“ตูม”
“แย่แล้ว”
หลงเฉินก็ไม่อาจที่จะควบคุมพลังแห่งจิตวิญญาณเอาไว้ได้อีก เตาโอสถก็ได้ระเบิดขึ้นภายในพริบตา จนกลายเป็นพลังระเบิดอันมหาศาล ซัดหลงเฉินจนกระเด็นลอยออกไปในทันที
“จบสิ้นแล้ว”
หลงเฉินเกิดอาการซึมเศร้าขึ้นมา เขาดูแคลนโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้าจนเกินไป ผลสุดท้ายกลายเป็นเกิดความผิดพลาดที่ต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดก็ล้มเหลวไปแล้ว
ไม่ถูกต้อง !
ทันใดนั้นหลงเฉินก็รีบขึ้นไปทางด้านหน้าโดยพลัน พุ่งเข้าไปยังใจกลางของโพรงหญ้าที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ในที่ตรงนั้นได้มียาโอสถขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งกลิ้งอยู่ตรงนั้น
“สำเร็จแล้วอย่างงั้นหรือ ? ”
หลงเฉินแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง ยาโอสถขนาดใหญ่ที่ถือได้ว่าใหญ่กว่าไข่เป็ดเกือบเท่าตัว ที่ด้านบนยังเปล่งประกายเป็นสีแดงระเรื่อวนเวียนขึ้นมา กลิ่นหอมของโอสถก็ได้โชยเข้ามาถึงจมูก ทว่าใจกลางกลิ่นหอมของโอสถกลับแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือดอยู่เล็กน้อย
“อีกทั้งยังเป็นระดับสูงอีกด้วย”
เมื่อหลงเฉินได้มองไปยังโอสถยักษ์ที่อยู่ในมืออย่างละเอียด นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินหลอมโอสถยักษ์นี้ขึ้นมา
นี่เป็นสิ่งที่เกิดจากความคิดของหลงเฉิน โดยส่วนผสมของโอสถยักษ์นั้นทั้งมีน้อยทั้งยังหายากเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็น *แมวตาบอดที่พบเจอกับซากหนู จนถึงกับหลอมขึ้นมาสำเร็จจริงๆ
โอสถยักษ์ภายในความทรงจำของหลงเฉินนั้น ต่างก็เป็นยาโอสถระดับสูงถึงระดับเจ็ดขึ้นไป เห็นได้ชัดว่าโอสถยักษ์ในมือของเขาแทบจะไม่อาจเทียบเคียงได้เลย
ถึงจะไม่ทราบว่าโอสถยักษ์ของตนเองเม็ดนี้จะจัดอยู่ในขั้นใด ทว่าก็ยังมีส่วนที่สามารถยืนยันได้ว่า หากมันสามารถกลายเป็นโอสถขึ้นมาได้นั่นก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้แล้วว่าส่วนสำคัญของโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้าเหล่านั้นย่อมต้องเพิ่มสูงขึ้นนับสิบเท่าเลยทีเดียว
นี้ก็เป็นความน่ากลัวของผู้หลอมโอสถ ตามปกติวัตถุดิบที่แสนล้ำค่าเพียงชิ้นเดียว ที่แต่เดิมมีพลังปราณอยู่ด้วย หากว่าเป็นคนปกติที่กินเข้าไป อย่างมากก็สามารถที่จะดูดซับฤทธิ์ยาไปได้ประมาณสองส่วนเท่านั้น
ส่วนสำคัญโดยส่วนมากก็จะไร้ค่าไป แต่ว่าหากผ่านการหลอมจากผู้หลอมโอสถ ก็จะสามารถที่จะเพิ่มเกณฑ์การชักนำ หนุนเสริม ซึมซับยาโอสถได้ จนสามารถเพิ่มพูนพลังปราณแต่เดิมของวัตถุดิบขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว
แต่ว่าหากเป็นการผสมโอสถตามปกติ ที่ได้ถูกสืบทอดมานับแต่โบราณกาล ก็จะไม่ทราบว่ามีวิธีการทำเช่นนี้ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญโอสถโดยทั่วไปหากเข้าสู่ช่วงเวลาของการทดสอบ จะมีแต่ให้ผู้เข้าสอบหลอมตามรายการโอสถ และมิได้บอกถึงปริมาณวัตถุดิบ จึงทำให้เกิดความยากในการฝึกหลอมโอสถแบบแทบเป็นแทบตายเลยทีเดียว
เพราะหากให้ตัวอย่างที่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมจะทำให้เกิดโอสถระเบิดได้ง่าย หรือไม่ก็กลายเป็นหลอมโอสถไร้ค่าขึ้นมาแทน และระหว่างการหลอมโอสถหากมีวัตถุดิบผิดแม้แต่อย่างเดียว ก็ไม่อาจที่จะสำเร็จเป็นโอสถขึ้นมาได้
หลงเฉินที่ได้อาศัยความคิดเพ้อเจ้อบวกกับความทรงจำที่ร้ายกาจของจักรพรรดิโอสถ เมื่อรู้สึกว่าวิธีเช่นนี้สมควรที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าความจริงแล้วโอกาสในการสำเร็จแทบจะมีไม่ถึงหนึ่งส่วนเลยด้วยซ้ำ
การหลอมสร้างโอสถยักษ์ขึ้นนั้น ถือได้ว่าเป็นความยากที่เพิ่มขึ้นมาหลายร้อยเท่า หรือจะกล่าวว่าโอสถยักษ์เม็ดนี้ เป็นไปตามที่หลงเฉินได้สวดภาวนาอ้อนวอนเอาไว้ แล้วสวรรค์ท่านก็คงหูตามืดบอดขึ้นมาจริงๆ
“เด็กน้อยที่ดี ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ของเล่นในครั้งนี้จะกินได้หรือเปล่านะ ? ”
ขณะที่มองไปยังพลังมหาศาลที่คล้ายกับจะทะลักออกมาจากโอสถยักษ์ เขาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
แต่มิได้ง่ายดายเพียงแค่นั้น ยังได้แฝงเอาไว้ด้วยส่วนสำคัญถือเป็นยาโอสถที่เหนือกว่าปกติอยู่หลายสิบเท่า ภายในความทรงจำของหลงเฉินโอสถยักษ์โดยส่วนมากกลับไม่ได้มีไว้เพื่อกินแต่อย่างใด
“โบร๋วโบร๋ว”
ในเวลานี้เสี่ยวเสว่ยก็ได้มาถึงกายหลงเฉิน เมื่อมองไปยังโอสถยักษ์ในมือหลงเฉิน ก็ได้ส่งเสียงร้องออกมา
“ถือได้ว่าสำเร็จแล้ว ทว่าของชิ้นนี้กลับอยู่เหนือความคาดหมายของข้าไปจนสิ้น คาดว่าคงจะมีฤทธิ์ยาที่รุนแรงจนน่าหวาดกลัวเลยทีเดียว อาจจะถึงขั้นรุนแรงกว่าที่คิดไว้อีกหลายสิบเท่าเลยก็ว่าได้”หลงเฉินกล่าวออกมา
ของสิ่งนี้เดิมทีหลอมมาเพื่อหลงเฉิน แต่นับตั้งแต่แรกเริ่มที่พบเห็นเลือดของยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าของฝ่ายอธรรม หลงเฉินก็ได้นึกถึงเสี่ยวเสว่ยขึ้นมา
ด้วยส่วนสำคัญจากโลหิตของยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าหลอมรวมจนกลายเป็นยาโอสถ แน่นอนว่าย่อมที่จะมีโอกาสพัฒนาขีดจำกัดของร่างกายไปได้
พลังอันมหาศาลชนิดนี้หากมองในสภาพร่างกายของเผ่ามนุษย์ ย่อมเป็นเรื่องที่ยากจะแบกรับเอาไว้ นอกเสียจากว่าจะมีร่างกายที่เป็นอย่างอาหมานกับหลงเฉินเท่านั้น
ทว่าการใช้เลือดของมนุษย์มาหลอมเป็นยาโอสถ เขาย่อมไม่อาจกินได้ลงแน่ ถึงอย่างไรก็มิใช่เลือดเป็ดเลือดไก่
แต่ถ้าให้เสี่ยวเสว่ยแล้วละก็ จะไม่กดดันเลยแม้แต่น้อย เดิมทีที่คิดจะหลอมโอสถธรรมดาขึ้นมาซักเม็ด แต่กลับกลายเป็นหลอมโอสถยักษ์ขึ้นมาเสียได้ นี่จึงทำให้หลงเฉินรู้สึกจุกอยู่เลยก็ว่าได้
หากกล่าวถึงพลังอันมหาศาลของโอสถยักษ์เม็ดนี้ เมื่อเทียบกับยาโอสถในระดับเดียวกันหลายสิบเม็ด เรื่องเช่นนี้หากมองในมุมมองของหลงเฉิน กลับหาใช่สิ่งที่ควรไม่ เพราะเขาเกรงว่าเสี่ยวเสว่ยอาจที่จะทนรับได้ไม่ไหว
“โบร๋วโบร๋ว” เสี่ยวเสว่ยก็ได้ส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าอยากจะลองอย่างงั้นหรือ ? ”
หลงเฉินแสดงสีหน้าเป็นห่วงแล้วกล่าวออกมา “ของเล่นชิ้นนี้อันตรายเกินไป ด้วยการชักนำโลหิตบริสุทธิ์ของยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าอีกทั้งยังเป็นโอสถยักษ์อีก หากแย่ขึ้นมาคงต้องหมายถึงชีวิตเลยนะ”
“โบร๋ว”
เสี่ยวเสว่ยก็ได้ส่งเสียงดังเพื่อขานรับต่อหลงเฉิน ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้ปรากฏความเด็ดเดี่ยวขึ้นมา ทั้งยังได้ส่งเสียงร้องต่อหลงเฉินขึ้นมาอีกหลายครั้ง
หลงเฉินที่มองดูเสี่ยวเสว่ยกว่าครึ่งวันโดยไม่เอ่ยวาจา จิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกันระหว่างเขากับเสี่ยวเสว่ย เขาจึงฟังออกถึงความหมายของเสี่ยวเสว่ยได้
ที่เสี่ยวเสว่ยได้บอกต่อเขาก็คือ ที่ผ่านมาหลงเฉินก็ได้แข็งแกร่งขึ้น ตัวมันเองก็ต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังต้องการที่จะปกป้องหลงเฉินไปตลอดกาล
สิ่งนี้ได้ทำให้หลงเฉินเกิดความตื้นตันขึ้นมาทั้งยังลำบากใจ จึงได้สวมกอดเข้าไปที่เสี่ยวเสว่ย แล้วก็ลูบเส้นขนบนตัวของเสี่ยวเสว่ยอย่างเอ็นดู
เสี่ยวเสว่ยมีหรือที่จะไม่ทราบว่าหลงเฉินนั้นเป็นห่วงตนเอง จึงได้ส่งเสียงร้องขึ้นมาอีกหลายครั้ง จากนั้นก็ได้ทอดสายตามองไปยังมือของหลงเฉินอย่างไม่ละสายตา
หลงเฉินกัดฟันขึ้น “เอาเถอะ หวังว่าสวรรค์จะคุ้มครองให้เจ้าสามารถทำสำเร็จได้”
หลงเฉินเองก็ไม่กล้าที่จะใช้สวรรค์มาล้อเล่นอีกแล้ว เขากลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเสี่ยวเสว่ย ทว่าเสี่ยวเสว่ยเองก็บอกมาแล้วว่า มันจะกินยาโอสถยักษ์เม็ดนั้นอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องตายก็ไม่เสียใจ
เขาทราบว่าเสี่ยวเสว่ยเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง มันทราบว่าถ้าหากตนเองไม่อาจที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปได้ โอกาสที่จะสามารถช่วยเหลือหลงเฉินก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาระของหลงเฉินขึ้นมา
เพื่อที่จะเติบโตไปพร้อมกับหลงเฉิน เสี่ยวเสว่ยทราบว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงต้องการที่จะลองโดยไม่ลังเล
เสี่ยวเสว่ยกลืนโอสถยักษ์ในมือหลงเฉินลงไปในคำเดียว ยังไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ เส้นขนที่อ่อนนุ่มบนตัวของเสี่ยวเสว่ย ก็ได้ตั้งชูชันขึ้นมาในทันที
“ตูม”
บรรยากาศอันบ้าคลั่งขุมหนึ่งก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี พื้นดินใต้เท้าของเสี่ยวเสว่ยก็ได้ยุบลง คลื่นพลังที่น่าหวาดกลัวได้พุ่งไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน
แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังถูกพลังขุมนั้นกระแทกเข้ามาจนต้องถอนร่นออกไปหลายก้าว ในเวลานี้ร่างกายของเสี่ยวเสว่ยก็เกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาไม่หยุด
“โบร๋ว”
เสี่ยวเสว่ยส่งเสียงดังสนั่นผืนฟ้า ทว่าภายใต้เสียงกู่ร้องกลับแฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดนับไม่ถ้วน เขาเองก็หวาดผวาขึ้นมาเมื่อพบว่า เส้นขนสีขาวดุจหิมะของเสี่ยวเสว่ยได้กลายเป็นสีแดงไปแล้ว
นั้นก็คือเลือดที่ได้ไหลซึมออกมาจากผิวหนัง โลหิตแห่งการก่อฟ้าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทำการขับไล่หยาดโลหิตในตัวของเสี่ยวเสว่ยออกมา
หยาดโลหิตทั้งสองชนิดก็ได้ต่อสู้กันภายในร่างกาย ถือได้ว่าเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเสี่ยวเสว่ยได้มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะต้องร่ำร้องออกมา
เสี่ยวเสว่ยหลั่งเลือดโชมกายอย่างน่าสงสาร เสี่ยวเสว่ยในตอนนี แทบจะไม่อาจที่จะหลอมรวมส่วนสำคัญของโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้าไปได้เลย ส่วนสำคัญหยาดโลหิตเหล่านั้นเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งยังกำลังขับโลหิตในตัวของเสี่ยวเสว่ยออกมา
ถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เลือดในตัวของเสี่ยวเสว่ยก็คงจะถูกขับออกมาจนหมด จนถึงขั้นเสียเลือดตายไปในที่สุด
ทันใดนั้นหลงเฉินได้กระโดดขึ้นไปขี่อยู่บนหลัง แล้วก็ได้ทาบมือลงไปบนตัวของเสี่ยวเสว่ย ขุมพลังที่ทรงพลังสายหนึ่ง ก็ได้ถ่ายเทเข้าสู่ภายในร่างเสี่ยวเสว่ย
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะไม่ไหวแน่ พลังแห่งจิตวิญญาณข้าจะช่วยเจ้าขจัดพลังของยาโอสถเอง แล้วเจ้าก็ดูดกลืนไปทีละส่วนแทน”
ขณะนี้ยาโอสถที่พึ่งจะเข้าสู่ร่างกายทั้งยังถือว่าไม่ได้เข้าไปจนหมด เสี่ยวเสว่ยก็แทบจะทนรับเอาไว้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นเสี่ยวเสว่ยคงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
พลังลมปราณของหลงเฉินปิดกั้นพลังที่แผ่ซ่านออกมาโดยรอบของโอสถยักษ์เอาไว้ และในเวลาเดียวกันพลังแห่งจิตวิญญาณ ซึมผ่านเขาไปในร่างของเสี่ยวเสว่ย ทำการควบคุมโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้าที่บ้าคลั่งเหล่านั้นเอาไว้ ยังไงก็ไม่อาจปล่อยให้พวกมันกำเริบจนย่ำแย่ขึ้นมา
คล้ายกับเขื่อนที่กำลังจะแตก หากปล่อยให้มันระเบิดขึ้นมาเสี่ยวเสว่ยคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้หลงเฉินก็ทำได้แต่ประวิงเวลาให้เขื่อนแตกช้าลงเท่านั้น ให้น้ำที่อยู่ภายในเขื่อนไหลออกไปทีละเล็กละน้อย เพื่อลดทอนแรงกดดันของเสี่ยวเสว่ย
ภายใต้การช่วยเหลือของหลงเฉิน เสี่ยวเสว่ยก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อมีพลังแห่งจิตวิญญาณหลงเฉินคอยช่วยควบคุม โลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้าที่แต่เดิมอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งอยู่ภายในร่างกายของมัน คล้ายดั่งระลอกคลื่นที่รุนแรงซัดโถมเข้ามาก็ค่อยๆเบาลง
เสี่ยวเสว่ยได้ใช้โอกาสนี้ในการดูดกลืนส่วนสำคัญของหยาดโลหิตเหล่านั้นเอาไว้ ที่เดิมทีก็เป็นวัตถุไร้เจ้าของ เมื่อได้ผ่านการขับไล่ไปแล้วรอบหนึ่งก็ได้สูญเสียพลังที่มีอยู่ไป จนในที่สุดก็เริ่มถูกเสี่ยวเสว่ยดูดกลืน
หลังจากที่ผ่านไปกว่าสามชั่วยาม เมื่อส่วนสำคัญถูกเสี่ยวเสว่ยดูดกลืนไปจนหมดสิ้นแล้ว หลงเฉินจึงได้ปล่อยพลังอีกส่วนหนึ่งออกมา เสี่ยวเสว่ยจึงได้ทำการดูดกลืนต่อ
หลงเฉินผ่อนลมหายใจออกมา ยังดีที่อาศัยไหวพริบคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้ ไม่เช่นนั้นวันนี้คงจะต้องเกิดอันตรายขึ้นมาอย่างแท้จริงแล้ว
ทางหนึ่งก็ได้ถ่ายลมปราณ ทางหนึ่งก็ได้ถ่ายพลังแห่งจิตวิญญาณ ถือได้ว่าเป็นภาระที่หนักหนาสำหรับหลงเฉินเลยทีเดียว เพราะพลังของโอสถยักษ์นั้นแข็งแกร่งมากจนเกินไป แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังต้องควบคุมอย่างเปลืองแรงเป็นอย่างยิ่ง
นี้เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินเข้าใจได้ว่าโอสถยักษ์นั้นมีความน่ากลัวมากเพียงไร ทั้งยังมีพลังที่น่าตกใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาที่หลงเฉินได้ปล่อยพลังออกไประลอกที่สาม ก็รู้สึกว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของตนเอง ถึงกับเริ่มที่จะไม่ไหวขึ้นมาแล้ว
ขณะนี้พลังภายในใจกลางของโอสถยักษ์นั้นยังมีอีกกว่าครึ่งที่ยังไม่ได้ถูกปล่อยออกไป ถ้าหากตนเองยืนหยัดต่อไปไม่ไหวก็คงจะท่าดีทีเหลวแล้ว
แต่ที่หลงเฉินไม่ทราบก็คือ ภายในกลางโอสถยักษ์นั้น ได้แฝงเอาไว้ด้วยโลหิตบริสุทธิ์ก่อฟ้า และยังแฝงเอาไว้ด้วยพลังความแน่วแน่ของยอดฝีมือขั้นก่อโลหิต ถึงแม้ว่าจะถูกหลอมจนกลายเป็นโอสถ แต่ก็ยังไม่อาจที่จะสลายความแน่วแน่นั้นไปได้
หลงเฉินเองก็ได้ใช้พลังของตนเอง เข้าไปผูกมัดกับพลังของยาโอสถ เหมือนกับเป็นการใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของตนเองเข้าต่อกรกับความแน่วแน่ขุมนั้น พลังที่สูญไปจึงหายไปเร็วจนน่าหวาดกลัว
ในขณะที่กำลังประคับประคองอย่างลำบาก หลงเฉินที่เพิ่งจะปล่อยพลังออกไปเป็นระลอกที่สี่ พลังของโอสถยักษ์ในร่างเสี่ยวเสว่ยก็ได้ปะทุขึ้นมาในทันที เนื่องจากไม่อาจที่จะทนควบคุมเอาไว้ได้
“ซูม”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นไหว พลังมหาศาลบนร่างเสี่ยวเสว่ยก็ได้ระเบิดขึ้นมา ถึงกับทำให้หลงเฉินกระอักโลหิตออกมา ถูกซัดจนลอยคว้างอยู่บนอากาศ
“เสี่ยวเสว่ย”
หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ พลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวขุมนั้น จะต้องช่วงชิงชีวิตของเสี่ยวเสว่ยไปอย่างแน่นอน
แต่เมื่อหลงเฉินพบว่าเสี่ยวเสว่ยปลอดภัย ก็ทั้งแตกตื่นทั้งยินดี ที่เสี่ยวเสว่ยยังมีชีวิตอยู่
“ตูม”
แล้วก็ได้มีเสียงน่าหวาดกลัวระเบิดขึ้นมาอีก พื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าของเสี่ยวเสว่ยก็ได้ยุบตัวลงไปอีกครั้ง หลงเฉินที่ลอยอยู่บนอากาศยังไม่ทันจะตกถึงพื้น ก็ถูกคลื่นพลังซัดจนลอยกระเด็นออกไปอีกที
เมื่อลอยออกไปไกลกว่าหลายสิบจั้ง หลงเฉินลุกขึ้นมาได้ก็ไม่สนใจแม้แต่คราบดินโคลนบนร่างกาย กลับมองไปที่เสี่ยวเสว่ยด้วยใบหน้าที่ลิงโลด
บนตัวเสี่ยวเสว่ยในเวลานี้ ก็ได้แผ่พลังทำลายอันน่าหวาดกลัวออกมา จนทำให้หลงเฉินหายใจลำบากตลอดทั่วทั้งร่างราวกับถูกบีบอัดจนไม่สามารถขยับตัวได้
“ซูม”
“โบร๋ว”
ทันใดนั้นเสี่ยวเสว่ยก็ได้หอนออกมาด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนไปทั่วท้องฟ้า พลังอันมหาศาลที่รุนแรงก็ได้ระเบิดขึ้นจนกลายเป็นพายุ จนทำให้ฟ้าดินสั่นไหว พวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องนภาลัย
“เลื่อน——ขั้น——แล้ว ? ”
หลงเฉินไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง บรรยากาศบนร่างกายเสี่ยวเสว่ยในเวลานี้ที่กำลังปะทุขึ้นมา ทำให้หลงเฉินเกิดความรู้สึกใจเต้นจนแทบกระดอนออกมาเลยทีเดียว
“โบร๋วโบร๋ว”
เสี่ยวเสว่ยก็ได้ขยับไปยังด้านข้างหลงเฉิน แล้วก็ได้ใช้ศีรษะถูที่ใบหน้าหลงเฉินอย่างใกล้ชิดสองครั้ง
“ฮาฮาฮาฮาฮา สุดยอดไปเลย เสี่ยวเสว่ยเจ้าเลื่อนระดับได้จริงๆแล้ว เหอะเหอะ รอบนี้พวกเราร่วมมือกันซักยกเพื่อกวาดล้าง ภายในท่ามกลางขอบเขตแดนลับนพเก้ากันเถอะ” หลงเฉินก็ได้กู่ร้องเสียงดังยาวนานขึ้นมา
หลังจากที่เสี่ยวเสว่ยเลื่อนระดับขึ้นมาแล้ว ร่างกายกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงใหญ่โตขึ้น ในทางกลับกันกลับเล็กลงกว่าเดิมเกือบเท่าตัว มีขนาดเพียงห้าจั้งเท่านั้น ทว่าพลังแรงกดดันในตัวกลับน่ากลัวจนน่าตกใจ
ในเวลานี้เสี่ยวเสว่ยเพิ่งจะทะลวงพลังไปได้ เพราะโอสถยักษ์ภายในร่าง แต่ก็ยังคงทิ้งความเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ หลงเฉินได้ใช้ยาโอสถเพื่อรักษาให้แก่เสี่ยวเสว่ย แล้วจึงค่อยให้มันกลับเข้าไปอยู่ในภายช่องว่างของจิตวิญญาณ
เมื่อได้กลับมายังหมู่ตึก หลงเฉินไม่ได้ฝึกยุทธ์อีกเพียงแต่รอคอยอย่างเงียบๆ จนวันนั้นก็ได้มาถึง
“แก๊งๆ”
เสียงระฆังของหมู่ตึกก็ได้ดังขึ้น วันที่ขอบเขตแดนลับนพเก้าได้เปิดขึ้นก็ได้มาถึงแล้ว