ณ หมู่ตึกพลิกสวรรค์ ศิษย์ทั้งหมดต่างก็มารวมตัวกันบนลานกว้างพลิกสวรรค์ วันนี้เป็นวันที่ศิษย์สายตรงทั้งหมด จะไปยังสาขาหลักเพื่อเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า
ถึงแม้จะมีแต่ศิษย์สายตรงที่สามารถเข้าไปได้ ทว่าเรื่องนี้กลับหาได้กระทบต่อความรู้สึกที่ดีของศิษย์คนอื่นๆได้เลยแม้แต่น้อย
หลงเฉิน ถังหว่านเอ๋อ เยี่ยจื่อชิวและศิษย์สายตรงมากมาย ต่างก็ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าของแถว จิตใจทุกคนต่างก็เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
ขอบเขตแดนลับนพเก้าเรียกได้ว่าเป็นห้วงมิติที่ตกทอดมานับตั้งแต่ช่วงบรรพกาล มีวาสนาอยู่ภายในนับไม่ถ้วน วัตถุดิบสมบัติมีเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ซึ่งในร้อยปีจะเปิดขึ้นมาสักครั้ง ประจวบกับที่ตรงเวลาของพวกเขาพอดี
หลิงหวินจื่อที่เป็นผู้รับผิดชอบผู้อาวุโสมากมาย มองไปยังบรรดาลูกศิษย์ที่ก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ จึงเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมาอยู่เต็มหัวใจ
ขณะนี้ศิษย์ของทางหมู่ตึก ภายใต้การนำของหลงเฉินต่างก็ถือเป็นพวกโดดเด่นในหมู่โดดเด่น แม้ว่าจะเป็นพลังการต่อสู้ของศิษย์สายในเหล่านั้น ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์สายตรงจากที่แล้วมาเท่าใด
กู่หยางและพวกศิษย์สายตรงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง พวกเขามีพลังการต่อสู้ดั่งคลื่นที่สูงเทียมฟ้า เทียบเท่ากับผู้อยู่เหนือขอบเขตเลยก็ว่าได้
ที่ทำให้หลิงหวินจื่อปลื้มปิติขึ้นมาก็คือในหมู่ศิษย์ของหมู่ตึกที่มีการคงอยู่เช่นหลงเฉิน อาหมานกับถังหว่านเอ๋อได้ทำให้เขายิ่งเกิดความเชื่อมั่น ต่อการเดินทางไปยังขอบเขตแดนลับนพเก้าครั้งนี้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“พวกเขาเตรียมการกันพร้อมแล้วอย่างงั้นหรือ ? ” หลิงหวินจื่อมองไปที่หลงเฉินและพวก
ที่ผ่านมาใบหน้าของหลงเฉินนิ่งสงบมาโดยตลอด น้อยครั้งที่จะปรากฏแววตาที่ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นวันนี้ได้
แม้หลงเฉินจะพยายามข่มความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ทว่าด้วยสายตาของเขากลับเป็นฝ่ายทรยศเขาเสียเอง
มีแต่เพียงหลงเฉินเองที่ทราบ ว่าขณะนี้ได้เกิดแรงดึงดูดขึ้นมาจากภายในจิตใจของเขา ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางขอบเขตแดนลับนพเก้าก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่อย่างแน่นอน
“เตรียมพร้อมแล้ว”
หลงเฉินและพวกตอบกลับเสียงดัง
“ออกเดินทาง ! ”
หลิงหวินจื่อเองก็หาได้กล่าวอะไร เพียงแค่ออกคำสั่งให้ออกเดินทางในทันที เขาทราบดีว่า หากมองในมุมของศิษย์ที่เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมา ไม่ว่าจะกล่าววาจาปลุกใจใดต่างก็เป็นเพียงแค่วาจาไร้สาระเท่านั้น แล้วใยจึงต้องเปลืองน้ำลายกันด้วย ?
“ยินดีกับศิษย์พี่ด้วยขอให้เหล่าศิษย์พี่ กลับมาด้วยชัยชนะ ! ”เหล่าศิษย์หมู่ตึก ต่างก็ตะโกนเสียงดัง
หลงเฉินเพียงแค่รู้สึกว่าขยับเขยื้อนร่างกาย ก็ได้มาปรากฏขึ้นที่บริเวณหุบเขาหลังหมู่ตึก สถานที่แห่งนี้ถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยแท่นหินหลายสิบจั้ง แท่นหินที่รายล้อมอยู่โดยรอบราวกับตั้งเอาไว้ด้วยเสาไฟอยู่หลายดวง ด้านบนของเสาไฟ ก็ได้มีภาพร่องรอยสลักโบราณวาดเอาไว้อยู่นับไม่ถ้วน ในสถานที่แห่งนี้ก็คือค่ายกลเคลื่อนย้ายของหมู่ตึกแห่งนี้นี่เอง
หลิงหวินจื่อนำพาทุกคนขึ้นไปด้านบนของค่ายกลเคลื่อนย้าย จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งแตะที่ไปเสาหินศิลาต้นหนึ่งที่อยู่ตรงใจกลาง จนทำให้เสาศิลาเปล่งเป็นประกายขึ้นมา
ทันใดนั้นหลงเฉินและพวกก็รู้สึกร่างกายสั่นไหวขึ้นมา จากนั้นก็ได้ถูกพลังอันมหาศาลขุมหนึ่งบดเข้ามา จนทำให้สภาวะอากาศเกิดการสั่นไหวขึ้น
“อย่าได้กลัวไปเลย ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้มีแรงดันที่พิเศษเฉพาะอย่างหนึ่ง หากเคยชินขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” หลิงหวินจื่อที่เห็นสีหน้าหวาดหวั่นของผู้คนไม่น้อย ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกล่าวปลอบโยนออกมา
ทุกคนพบว่าสภาวะอากาศได้เกิดการสั่นไหวขึ้นมาไม่หยุด คล้ายกับมีสายน้ำเข้ามาปกคลุม จนไม่อาจที่จะมองเห็นสภาพโดยรอบได้อย่างชัดเจน
“หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดพวกเราค่อนข้างแร้นแค้น จึงได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายในระดับที่ต่ำเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อเคลื่อนย้ายขึ้นมาจึงกินเวลาเป็นอย่างยิ่ง”
หลิงหวินจื่อกล่าวอธิบายขึ้นมา เดิมทีค่ายกลเคลื่อนย้ายก็มีการแบ่งระดับ ระดับที่แบ่งออกมานั้นมีอยู่สองชนิด หนึ่งนั้นก็คือค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล อีกทางด้านหนึ่งก็เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายความเร็วสูงและมั่นคง
ในจุดที่รวมพลของหมู่ตึกสาขาหลักนั้นมีระยะทางประมาณสามร้อยกว่าหมื่นลี้ ยังดีที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ จึงใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็สามารถที่จะไปถึงได้แล้ว
ถ้าหากเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายของหมู่ตึกที่หนึ่งนั้น ราวกับว่าพริบตาเดียวก็ไปถึงแล้ว ส่วนค่ายกลเคลื่อนย้ายของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด ถือได้ว่ามีระดับที่ต่ำต้อยที่สุด เนื่องจากจะทำให้ลดการสิ้นเปลืองวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในแต่ละครั้งลงไปได้อย่างมากมาย
ทว่าข้อด้อยก็เห็นกันได้อย่างชัดเจนคือไม่แต่เพียงแค่สิ้นเปลืองเวลาเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาถึงเกือบหนึ่งก้านธูปดับจึงจะสามารถที่จะไปถึงได้
ในขณะที่ค่ายกลจัดส่งออกไป สภาวะอากาศที่ยังไม่นิ่งทั้งยังเกิดแรงกดดันจากสภาวะอากาศขึ้นมา ศิษย์โดยส่วนมากต่างก็ไม่อาจที่จะทนแบกรับแรงกดดันได้ ต่อให้เป็นกู่หยางและพวกก็ยังทำได้เพียงแค่ฝืนทน จนทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าก็ยังดีที่พลังการฝึกปรือของทุกคนนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผ่านไปได้สักพักก็สามารถที่จะปรับตัวได้
เมื่อเห็นทุกคนต่างก็ปรับตัวได้แล้ว หลิงหวินจื่อก็ได้มองไปที่หลงเฉิน ทั้งยังทอสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้นว่า “หลงเฉินการเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้าในครั้งนี้ เจ้าจงระวังเอาไว้ให้มาก ในหมู่ศิษย์ทั้งหมด ที่ข้าเป็นห่วงที่สุดก็เป็นเจ้านั้นเอง”
ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นตกใจ หลงเฉินพยักหน้าไปมา มีเพียงแต่เขาที่เข้าใจถึงความหมายของหลิงหวินจื่อ
ในหมู่ทุกคนหลงเฉินถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้ทุกๆคนจะรวมพลังกัน ก็ใช่ว่าจะสามารถเอาชนะหลงเฉินได้ แล้วเป็นเพราะสาเหตุใดที่เจ้าสำนักเกิดความเป็นห่วงในตัวหลงเฉินขึ้นมา
“พวกเจ้าคงจะยังไม่ทราบกัน ได้ยินข่าวมาว่าฝ่ายอธรรมได้ออกคำสั่งให้จัดการฆ่าหลงเฉิน ซึ่งจัดอยู่ในรายชื่อเดียวกันกับหานเทียนยวู่แห่งหมู่ตึกที่หนึ่งเลยทีเดียว”
เดิมทีขุมกำลังฝ่ายอธรรมที่มีจำนวนมากมายมหาศาล จากการรวมตัวขึ้นมาของสำนักมากมาย ครั้งที่แล้วหลงเฉิน ได้ทำให้หยินหลอที่เป็นสุดยอดผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรมพ่ายแพ้ไป จากนั้นยังตัดขาของเขาขาดไปข้างหนึ่ง เพียงแค่ครู่เดียวก็ได้สะเทือนไปทั้งฝ่ายอธรรม
เมื่อได้ผ่านการตรวจสอบจากยอดฝีมือฝ่ายอธรรมก็ได้มีการตัดสินขึ้นมาว่า จะต้องจับตายหลงเฉินให้ได้ ถึงกับว่าเป็นบุคคลที่พวกเขาจะต้องฆ่าให้ได้ หากเป็นไปตามระดับของการคุกคาม จัดได้ว่าอยู่ในอันดับหนึ่งได้เลยทีเดียว
บุคคลที่ฝ่ายอธรรมประกาศจับตายมีเพียงแค่ร้อยคนเท่านั้น อีกทั้งต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศในระดับสูงสุด หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับผู้อยู่เหนือขอบเขต บุคคลที่จัดอยู่ในอันดับหนึ่งในนั้นก็คือผู้มีพรสวรรค์สูงสุดอย่างหานเทียนยวู่จากหมู่ตึกที่หนึ่ง
หลงเฉินที่ได้ถูกประกาศจับตาย หาได้เหนือความคาดหมายของหลิงหวินจื่อไม่ แต่หลงเฉินถึงกับถูกจัดอยู่ในอันดับที่สอง นั่นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เขาแตกตื่นตกใจขึ้นมาได้เป็นอย่างยิ่ง
บนโลกใบนี้มีแต่เพียงเขากับถู่ฟางเท่านั้นที่ทราบว่าหลงเฉินนั้นก็คือ ผู้พิสดารแห่งฟ้าดิน ผู้อื่นย่อมไม่อาจที่จะทราบถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของหลงเฉินได้อย่างแน่นอน
เช่นนี้ก็บอกได้แล้วว่า สายตาที่ร้ายกาจของฝ่ายอธรรมถือได้ว่าคมกล้าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมองออกถึงแรงคุกคามของจากหลงเฉิน ซึ่งจัดได้ว่าน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศคนอื่นๆเสียอีก
เมื่อได้ยินถึงการประกาศจับตายนี้ หลิงหวินจื่ออดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมา แม้แต่ยอดฝีมือของฝ่ายอธรรมก็ยังคอยจับตาดูหลงเฉิน เหล่าผู้ที่อยู่เบื้องสูงอย่างพวกเจ้าตาบอดกันแล้วอย่างงั้นหรือ?
ในเวลาที่ได้ยินประกาศจับตายทุกคนต่างก็ตกใจขึ้นมา หลงเฉินที่ถูกประกาศจับตายจากฝ่ายอธรรม เช่นนั้นหลังจากที่ได้เข้าไปยังแดนลับหลงเฉินจะมิกลายเป็น *มุกสิกข้ามถนนแล้วหรือ ? ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็มีแต่ต้องถูกกลุ่มของศิษย์ฝ่ายอธรรมไล่ล่าอย่างแน่นอน
*过街老 鼠มุกสิกข้ามถนน สำนวนแปลว่า ‘คนน่าสมเพชเวทนา’
“ด้วยพลังการต่อสู้ของหลงเฉินในตอนนี้ หากได้เข้าไปยังแดนนพเก้า นอกจากจะต้องพบเจอกับผู้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งอย่างหยินหลอ คนอื่นๆต่างก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา
เวลาที่ขอบเขตแดนลับนพเก้าเปิดคือหนึ่งปีเต็ม เขตแดนภายในที่ยังคงรักษาเอาไว้ด้วยสภาวะบรรยากาศอันเก่าแก่ แต่กลับยิ่งเหมาะสมสำหรับการฝึกปรือ
เมื่อได้เข้าไปภายในแดนลับ ไม่เพียงจะมีโอกาสวาสนาอยู่นับไม่ถ้วน ในมุมมองของผู้ฝึกยุทธ์ ภายในนั้นถือได้ว่ามีโอกาสที่จะสามารถทะลวงพลังได้เป็นอย่างมาก
ทุกครั้งของการเปิดแดนลับ ศิษย์โดยส่วนมากในเวลาที่ออกมาต่างก็จะอยู่ในระดับยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูก ดังนั้นเจ้าจงอย่าได้ดูแคลนขอบเขตแดนลับนพเก้าโดยเด็ดขาด
ได้ยินมาว่าเมื่อหนึ่งพันแปดร้อยปีก่อน ได้มียอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้หนึ่งหลังจากฃเข้าไปยังแดนลับ แทบจะไม่ได้เสาะหาสมบัติเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกันกลับทำการทะลวงพลังอยู่อย่างบ้าคลั่ง
เพียงแค่เวลาหนึ่งเดือน ก็ทะลวงเข้าถึงขอบเขตปรือกระดูก ทั้งยังได้ใช้พลังที่ฝึกปรือมาได้อย่างยอดเยี่ยม และทำการไล่ล่าสังหารศิษย์ฝ่ายธรรมะ
ในระหว่างนั้นฝ่ายธรรมะถือว่าได้รับความสูญเสียอย่างหนักหน่วง ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์มากกว่าครึ่ง ต่างก็ถูกเขาฆ่าตายไปเกือบหมด” หลิงหวินจื่อที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวออกมา
“โหดร้ายยิ่งนัก”
ทุกคนเมื่อได้ยินต่างก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน ถึงกับฆ่าสังหารศิษย์ฝ่ายธรรมะไปกว่าครึ่ง แต่นั่นหาใช่สิ่งที่ศิษย์ทั่วไปจะสามารถทำได้ ยังไงซะต้องมีผู้อยู่เหนือขอบเขตกับผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศอยู่อย่างแน่นอน
“ดังนั้นหลังจากที่ได้เข้าไปยังแดนลับ จะต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษด้วย ในบางครั้งอาจจะสามารถที่จะได้รับวาสนาเทียบฟ้า แต่หากมีพลังไม่พอท้ายที่สุดก็มีแต่ต้องถูกผู้อื่นแย่งชิงไป
แต่ที่น่าหวาดกลัวมากที่สุดก็คือ ไม่เพียงแต่พวกเจ้าต้องระวังการโจมตีของศิษย์ฝ่ายอธรรมเท่านั้น แต่ยิ่งต้องระวังป้องกันการลอบทำร้ายของศิษย์ฝ่ายธรรมะด้วย นี่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดแล้ว” หลิงหวินจื่อกล่าว
นอกเสียจากหลงเฉินแล้ว ทุกคนต่างก็ได้มีสีหน้าหวาดผวาขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็ไม่อาจที่จะนึกถึงการที่ต้องมาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ถึงกับยังต้องระวังป้องกันสหายจากฝ่ายของตนเองอีก
“ไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรอก คนของฝ่ายธรรมะ ถูกบ่มเพาะให้เติบโตมาแก่งแย่งชิงดีกันเอง ทั้งยังไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายอธรรม แต่การต่อกรกับฝ่ายตนเอง กลับถือได้ว่าเชี่ยวชาญเลยละ
ไม่ว่าจะบนหรือจะล่าง แต่ละคนย่อมต้องมีความเห็นแก่ตัวกันอยู่แล้ว วันๆชื่นชอบที่จะเอาแต่จะวางแผนร้าย เจ้าวางแผนต่อข้าข้าวางแผนต่อเจ้า ต่างฝ่ายต่างก็คุมเชิงอีกฝ่ายในระหว่างสำนักเดียวกัน
ด้วยความแข็งแกร่งของฝ่ายธรรมะ แต่เพราะเหตุใดจึงได้ถูกฝ่ายอธรรมกำราบมาได้ตั้งหลายปี ?
คนของฝ่ายธรรมะ นอกจากจะแทงข้างหลังกันเองแล้ว กลับไม่ได้มีความสามารถอะไรที่มากมาย” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ไม่แยแส
หลิงหวินจื่อเองก็ทอสีหน้าอับจนปัญญา ที่หลงเฉินกล่าวมาถือได้ว่าไม่ผิด เมื่อเทียบกับการต่อกรกับศัตรูจากภายนอก ถึงแม้ฝ่ายอธรรมจะขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมไร้ไมตรี แต่ว่าในข้อนี้เมื่อเทียบกับฝ่ายธรรมะยังถือได้ว่าดีกว่ามากเสียอีก
สาขาทั้งหมดมีด้วยกันทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยกับอีกแปดหมู่ตึก ต่างฝ่ายต่างถูกจัดอันดับกัน ต่างฝ่ายต่างคิดแต่เรื่องใช้ดาบฟาดฟันกัน ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าเบื้องหน้าจะสามารถที่จะพบเห็นกันอยู่มากมาย แต่เมื่ออยู่ลับหลังกลับยิ่งไม่ทราบว่าสกปรกโสมมมากน้อยแค่ไหนกันแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นการที่ได้ยื่นคำขอคุณสมบัติของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศให้แก่หลงเฉิน ทางฝ่ายคนของฝ่ายอธรรมที่ถึงกับประกาศจับตายหลงเฉินเป็นอันดับที่สอง แท้จริงแล้วที่เบื้องสูงจากสาขาหลักไม่รู้เห็นได้หรืออย่างไรกัน ?
ความจริงแล้วพวกเขาเองก็คงจะรู้กันอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของผู้คนส่วนหนึ่ง ทางด้านผู้จัดการก็แสร้งทำเป็นไม่ทราบเรื่อง และเหล่าคนที่ทราบดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว เพียงเพื่อไม่ต้องการที่จะล่วงเกินคนอื่น จึงทำได้แต่เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น
นี้ก็คือกฎที่บกพร่องของฝ่ายธรรมะ ถือได้ว่าเป็นดั่งเนื้อเน่าที่อยู่ในระดับที่ไม่อาจจะเน่าเสียไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ต่างฝ่ายกลับเอาแต่ปัดกวาดหิมะที่ประตูของตนเอง ผู้ใดจะไปสนใจหิมะบนหลังคาบ้านของผู้อื่นกัน ?
นอกเสียจากสิ่งที่เจ้ากวาดไปนั้นหาใช่หิมะ ขอเพียงมีผลประโยชน์ ก็จะมีผู้คนกลุ่มใหญ่เข้ามาเพื่อแย่งชิงกัน
อีกทั้งเพียงเพื่อสิ่งที่เรียกกันว่าผลประโยขน์ จำต้องชิงไหวชิงพริบ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เลวร้ายแค่ไหนก็ยังกล้าที่จะทำได้ลง ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะเอาชนะอารมรณ์นี้ได้ แล้วไปใช้เพื่อต่อกรกับฝ่ายอธรรมเสียแทน ฝ่ายอธรรมก็คงต้องวอดวายไปตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ ?
แต่ว่า “ผู้เฉลียวฉลาด” ของฝ่ายธรรมะเหล่านั้น กลับคิดแต่จะหมายปองตำแหน่งสูงที่สำคัญ กลับหาได้กระทำเรื่องของมนุษย์ไม่ วันๆเอาแต่คิดที่จะลงมือต่อพวกเดียวกัน เพื่อแย่งชิงกันไปแย่งชิงกันมา
เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ก็ได้ทำให้ผู้คนท้อแท้ใจขึ้นมา ทั้งยังเป็นสิ่งที่อับจนปัญญา นอกเสียจากว่าเจ้าจะเป็นเพียงคนธรรมดา หรือหากเจ้าต้องการที่จะฝึกยุทธ์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้าด้วยอยู่ดี
โดยเฉพาะสิ่งที่หลิงหวินจื่อได้กล่าวออกมา ในหลายปีมานี้เขาทราบถึงเนื้อหนองของฝ่ายธรรมะได้เป็นอย่างดี แต่ว่าตนเองกลับหาได้มีความสามารถอะไรไม่
ไม่แต่เพียงจะช่วยไม่ได้ ในทางกลับกันกลับเคยปล่อยให้ตนเองเข้าไปติดกับ จนเกือบที่จะหลงใหลต่อการแย่งชิงเช่นนี้เข้า ถ้าหากมิใช่การปรากฏตัวขึ้นมาของหลงเฉิน ในตอนนี้เขาก็คงยังไม่อาจที่จะเข้าใจขึ้นมาได้
ดังนั้นเมื่อหลิงหวินจื่อเข้าใจขึ้นมา เขาก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง แล้วใยต้องไปนึกถึงการที่จะไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เขาจะทำอะไรก็ทำไป เหตุใดถึงต้องไปสนใจผลลัพธ์อะไรกันด้วย ?
“ดังนั้นหลังจากที่ได้เข้าไปยังแดนลับแล้ว จงอย่าได้เชื่อใจผู้คนง่ายจนเกินไป โดยเฉพาะเหล่ามิตรสหายที่สามารถซ่อนดาบในรอยยิ้มได้เหล่านั้น จะต้องระวังเอาไว้เป็นพิเศษ” หลงเฉินก็ได้กล่าวกำชับกับทุกผู้คน
ศัตรูที่เผชิญหน้าอยู่ยังไงเสียก็ย่อมที่จะพบเห็นวิกฤติได้ จึงยังไม่ถือว่าเป็นวิกฤติที่แท้จริง มีแต่เพียงอันตรายที่ไม่อาจที่จะพบเห็นได้นั้น จึงถือได้ว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตที่สุด
ถึงแม้ถังหว่านเอ๋อและพวก จะมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ค่อยที่จะเป็นห่วงว่าพวกเขาจะต้องพบเจอกับศิษย์ของฝ่ายอธรรม แต่ว่ากับหลงเฉินเขากลับหวาดกลัวมากที่สุด
ครั้งที่แล้วกู่หยางถูกกลโกงของศัตรูจู่โจมจนต้องพ่ายแพ้ ก็หาใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ทั้งยังถือได้ว่าเป็นบทเรียนให้แก่ทุกคนเลยก็ว่าได้
“ซูม”
ทันใดนั้นอากาศก็ได้สั่นไหวขึ้นมา สายตาของทุกคนก็พรามัวขึ้น ที่ใต้ฝ่าเท้าได้เหยียบลงไปยังด้านบนของอิฐโบราณ