่อรอจนกว่าหลงเฉินกลับมา” ฉู่เหยากวัดแกว่งกระบี่ยาวแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ซือเฟิงและพวกพ้องพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย จากนั้นสหายสองคนในกลุ่มก็ได้ก้าวออกมาเพื่อดึงสหายผู้หนึ่งที่บาดเจ็บจากการถูกหอกยาวแทงจนลมหายใจแทบจะโรยรินลงไปแล้ว
ซือเฟิงรีบล้วงเอาโอสถออกมาเม็ดหนึ่งแล้วป้อนให้กับเขาในทันที ถึงแม้ผลลัพธ์จะไม่มากมายจนทำให้ฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม ทว่าก็เพียงพอที่จะต่อลมหายใจให้กับเขาได้
ถึงแม้ว่าทุกคนต่างก็ทราบดีอยู่แล้วว่าการกระทำเช่นนี้เสมือนการก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความตายไปครึ่งตัวแล้ว ทว่าตามความสัตย์แล้วก็ไม่มีผู้ใดที่อยากจะตาย และเมื่อพบว่าฉู่เหยาสามารถยับยั้งการโจมตีของยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นจนถอยไปได้จึงเหมือนกับมาเพิ่มความหวังที่จะมีชีวิตรอดอันน้อยนิดของพวกเขาให้มากขึ้น
การปรากฏตัวของฉู่เหยาทำให้ผู้คนทั่วทั้งบริเวณตื่นตะลึงกันไปถ้วนหน้า รวมไปถึงเซี่ยโหยวอวี่และองค์ชายสี่ต่างก็ทอสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองไปทางฉู่เหยา
ทันใดนั้นเองเซี่ยโหยวอวี่ก็นึกถึงเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้แล้วชี้นิ้วไปที่ฉู่เหยา ด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่บมไปด้วยอารมณ์ที่เหนือความคาดหมาย “เจ้าทลายผนึกเก้ามังกรได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่เหยายกปลายกระบี่ยาวชี้ไปที่ใบหน้าของเซี่ยโหยวอวี่แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “พวกสัตว์เดรัจฉานจากขุมนรก วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่พวกเจ้าเคยก่อเอาไว้”
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าผนึกเก้ามังกรนั้นคือสิ่งใด ทว่านางก็เข้าใจได้ทันทีว่าเซี่ยโหยวอวี่หมายถึงลมปราณประหลาดทั้งเก้าสายที่ผนึกจุดตันเถียนของนางเมื่อช่วงก่อนหน้านี้นั่นเอง
หากไม่ใช่เป็นเพราะหลงเฉินได้ชุบชีวิตใหม่ของนางขึ้นมา ก็คงต้องพบเจอกับความอเนจอนาถไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน อีกทั้งคงจะต้องถูกผู้อื่นหลอกใช้โดยที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง เพียงแค่นึกขึ้นมาถึงตรงนี้เพลิงโทสะภายในร่างกายของนางก็แทบจะระเบิดออกมาแล้ว
“ชิ ดูจากสภาวะของเจ้าแล้ว ก็เพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นก็เท่านั้น แม้แต่พลังของตัวเองก็คงจะไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ ยังกล้าพูดออกมาให้มากความอยู่อีกอย่างนั้นหรือ? ฮาฉีจัดการนางซะ” เซี่ยโหยวอวี่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
องค์ชายสี่เกิดความฉงนสงสัยต่อวาจาของเซี่ยโหยวอวี่ยิ่งนัก ทว่าเมื่อมองไปยังร่างบางของฉู่เหยากลับรู้สึกว่าความเชื่อมั่นภายในจิตใจของตัวเองกำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัยที่เข้าคุกคามจิตใจของเขาแล้ว
ขณะเดียวกันภายในห้วงแห่งความคิดของเขาก็ได้ปรากฏเป็นภาพใบหน้าของหลงเฉิน เพราะนับตั้งแต่หลายวันก่อนจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวของเหลงเฉินเลย จึงทำให้สภาวะจิตใจของเขาคล้ายกับมีขวากหนามคอมทิ่มแทงอยู่อย่างไรอย่างนั้น การปรากฏตัวของฉู่เหยาก็ยิ่งทำให้ขวากหนามนั้นทวีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ชิ จะให้ข้าเล่นกับองค์หญิงแห่งเฟิงหมิงอย่างนั้นหรือ”
ฮาฉีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ แขนทั้งสองข้างขยับเขยื้อนไหมาอยู่ครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นเส้นเอ็นที่ปูดโปนขึ้นมาพร้อมกับพลังอันมหาศาลที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเงาร่างสายนั้นก็ได้พุ่งคมหมัดออกมาอย่างรวดเร็ว
สายลมที่พวยพุ่งออกมาจากหมัดข้างนั้นพัดโบกเข้าไปที่ร่างของฉู่เหยาจนอาภรณ์ยาวสีขาวพลิ้วไหวไปมา เห็นได้ชัดว่าฮาฉีงัดเอาพลังที่แท้จริงออกมาใช้แล้ว
“เชอะ”
ฉู่เหยาประจันหน้ากับกำปั้นของฮาฉีที่พุ่งเข้ามา พลันก็ได้ลากเท้าเพื่อเบี่ยงตัวหลบจากหมัดของฮาฉีแล้วฟาดกระบี่ยาวในมือไปที่คอของยอดฝีมือในทันที
ฮาฉีหัวเราะออกมาอีกครั้ง และไม่ได้หลบเลี่ยงการโจมตีของฉู่เหยาแต่อย่างใด ทว่าบนฝ่ามือของเขากลับปรากฏประกายแสงสีเหลืองสายหนึ่งขึ้นมา แล้วฟาดลงไปที่กระบี่ยาวของฉู่เหยาอย่างรุนแรง
“ปัง”
ฉู่เหยารับรู้ได้ถึงขุมพลังอันยิ่งใหญ่ไหลทะลักเข้ามาในร่างกายแล้วก็ได้ลอยถอยออกไปทางด้านหลังในเวลาเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย
ที่เซี่ยโหยวอวี่ได้กล่าวเอาไว้เมื่อครู่นั้นไม่มีผิดเพี้ยนเลย ฉู่เหยานั้นเพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น อีกทั้งยังเป็นการทะลวงในแบบที่ไม่ทราบสาเหตุจึงไม่กล้าวู่วามที่จะลงมือต่อชายผู้นั้น
อีกทั้งหลังจากที่นางทะลวงพลังขึ้นไปแล้วกลับไม่มีโอกาสที่จะฝึกฝนการปะทุและควบคุมพลังของตัวเองขึ้นมาได้อย่างเหมาะสม นี่จึงกลายเป็นข้อจำกัดอันใหญ่หลวงของนางก็ว่าได้
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นด้วยแล้วย่อมต้องเสียเปรียบอย่างไม่ต้องกล่าวอันใด อีกทั้งฉู่เหยาก็แทบจะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียวเลย
“ชิ ก็แค่ร่างที่ว่างเปล่า เช่นนั้นเจ้าก็มอบชีวิตให้แก่ข้าซะ” ฮาฉีระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ได้มีรู้สึกรักและชื่นชอบต่อบุบผาที่อยู่ตรองหน้าเลยแม้แต่น้อย พลันก็ได้พุ่งหมัดที่สองออกไป
ในช่วงเวลาขณะที่ฉู่เหยาตระเตรียมที่จะต้านทานเอาไว้นั้นเองทันใดนั้นเองก็ได้มีลูกกลมๆประกายแสงสีแดงลอยเข้ามาปะทะเข้าไปยังบนหมัดของฮาฉี
“ตูม”
เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากหมัดของฮาฉีอีกครั้งเช่นกัน ทว่ากลับให้ความรู้ที่แตกต่างงออกไป บนกำปั้นของเขาราวกับถูกห่อหุ้มด้วยลาวาอันร้อนฉ่าอย่างไรอย่างนั้น แล้วร่างของเขาก็กระเด็นออกไปไกล
“ลงมือต่อเด็กสาวอย่างรุนแรงเช่นนี้ ท่านไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงยานคางของเฒ่าชราผู้หนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางหมอกควัน เงาร่างสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมาจนชัดเจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งลานประหารตกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“ปรมาจารย์หวินฉี?”
ฉู่เหยาร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตื่นตกใจเช่นกัน ในที่สุดปรมาจารย์หวินฉีก็ได้ลงมือในช่วงที่สถานการณ์เริ่มคับขันแล้ว
“หวินฉี เจ้าเป็นถึงผู้นำของชุมนุมผู้หลอมโอสถย่อมไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องภายนอกเช่นนี้ เจ้าไม่เกรงกลัวต่อบทลงโทษจากทางชุมนุมอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยโหยวอวี่กล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ที่เจ้ากล่าวมานั้นไม่ผิด คนของชุมนุมผู้หลอมโอสถไม่อาจสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอกได้”ปรมาจารย์หวินฉียิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็ได้หันหน้ากลับไปทางด้านหลัง “ซุนเมียน”
“ขอรับ”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์ประจำของศิษย์หลอมโอสถเร่งฝีเท้าแหวกกลุ่มคนออกมาจากบริเวณที่อยู่ไกลออกไป แล้วมาหยุดอยู่ต่อหน้าปรมาจารย์หวินฉีพร้อมทั้งยกมือขึ้นมาคารวะอย่างนอบน้อม
ปรมาจารย์หวินฉีโบกมือออกไปแล้วสิ่งของชิ้นหนึ่งก็ได้ลอยไปหาซุนเมียน ชายวัยกลางคนผู้นั้นรับของชิ้นนั้นมาดูอยู่ชั่วครู่ จากนั้นใบหน้าของเขาก็ปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาอย่างล้นหลาม
“ซุนเมียน ข้าขอมอบป้ายคำสั่งสืบทอดชุมนุมให้แก่เจ้า ตอนนี้เจ้าก็คือผู้นำชุมนุมผู้หลอมโอสถแล้ว”ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ใต้เท้า……” ซุนเมียนตื่นตกใจขึ้นมาในทันที
ปรมาจารย์หวินฉีโบกมือไปมาเพื่อให้ซุนเมียนหยุดกล่า “ตอนนี้ข้าไม่ใช่ผู้นำของชุมนุมอีกต่อไปแล้ว และชุมนุมของพวกเรานั้นก็มีกฎที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อยู่ ถ้าหากเจ้ายังนับถือข้าก็อย่าได้ขัดขวางข้าเลย”
ซุนเมียนมองไปยังป้ายคำสั่งที่อยู่ในมืออีกครั้ง เขาไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดี เกรงว่าเรื่องราวในวันนี้คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
“ตอนนี้ข้าไม่ใช่คนของชุมนุมผู้หลอมโอสถอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็สามารถสอดมือเข้ามาได้แล้วใช่หรือไม่” ปรมาจารย์หวินฉีกยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าปรมาจารย์หวินฉีจะยอมสละตำแหน่งและอำนาจจากทางชุมนุมเพื่อช่วยเหลือตระกูลหลง เมื่อไม่มีอำนาจคุ้มครองจากทางชุมนุมแล้วหากเขาถูกสังหารไปก็ไม่ต้องไล่ล่าฆาตกร
“แน่นอนว่าย่อมได้ ข้ารอวันนี้มาเนิ่นนานแล้วเหมือนกันหวินฉี เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังไปเลยจริงๆ”
ต้นเสียงนั้นดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของลานประหาร เงาร่างสายหนึ่งย่างฝีเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ จนเผยให้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยจนทำให้ผู้คนทั้งหลายส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เว่ยชาง”
ปรมาจารย์หวินฉีและเว่ยชางนั้นต่างก็มีความแค้นที่ยังรอวันสะสางมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว อีกทั้งยังเคยประมือกันในเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงอยู่ช่วงหนึ่งด้วย ทว่าในครั้งนั้นพวกเขาต่างก็ออมมือกันเอาไว้อยู่ส่วนหนึ่ง
เมื่อนำวาจาของเว่ยชางผนวกเข้ากับการปรากฏตัวของปรมาจารย์หวินฉีก็คาดเดาได้เลยว่าวันนี้พวกเขาคงจะต้องต่อสู้กันอีกรอบอย่างแน่นอน
“เฒ่าชราอีกผู้หนึ่งนั้นเป็นใครกัน?” ผู้คนบางส่วนหันเหสายตาไปยังร่างของเฒ่าชราอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายของเว่ยชางตั้งแต่ต้น
“ข้าทราบ เขาคือหวังลู่หยาง เป็นผู้หลอมโอสถด้วยเช่นกัน” คนที่เคยเข้าร่วมงานการประมูลที่หมู่ตึกฮวาหวินจดจำขึ้นมาได้จึงบอกกล่าวออกไป
ในงานประมูลที่หมู่ตึกฮวาหวินเมื่อนานมาแล้วหวังลู่หยางได้วางตัวเป็นอย่างดีอยู่ตลอด ทว่าเขากลับเปิดเผยตัวตนออกมาเมื่อเห็นโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกปรากฏขึ้นมาในช่วงสุดท้ายของการประมูล
ทว่าในวันนี้เหตุใดหวังลู่หยางถึงได้มายืนอยู่กับเว่ยชางได้ ฉากเบื้องหน้าในตอนนี้ช่างทำให้ผู้คนมากมายประหลาดใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
เมื่อปรมาจารย์หวินฉีเห็นเว่ยชางเดินออกมาจากกลุ่มคนก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนอารมณ์ของเขาไปเลยแม้แต่น้อย พลันก็ได้มองไปที่หวังลู่หยางอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หวังลู่หยางยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “ว่าไปแล้วข้านั้นไม่ได้คิดที่จะเป็นศัตรูกับท่านปรมาจารย์ ทว่าน่าเศร้าที่ข้ากลับมีความแค้นที่ยากจะคลี่คลายกับพี่เว่ยอยู่จึงจะต้องเป็นศัตรูกับท่าน”
“หวินฉี กล่าววาจาไร้สาระให้มันน้อยลงเสียบ้าง ส่งมอบของสิ่งนั้นมา ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าจะส่งเจ้าไปลงหลุมด้วยตัวเอง” เว่ยชางแผดเสียงออกมาอย่างเหลืออด
“ขณะนี้เจ้าได้หลุดพ้นจากการเป็นคนของชุมนุมผู้หลอมโอสถแล้ว เช่นนั้นฆ่าเขาซะ ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องหวาดกลัว”
ปรมาจารย์หวินฉีมองไปยังองค์ชายสี่ที่อยู่ในบริเวณที่ห่างไกลด้วยความข้องใจอยู่ส่วนหนึ่ง แล้วกล่าวตอบออกไปด้วยความเคารพ “องค์ชายสี่ช่างเป็นมังกรในหมู่มนุษย์อย่างแท้จริง การคาดเดาของท่านช่างเป็นสิ่งที่ควรนับถือเป็นอย่างยิ่ง”
องค์ชายสี่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่กล่าวชมเชย นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“องค์ชายสี่คาดเดาได้อย่างกระจ่างแจ้งถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าเคยได้ยินคำพูดบางอย่ามาก่อนหรือไม่?” ปรมาจารย์หวินฉีถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ออ? ขอท่านช่วยชี้แนะด้วย”
“โชคชะตาไม่สู้สวรรค์เป็นผู้กำหนด” ปรมาจารย์หวินฉีฉีกยิ้มเล็กน้อย
องค์ชายสี่ค่อยๆ หรี่ตาลง ภายในจิตใจรู้สึกร้อนรนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อได้ยืนประโยคนั่นจากฝีปากของปรมาจารย์หวินฉี
“หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“องค์ชายสี่เปี่ยมไปด้วยอัจฉริยภาพ เหตุใดจึงไม่เข้าใจความหมายของวาจาสามัญประโยคหนึ่งกัน? หรือเป็นเพราะว่าเจ้าฟังเข้าใจแล้ว?” ปรมาจารย์หวินฉียังคงมีสีหน้าที่ราบเรียบ
องค์ชายสี่ทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันก็คิดว่าแผนการของเขานั้นสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ ทว่ากลับยังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
การเปลี่ยนแปลงแรกก็คือยิงฮวาพ่ายแพ้กลับมาจากการลอบสังหารหลงเฉิน ถึงแม้ว่ายิงฮวาจะกล่าวว่าหลงเฉินนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต ทว่าเขากลับรู้สึกว่าหลงเฉินนั้นคงจะไม่ตายอย่างง่ายดายแน่นอน เช่นนั้นเขาจึงส่งขุนนางหมานฮวงออกไปเสาะหาอีกครั้ง
ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่สองก็คือผนึกเก้ามังกรภายในร่างกายของฉู่เหยาถูกปลดออกอย่างไร้วี่แวว อีกทั้งยังสามารถทะลวงไปถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้อีก ถึงแม้ว่าพลังของนางจะไม่ได้น่ากลัวมากนัก ทว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างมาก
และในขณะนี้ปรมาจารย์หวินฉีก็คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าได้นำพาตัวเองมาอยู่ในหลุมพรางที่มุ่งสู่เส้นทางแห่งความตาย ทว่าเฒ่าชราผู้นี้ก็ยังคงนิ่งเฉยและเยือกเย็นอยู่ ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งยังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาส่วนหนึ่ง
เข้าเคยเป็นแค่หมากตัวหนึ่งมาแล้ว ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะหลุดออกมาจากกระดานจนกลายเป็นผู้วางหมากเสียเอง ฉะนั้นเขาย่อมไม่ต้องการที่จะกลับไปเป็นตัวหมากบนกระดานอีกต่อไปแล้ว
“แผนการของพวกเจ้านั้นช่างน่าขบขันยิ่งนัก เพื่อผลลัพธ์อันน้อยนิดกลับต้องสูญแรงไปมากมายและยังเปล่าประโยชน์ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นตัวโง่งมที่แท้จริงเชียวล่ะ” ปรมาจารย์หวินฉีส่ายหน้าไปมาและยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในที่สุดองค์ชายสี่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ใบหน้าเหยเกรวมกับสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อจ้องเขม็งไปที่ปรมาจารย์หวินฉี “เจ้าทราบอย่างนั้นหรือ?”
ปรมาจารย์หวินฉีเพียงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและไม่ได้กล่าววาจาอันใดออกมาอีก
ดวงตาขององค์ชายสี่ค่อยๆ กวาดมองไปยังผู้คนโดยรอบ จากนั้นก็ได้สงบสติลงแล้วกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาหาเจ้าแล้วยังจะขู่ขวัญผู้คนอยู่อีกหรือ ปรมาจารย์เว่ยชาง ท่านยังรออันใดอยู่อีกเล่า?”
เว่ยชางยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เห็นแก่ความเป็นสหายเก่าสหายแก่ ก่อนที่ข้าจะส่งเจ้าไปสู่ห้วงแห่งความตาย ก็จะอนุญาตให้เจ้าได้สั่งเสียสักเล็กน้อยก่อน”
“ซูม”
เว่ยชางปะทุเปลวเพลิงขึ้นมาห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างกาย ในมือข้างหนึ่งก็ได้มีหอกยาวปรากฏขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความน่าหวาดกลัวของเฒ่าชราผู้นี้ ทันใดนั้นเองความร้อนอันแรงกล้าก็ได้พุ่งไปทางปรมาจารย์หวินฉีด้วยความรวดเร็วสูงสุด
หวังลู่หยางเองก็ไม่รอช้า เขาเรียกเกราะเปลวเพลิงชิ้นหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือผนวกกับดาบยาวเล่มหนึ่ง ติดตามเงาร่างของเว่ยชางออกไปในทันที
ความร้อนอันแรงกล้าแผดเผาออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้สภาวะอากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวของขุมพลังสองสาย
แววตาของปรมาจารย์หวินฉีก็ได้ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มเหยียดขึ้นที่มุมปาก: ในที่สุดคนที่ข้ารอคอยก็มาถึงแล้ว คงจะถึงเวลาชำระบุญคุณและสะสางความแค้นกันเสียที
“ตูม”
ปรมาจารย์หวินฉีพลิกทั้งสองแขนขึ้นเกิดเป็นเปลวเพลิงอันแรงกล้าที่น่าหวาดกลัว เพลิงกาฬขุมนั้นปะทุความร้อนสูงขึ้นจนเป็นวังวนแผ่กระจายไปทั้งแปดด้าน ความรุนแรงของมันท่วมท้นเสียจนสามารถเผาผลาญได้ทุกสิ่งอัน
“เว่ยชาง จงตายไปเสียเถิด”….