เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 305 ล้อมคอกก่อนวัวหาย

 

“เด็กน้อยหลงเฉินผู้นี้ ช่างมีความสามารถมากจริงๆ แต่ว่าไอ้หนูอย่างเจ้าก็ไม่เลวเลยนะ”

 

ชางหมิงทอสีหน้าชื่นชมแล้วตบไปที่หัวไหล่ของหลิงหวินจื่อ ตั้งแต่ที่เขากลับมาถึงหมู่ตึก เรื่องแรกที่เขาได้ยินก็คือ หมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกยกพวกเข้ามาท้าสู้ถึงถิ่น

 

และก็เป็นไปตามที่หลิงหวินจื่อและถู่ฟางคาดเดาเอาไว้ ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ ชางหมิงก็ระเบิดโทสะขึ้นมาในทันที เขาถึงกับคิดที่จะบุกไปยังหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกเพื่อคิดบัญชี

 

หลิงหวินจื่อและถู่ฟางจึงต้องรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นและผลลัพธ์ของเรื่องนี้ออกมา ชางหมิงจึงสงบลงได้

 

ในระหว่างเล่าเรื่องนั้น สิ่งที่ทำให้ชางหมิงสามารถอดทนฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้จนจบ ก็คือวีรกรรมการประลองยุทธ์ของหลงเฉินและพรรคพวก ที่สามารถ ‘ขับไล่’ เด็กน้อยของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกออกไปได้ การขับไล่ที่ทำให้คนเหล่านั้นแทบหาทางกลับไม่ถูก ซึ่งเมื่อชางหมิงได้รับรู้เรื่องราวจนจบก็รู้สึกยินดียิ่งนัก เขาหัวเราะเสียงดังยกใหญ่และดีใจจนกระโดดโลกเต้นไปทั่ว

 

หลิงหวินจื่อกับถู่ฟางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อมองเห็นชางหมิงออกอาการไม่คล้ายกับเป็นผู้อาวุโสแม้แต่น้อยเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะทอสีหน้าประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย โดยเฉพาะหลิงหวินจื่อนั้น ในห้วงความทรงจำของเขา คับคล้ายว่านี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นซางหมิงมีความสุขได้ถึงเพียงนี้

 

ไม่นานนักชางหมิงก็สงบจิตสงบใจลงไปได้ เขากล่าวต่อหลิงหวินจื่ออย่างเปรมปรีว่า “เสี่ยวหวินจือ ข้าจะบอกเจ้านะ นับตั้งแต่ศิษย์พี่สิ้นใจไป นี้ถือเป็นครั้งแรกที่ข้ามีความสุขได้ถึงเพียงนี้

 

ความสุขของข้านั้น ไม่เพียงแต่แค่เรื่องที่หมู่ตึกได้คนที่มีพรสวรรค์อย่างหลงเฉินเข้ามาเท่านั้น แต่เจ้าหนูอย่างเจ้าเองก็มีส่วนด้วย

 

เจ้าทราบหรือไม่ ? เมื่อจิตใจของเจ้าถูกปิดกั้นไป ก็ไม่ต่างอะไรไปจากกระบี่ของเจ้าได้ขึ้นสนิมแล้ว เจ้าที่ถือเป็นมือกระบี่ ก็ไม่ต่างอะไรไปจากทุพพลภาพไปแล้ว

 

ก่อนหน้านี้อาจารย์อาไม่ว่าจะดุหรือว่าจะด่าเจ้าอย่างไร แต่ว่าเจ้ากลับเอาแต่ปิดหูปิดตา วันๆเอาแต่คิดหาวิธีที่จะเพิ่มอันดับของหมู่ตึกอยู่เพียงอย่างเดียว จนไม่อาจที่จะบรรลุความปรารถนาของอาจารย์เจ้าได้สำเร็จ

 

ชื่อเสียงนั้นมีความสำคัญถึงเพียงนั้นจริงอย่างนั้นหรือ ? เพราะเรื่องนี้ ข้าถึงได้จงใจวิ่งไปหน้าหลุมศพอาจารย์เจ้าแล้วด่าทออยู่หลายวันเลยทีเดียว”

 

หลิงหวินจื่อเมื่อฟังชางหมิงจนถึงตรงนี้ ก็ทอสีหน้าประหลาดมากขึ้นอีก แต่ทว่าภายในจิตใจของเขา กลับรู้สึกตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าอาจาร์อาท่านนี้จะมีโทสะขึ้นมาได้ง่าย ทั้งยังไม่ชมชอบการกล่าวอ้างด้วยเหตุผล แต่ก็มีความจริงใจต่อเขาอยู่ไม่น้อย

 

แล้วชางหมิงก็กล่าวต่อไปอีกว่า “ภายหลังข้าเห็นว่าเจ้ายิ่งถลำลึกลงไปเรื่อยๆ จนไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ข้าก็รู้สึกร้อนใจยิ่งนัก แต่ว่าก็ไม่อาจทำอะไรได้

 

ดังนั้นในภายหลัง ทุกครั้งเมื่อข้าพบเจ้า ข้าก็อดรู้สึกหงุดหงิดในใจไม่ได้ จึงเห็นข้าด่าทอไม่ไว้หน้าเจ้า เพราะด้วยพรสวรรค์อย่างเจ้า กลับต้องสูญเปล่าไปเช่นนี้ นั่นทำให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก”

 

“อาจารย์อา……ข้า ข้า ต้องขออภัยต่อท่านด้วย……” หลิงหวินจื่อเมื่อย้อนนึกถึงในช่วงที่ยังเยาว์วัย ก็พบว่าเป็นชางหมิงที่ทะนุถนอมดูแลเขามาโดยตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้า แล้วกล่าวขอขมาชางหมิงด้วยน้ำเสียงสะอื้น

 

ในยามนั้น อาจารย์อาผู้นี้ยังปกป้องเขาเสียยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก เมื่อเขาทำผิดและถูกอาจารย์ลงโทษ ซางหมิงก็ยังคิดที่จะเอาเรื่องกับอาจารย์ของเขา

 

“เด็กดี ดีแล้วที่ทุกอย่างผ่านไปได้แล้ว ตอนนี้ได้รู้ว่าเจ้ามีความเชื่อมั่นกลับคืนมา อีกทั้งยังกลับคืนมาเป็นหลิงหวินจื่อที่สะท้านไปทั้งฟ้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาจารย์อาย่อมต้องมีความสุขมากกว่าสิ่งใดอยู่แล้ว” ชางหมิงตบเบาๆไปที่บ่าของหลิงหวินจื่อแล้วกล่าวออกมา

 

“ทั้งหมดนั้น นับว่าข้าติดค้างหลงเฉินแล้ว ถ้าหากมิใช่เป็นเพราะหลงเฉิน ข้าเองก็ไม่อาจที่จะทราบว่า ตัวข้านั้นได้บังเกิดจิตมารขึ้นมา” หลิงหวินจื่อถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว

 

คิดคิดดูตนเองก็ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน การที่เป็นถึงระดับเจ้าสำนัก ทั้งยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าแห่งยุค กลับบังเกิดจิตมารขึ้นมาได้ ทั้งยังไม่อาจที่จะรู้ตัวอีกด้วย

 

ก่อนอาจารย์จะจากไป ก็ได้ฝากฝังหมู่ตึกไว้กับเขา ทั้งยังขอให้เขาช่วยดูแลหมู่ตึกให้ดี ในใจของเขาจึงคิดที่จะดูแลหมู่ตึกให้ดีที่สุด ซึ่งนับตั้งแต่อาจารย์จากไปเขาก็พยายามทำทุกทางเพื่อสลัดความอับอายในสามพันปีที่ผ่านมานี้ทิ้งไปให้ได้

 

ซึ่งเขาไม่แม้แต่จะทราบหรือแม้แต่จะรู้สึกตัวเลยว่า นั่นได้กลายเป็นการสร้างโซ่ตรวนขึ้นมาล่ามตนเองไว้ และโซ่ตรวนนี้ ในทุกครั้งที่เกิดความล้มเหลวขึ้น ก็ยิ่งรัดตัวเขาแน่นขึ้นด้วย

 

จนท้ายที่สุดก็ถึงกับรัดจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ประดุจดั่งความตาย ในเวลาเดียวกันก็ยังได้ฉุดรั้งกระบี่รักของเขาไปด้วย ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่เขาจดจำขึ้นใจว่าตนเองนั้นคือเจ้าสำนัก และลืมเลือนนามแห่งการเป็นมือกระบี่ที่เหี้ยมหาญของตนเองไปเสีย

 

เมื่อหลงเฉินได้ปรากฏตัวขึ้นมา จึงค่อยจะทำให้เขาได้สติและเข้าใจขึ้นมาได้ เส้นทางที่หลงเฉินเหยียบย่างผ่านไปนั้นเต็มไปด้วยซากศพของยอดฝีมือนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังคงมุ่งหน้าสร้างปาฏิหาริย์และยังคงก้าวเดินต่อไป

 

เขาไม่ทราบว่าตนเองนั้นคือผู้พิสดาร ยิ่งไม่ทราบชะตาชีวิตของตนเองอีกด้วย แต่ว่าเขากลับยังมีความกล้าที่จะเข้าไปชิงชัย เข้าไปเผชิญหน้าต่ออันตรายทั้งปวงอย่างกล้าหาญ

 

ในบรรดาสิ่งที่หลงเฉินได้กระทำมาทั้งหมด มีกี่เรื่องกันที่คนปกติจะทำ และจะมีคนปกติสักกี่คนที่กันที่จะทำเช่นเดียวกับเขาได้ ? ซึ่งในยามที่หลงเฉินทำเรื่องไม่ปกตินั้น แม้แต่คิ้วก็ยังไม่ขมวดแม้แต่น้อยเลยสักครา

 

ตั้งแต่เริ่มหลิงหวินจื่อก็ไม่ได้ชมชอบการกระทำของหลงเฉินแม้แต่น้อย ทั้งยังคิดว่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งโง่งมและมุทะลุ หาใช่สิ่งที่ผู้มีความคิด มีสติปัญญาดี จะกระทำกันไม่

 

นับตั้งแต่เริ่มเขายังคิดว่า นี่คงจะเป็นชะตาชีวิตของผู้พิสดาร ที่จำเป็นจะต้องท้าทายวิถีแห่งสวรรค์ และผลสุดท้ายก็คงมีแต่ต้องตายตกไปเท่านั้น

 

แต่ว่าหลังจากที่หลงเฉินได้แสดงปาฏิหาริย์หลายต่อหลายครั้งขึ้นมาด้วยมือของตนเอง ในที่สุดหลิงหวินจื่อจึงได้กระจ่างแจ้งแก่ใจขึ้นมาว่าตนเองนั้นคิดผิดไป ทั้งยังผิดอย่างไม่มีเหตุผลอีกด้วย

 

เช่นไรจึงจะเป็นสิ่งที่เรียกกว่าผู้ฝึกยุทธ์ ? ผู้ฝึกยุทธ์ก็ควรที่จะมุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าที่ด้านหน้าจะเป็นขุนเขาดาบคมหรือว่าจะเป็นทะเลเพลิง มิเช่นนั้นจะฝึกยุทธ์ไปทำไมกัน ?

 

ถ้าหากไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น แล้วจะต้องฝึกยุทธ์อย่างลำบากลำบนเพื่ออะไรกัน มิสู้เป็นคนธรรมดาที่มีอายุยืนร้อยกว่าปี มิใช่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ ?

 

ในเมื่อเลือกเส้นทางของวิทยายุทธ์นี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจว่าเส้นทางนั้นจะยาวไกลแค่ไหน การทราบว่าตัวเองจะสามารถเฉิดฉายในเส้นทางของตนเองได้หรือไม่และอย่างไรต่างหาก นั่นจึงจะถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

 

เมื่อมองดูภาพสะท้อนจากตัวของหลงเฉิน เพียงครู่เดียวหลิงหวินจื่อก็ได้เข้าใจขึ้นมาได้ ตนเองไม่ใช่แต่เป็นเพียงเจ้าสำนักผู้หนึ่ง แต่เขายังเป็นถึงมือกระบี่อีกด้วย การที่เขาตกอยู่ในความลุ่มหลงของชื่อเสียงเช่นนี้ ยังสามารถที่จะเรียกขานตนเองว่าเป็นมือกระบี่ได้อีกอย่างนั้นหรือ ?

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดของมือกระบี่ก็คือสหายคู่ใจ ซึ่งก็คือกระบี่ยาวในมือของเขานั่นเอง ทว่าเขากลับทำให้สหายรักของตนเองต้องเปื้อนฝุ่น เขรอะสนิมมานานหลายปี จนตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจขึ้นมาได้

 

ดังนั้นหลิงหวินจื่อจึงได้ฟื้นคืนสถานะมือกระบี่ของเขาขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งเขายังได้กลับไปเป็นหลิงหวินจื่อผู้น่าเกรงขามเช่นในสมัยก่อนผู้นั้นอีกด้วย

 

ถ้าหากก่อนหน้านี้โล่วปิงไม่ยินยอมที่จะก้มหัวยอมรับว่าตนเองนั้นคือสุกร หลิงหวินจื่อย่อมต้องสะบัดกระบี่ตัดศีรษะของนางลงมาอย่างแน่นอน เขาหาได้ต้องการเพียงแค่จะข่มขู่โล่วปิงไม่

 

เขาในตอนนี้ หาใช่เป็นเพียงแค่เจ้าสำนักเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นมือกระบี่ผู้หนึ่งด้วย ในเวลานี้พันธนาการในใจของเขาได้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่ว่าจะกระทำเรื่องใดก็จะไม่หดหัวหดหางอีกต่อไปแล้ว นี่จึงถือเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา

 

ชางหมิงพินิจดูหลิงหวินจื่อ หลิงหวินจื่อในเวลานี้คล้ายกับแม่ทัพสวรรค์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เปี่ยมไปด้วยพลังที่สะท้านไปทั้งเก้าชั้นฟ้า เขาเองก็ได้เกิดความยินดีขึ้นมาภายในใจ

 

“ยอดมาก ยอดมากๆ หากมีหลงเฉินกับเจ้าอยู่เช่นนี้ อันดับของหมู่ตึกพวกเรา จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็คงจะไม่ถูกต้องแล้วละ ฮ่าฮ่า” ชางหมิงดีใจจนต้องยิ้มกว้าง กล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ

 

“ทว่าเรื่องนี้ กลับไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น”

 

หลิงหวินจื่อส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว “หลังจากที่โล่วปิงพ่ายแพ้ไป ข้าก็จงใจส่งถู่ฟางเพื่อไปลอบสืบข่าวคราวจากสาขาหลักมา”

 

ในวันที่โล่วปิงกลับออกไป หลิงหวินจื่อกับถู่ฟางก็ได้ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขารู้สึกได้ว่าเรื่องเช่นนี้ น่าจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาแอบแฝงอยู่

 

พวกเขากับหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกนั้นถือได้ว่าไม่เคยมีความแค้นใดๆต่อกันมาก่อน ต่อให้โล่วปิงมาหาเรื่องเพราะเรื่องแผ่นป้ายของศิษย์ชั้นเลิศ ก็คงจะไม่อาจที่จะนำพากองทัพศิษย์ออกมาจากหมู่ตึกได้มากมายถึงเพียงนี้ ในชั่วพริบตาแน่

 

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด จำนวนของศิษย์สายตรง ไม่เคยมีเกินนับด้วยนิ้วมือจากมือข้างเดียวมาก่อน ผู้อยู่เหนือขอบเขตนั้นยิ่งแล้วใหญ่ หลายสิบปีจึงปรากฏขึ้นมาเพียงแค่คนสองคนเท่านั้น

 

โล่วปิงนั้น เพียงครู่เดียวก็สามารถรวบรวมชักนำผู้อยู่เหนือขอบเขตมาได้ถึงสี่คน อีกทั้งในกลุ่มคนเหล่านั้นยังมีผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศอยู่ด้วย ต่อให้คิดที่จะโอ้อวดแสนยานุภาพ ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นจัดขบวนที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้

 

ย้อคิดดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยความน่าสงสัย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ถู่ฟางจึงได้ลอบไปที่สาขาหลักอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะสืบหาข้อมูลกลับมา

 

และก็เป็นเช่นที่หลิงหวินจื่อกับถู่ฟางได้คาดเดาเอาไว้ การเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่อให้มีอำนาจที่จะบังคับลูกศิษย์ให้ปิดปากเงียบ แต่การจะหยุดสายลมที่กรรโชกแรงนั้น ไม่ได้ทำได้อย่างง่ายดายเลยแม้แต่น้อย

 

เพราะท่ามกลางหมู่ตึกสาขาต่างๆ ศึกการแย่งชิงห้าสิบอันดับแรกถือได้ว่าดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง ทุกหมู่ตึกต่างก็ถูกผู้คนจับตามองอยู่ โดยเฉพาะคนจากหมู่ตึกที่เป็นคู่แข่ง

 

แต่ก็ช่วยไม่ได้ หมู่ตึกใหญ่เหล่านั้น มีจำนวนคนอย่างน้อยก็สิบหมื่นคน ที่มากก็ถึงกับมีถึงร้อยหมื่นคนเลยทีเดียว คิดที่จะส่งผู้สอดแนมเขาไปก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย การทำเช่นนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากความฝันเลยทีเดียว

 

ถึงแม้โล่วปิงจะนำพาทุกคนย้อนกลับไปยังหมู่ตึกของนางทั้งหมด แต่ว่าในวันที่สองก็ยังมีข่าวแพร่กระจายออกมาว่า ทางหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกได้มีผู้อยู่เหนือขอบเขตสองคนถูกทุบตีจนสาหัส ทั้งยังมีผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศถูกทุบตีจนพิการไปด้วย

 

เมื่อข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไป ก็ทำให้หมู่ตึกสาขาทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหลช่วงหนึ่ง แต่ละสาขาต่างก็พยายามสืบหารายละเอียด ผลสุดท้ายความมุ่งมั่นของมนุษย์ก็ยังคงทรงพลังอยู่อย่างไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้ความสงสัยแล้ว ไม่ว่าจะมีกำแพงเช่นไรขวางกั้นอยู่ก็ย่อมถูกทลายไปได้

 

สุดท้ายแล้วรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันนั้น ก็ได้ถูกเล่าลือออกไป ยิ่งกว่านั้นยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่มีกำลังมากพอ ถึงกับสามารถนำหยกบันทึกภาพมาได้อีกด้วย

 

จำนวนคนที่ทราบเรื่องราว เพิ่มจากหนึ่งกลายเป็นสิบ จากสิบกลายเป็นร้อย จนในที่สุดก็ราวกับว่าไม่มีคนใดที่ไม่ทราบอีกต่อไปแล้ว ทุกคนทราบว่าในเวลาที่ทางหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกได้พบเห็นภาพที่ถูกบันทึกเอาไว้ในวันนั้น ก็เรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาได้เลยทีเดียว

 

เพราะจากมุมของภาพที่เห็นนั้น ผู้บันทึกภาพจะต้องยืนอยู่ในจุดที่ศิษย์ทางฝั่งหมู่ตึกอันดับที่สามสิบหกยืนอยู่ หรือจะกล่าวก็คือ หยกบันทึกภาพชิ้นนั้น ถูกศิษย์ของทางฝ่ายพวกเขาเองเป็นคนเผยแพร่ออกไปนั้นเอง

 

ถึงแม้ในเวลานั้นโล่วปิงจะพยายามที่จะปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้ โดยได้ยึดหยกบันทึกภาพของทุกคนเอาไว้ด้วยทว่าคนที่มีความคิดย่อมต้องมีอยู่มากมาย มิใช่มีเพียงแค่โล่วปิงเพียงคนเดียว ศิษย์คนหนึ่งคิดขึ้นมาได้ ได้ทำการเปิดหยกบันทึกภาพเอาไว้ถึงสองชิ้น ชิ้นหนึ่งมอบให้เบื้องบนไปอีกชิ้นเก็บไว้กับตัว

 

ผลสุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้พิสูจน์ความจริงข้อหนึ่งให้เป็นที่ประจักษ์ขึ้นมา นั่นก็คือ ‘โอกาสนั้นมีไว้เพื่อให้คนที่มีการเตรียมความพร้อม’ ศิษย์ผู้นั้นได้ลอบเอาหยกบันทึกภาพออกไปขาย ได้กำไรมากมายมหาศาล

 

ไม่แต่เพียงแต่สามารถขายหยกบันทึกภาพชิ้นนั้นออกไปได้ ยังมีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขบขำแทบตายอีกด้วย สิ่งนั้นก็คือ ทางหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก ต่อให้พลิกแผ่นดินควานหายังไงก็ไม่อาจตรวจสอบมาถึงตัวเขาได้

 

ในระยะเวลาไม่นาน ความเก่งกาจของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด ก็ได้กลายเป็นประเด็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงอย่างยิ่งขึ้นมา มีหมู่ตึกไม่น้อยที่ได้ส่งผู้อาวุโสมาเพื่อเยี่ยมเยียน

 

ทว่าถึงแม้ปากจะกล่าวว่ามาเพื่อเยี่ยมเยียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็เพื่อที่จะมาสืบเรื่องราวของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด และดูลาดเลาของพวกเขานั่นเอง เพื่อที่จะได้รู้แน่ชัดว่าข่าวที่แพร่ออกมานั้นเป็นจริงหรือเท็จกันแน่

 

ถ้าหากเป็นหลิงหวินจื่อก่อนหน้านี้ ย่อมต้องต้อนรับขับสู้พวกเขาอย่างเป็นมิตรแน่นอน เพราะถ้าหากสามารถที่จะสร้างสัมพันธ์ไมตรีกับหมู่ตึกอื่นๆได้มากยิ่งขึ้น ก็ย่อมมีส่วนช่วยเหลือในการพัฒนาหมู่ตึกของตนเองในภายภาคหน้าได้เป็นอย่างมากแน่นอน

 

ทว่าหลิงหวินจื่อในขณะนี้ ที่ได้ฟื้นคืนความเด็ดเดี่ยวของมือกระบี่กลับมาแล้ว หากเป็นเพียงแค่การมาเยี่ยมเยียนปกติธรรมดา ก็มีแต่จะถูกทิ้งไว้ที่นอกประตูไปในทันที แม้แต่ประตูใหญ่ก็ยังมิให้ย่างกรายผ่านเข้ามา

 

นั่นจึงทำให้มีผู้อาวุโสบางคน เกิดโทสะจนถึงขั้นด่าทอออกมาในทันที กล่าวว่า หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดช่างไม่รู้จักสัมมาคารวะ กล่าวหาว่ามีจิตใจของคนถ่อยกันเลยทีเดียว

 

ทว่าหลิงหวินจื่อกลับไม่ได้ให้ความสนใจคนเหล่านั้น คิดที่จะมาสืบข่าวของทางหมู่ตึกพวกเรางั้นหรือ ? เจ้าก็รอดูก็แล้วกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร ?

 

ขณะนี้หลิงหวินจื่อเองก็เลิกสนใจการจัดอันดับของหมู่ตึกไปแล้ว เขาเพียงแต่เป็นห่วงในความสำเร็จของลูกศิษย์ เขาไม่ต้องการให้มีเรื่องอื่นใดมารบกวนจิตใจของนักสู้เหล่านี้ จนกลายเป็นทำให้เหล่าลูกศิษย์ของเขาเข้าใจการฝึกยุทธ์ผิดแผกไป

 

ถู่ฟางที่ได้สืบข่าวอยู่ที่สาขาหลักมาระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดเนื่องจากสามารถสานสัมพันธ์ไมตรีกับ ‘ผู้มีพลังฝีมือแข็งกล้า’ ผู้หนึ่งได้ จึงได้ทำการตกลงแลกเปลี่ยนกันเล็กๆน้อยๆ จนทราบข่าวได้มาว่า

 

หลังจากที่โล่วปิงได้กลับมาถึงหมู่ตึก ยังไม่ครบแม้เพียงหนึ่งชั่วยาม นางและเกอเกอ(พี่ชาย)ของนาง ก็ได้ไปยังหมู่ตึกที่หนึ่งพร้อมกัน

 

เมื่อได้รับรู้ข่าวเช่นนั้น ถู่ฟางก็เริ่มรู้สึกถึงเคล้าลางไม่ดีบางอย่าง จึงได้เร่งย้อนกลับมาเพื่อรายงานกับหลิงหวินจื่อ และทั้งสองคนต่างก็รู้สึกได้ถึงภาระที่หนักหนามากขึ้น

 

“พวกเจ้าหมายถึง เรื่องนี้น่าจะเป็นหมู่ตึกที่หนึ่งเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นรึ ? ” ชางหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม

 

“น่าจะมีแปดเก้าส่วนได้” หลิงหวินจื่อพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบ

 

หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด เมื่อเทียบกับหมู่ตึกอื่นๆแทบจะไม่มีการเฉลิมฉลองเลยด้วยซ้ำ ต่อให้คิดที่จะมีการฉลอง ก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ โดยเฉพาะกับการคงอยู่ของทั้งห้าสิบอันดับต้นๆ

 

มีแต่เพียงครั้งนี้ที่เป็นเรื่องการยื่นขอแผ่นป้ายศิษย์ชั้นเลิศให้แก่หลงเฉิน กับหมู่ตึกที่หนึ่ง เรื่องแค่นี้ถือได้ว่าเป็นการกระทบขัดแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เล็กน้อยจนแทบจะไม่ถือว่าเป็นผลกระทบกับหมู่ตึกที่หนึ่งเลยก็ว่าได้

 

ถู่ฟ่างเมื่อยื่นคำขอครั้งแรกไม่ผ่าน ก็ได้เอาหลักฐานออกมา เพื่อยื่นขอเป็นครั้งที่สอง จากนั้นก็เป็นอย่างที่ทราบกัน ว่าแผ่นป้ายนั้นไม่มีเหลือแล้ว และเมื่อในวันต่อมา ทางหมู่ตึกที่หนึ่งก็ได้มีการเกิดขึ้นของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศคนที่สี่ขึ้นมา แล้วยังถึงกับคิดที่จะทำให้หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดถูกเยาะเย้ยถากถาง ว่ามาหลอกลวงแผ่นป้ายของศิษย์ชั้นเลิศผู้นั้นไป นั่นก็ได้กลายเป็นข่าวแพร่สะพัดออกไปแล้ว

 

นับจากหัวจรดหาง ถู่ฟางนอกจากจะทอสีหน้าปั้นยากแล้ว ก็หาเคยได้กล่าววาจาร้ายกาจกับหมู่ตึกที่หนึ่งมาก่อน การที่ต้องมาตกเป็นเหยื่อเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องเลวร้ายนัก และเรื่องนี้ก็ถูกจดเป็นบัญชีแค้นใจเขาเอาไว้แล้ว ความแค้นที่แทบจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเกือบจะอกแตกตายได้เลยทีเดียว

 

“ให้ตายเถอะ ทำเกินไปแล้ว นี้มันข่มเหงกันมากเกินไปแล้ว คิดว่าพวกเรานั้นข่มเหงได้ง่ายอย่างนั้นรึ ? ” ชางหมิงเมื่อฟังจบก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาลอย่างหนัก

 

“อาจารย์อา ท่านเองก็ทราบ ด้วยอุปนิสัยของหลงเฉิน หลังจากที่ได้เข้าสู่แดนลับแล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง ดังนั้น……” หลิงหวินจื่อกล่าวออกมาราวกับมองเห็นอนาคต

 

“วางใจเถอะ เมื่อถึงเวลาผู้ใดหาญกล้าที่จะข่มเหงทารกน้อยผู้นี้ ข้าจะทุบมันผู้นั้นให้บี้แบนเอง กระดูกชราอย่างข้าที่เป็นอาจารย์อาเจ้า ก็สมควรที่จะขยับเขยื้อนบ้างแล้ว” ชางหมิงก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

.

.

ช่องทางการจัดจำหน่าย : https://novelrealm.com/detail.php?novel=22 <<< (ถึงตอนที่ 1044 แล้วครับ)

ฝากแฟนๆกดติดตามหรือกดLikeเพจเคล็ดกายานวดาราด้วยครับ >>> 9 ดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset